ลำไยเป็นผลไม้ที่นิยมปลูกมากทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดลำพูด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น โดยมีปริมาณการส่งออกลำไยสดในปี 2559 จำนวน 25,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,200 ล้านบาท โดยมีตลาดนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ไต้หวัน, ฮ่องกง และ สิงคโปร์  เนื่องจากลำไยเป็นผลไม้ที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้น เน่าเสียได้ง่ายในระหว่างการขนส่ง ทั้งนี้สัดส่วนการส่งออกอยู่ในรูปลำไยสด 59% ลำไยแห้ง 13% และลำไยกระป๋อง 28%   เพื่อแก้ปัญหาลดการเน่าเสียระหว่างการขนส่งของผลลำไยสด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว,) ได้ทำการศึกษาและวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยืดอายุลำไยสด โดยการรมควันด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรคเน่าหลังการเก็บเกี่ยว โดยการรมควันในอัตราที่เหมาะสมจะสามารถป้องกันการเน่าเสียที่เกิดจากเชื้อรา ช่วยยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลของเปลือกได้ โดยลำไยที่ผ่านการรมควันจะมีสีเปลือกที่สวยงาม และอายุในการวางจำหน่ายนานยิ่งขึ้น

      วว. ได้ออกแบบพัฒนาห้องรมควันลำไย ดังนี้

  • พัฒนาระบบกำจัด SO2 ที่เหลือทิ้ง เพื่อแก้ปัญหาการปล่อย SO2 ออกสู่บรรยากาศ
  • พัฒนาระบบผลิต SO2 ที่สามารถควบคุมปริมาณความเข้มข้นของ SO2 ที่ใช้ในห้องรมควันอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาห้องรมควันลำไยแบบต่อเนื่อง ที่มีระบบลำเลียงลำไยเข้าห้องรมควันอย่างต่อเนื่องขณะที่ภายในห้องมี SO2 รออยู่ก่อนแล้ว และระยะเวลาที่ลำไยอยู่ภายในห้องรมควันคงที่ มีการควบคุมปริมาณ SO2 ค้างอยู่ในเปลือกและเนื้อลำไยไม่เกินตามที่กำหนด ก่อนออกจากห้องรมควันจะมีระบบดูดอากาศ ทำการดูด SO2 จากภายในตะกร้าที่บรรจุลำไยไปบำบัด ส่วน SO2 ที่อยู่ภายในห้องจะถูกนำไปใช้รมควันลำไยชุดใหม่ที่เคลื่อนที่เข้ามาแทนชุดเก่าที่ออกไปแล้ว ทั้งนี้ถ้าความเข้มข้น SO2 ภายในห้องทดลองลดลง จะมีระบบทำการผลิต SO2 เข้ามาทดแทน เพื่อให้มีความเข้มข้นตามที่ต้องการ

      ทั้งนี้ระบบห้องรมควันแบบต่อเนื่องนี้ จะสามารถควบคุมปริมาณ SO2 ที่ตกค้างที่เปลือกและเนื้อลำไยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดปริมาณ SO2 ที่ต้องระบายออกสู่บรรยากาศภายนอกอีกด้วย

เคยสงสัยไหมคะว่า เรามีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารอะไรบ้าง ถ้าอยากรู้ ท่านสามารถเข้าไปอ่านบทความความรู้ดีๆได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  อาทิ

ลองคลิกดูสิคะ

โดย นายทศวรรษ แผนสมบูรณ์
สถานีวิจัยลำตะคอง

      การอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืชมีความสำคัญต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากรโลกในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง      พันธุกรรมพืชถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการผลิตและการปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ความหลากหลายทางพันธุกรรมของทรัพยากรเหล่านี้อาจจะสูญหายไป เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการหรือการขาดความตระหนักของมนุษย์ในการใช้ทรัพยากรเหล่านี้วิทยาการสำหรับการอนุรักษ์และการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชจึงมีบทบาทสำคัญที่จะดำรงไว้ซึ่งความหลากหลายของทรัพยากรนี้ให้ยั่งยืนถูกต้องตามหลักวิชาการและมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

      ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะชนิดพันธุ์พืชที่มีจำนวนมากกว่า 15,000 ชนิด ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกจากพื้นที่ป่าในหลายจังหวัดของประเทศไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ในปัจจุบัน ถิ่นอาศัยของพืชหลายแห่งในประเทศไทยลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายกิจกรรม เช่น การทำลายพื้นที่ป่า การเกษตร การท่องเที่ยว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก จึงมีการคาดการณ์ว่าหากไม่มีการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง อาจมีพืชอย่างน้อย 60,000 ชนิด ที่จะสูญพันธุ์ภายใน 50 ปี ข้างหน้า

      ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและทราบถึงความหลากหลายทางชีวภาพของพืชหายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชใกล้สูญพันธุ์โดยศึกษาวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อพันธุกรรมพืชให้ได้วิธีการที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุกรรมของพืชหายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชที่มีศักยภาพในการพัฒนานำไปใช้ประโยชน์และพืชใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทย

      จากข้อมูลในหนังสือพรรณไม้หายากในประเทศไทย ซึ่งได้ยกตัวอย่างรายชื่อพืชที่หายากไว้ เช่น

  • กุหลาบแดง (Rhododendron arboretum)
  • รางจืดภูคา (Thunbergiacolpifera)
  • เต่าร้างดอยภูคา (Caryotaobtusa)
  • ก่อสามเหลี่ยม (Trigonobalanusdoichangensis)
  • กฤษณาน้อย(Gyrinopvidalii)
  • โมกราชินี (Wrightiasirikitiae)
  • โมกเขา (Wrightialanceolata)
  • นกกระจิบ (Aristolochiaharmandiana)
  • มหาพรหม (Mitrephorakeithii)
  • กระเพราหินปูน (Plectranthusalbicalyx)
  • ส้านดำ (Dilleniaexcelsa)
  • ก่วมภูคา (Acer wilsonii)
  • ชมพูภูคา (Bretschneiderasinensis)
  • เทียนกาญจนบุรี (Impatiens kanbuiensis)
  • เทียนคำ (Impatiens longiloba)
  • เทียนเชียงดาว (Impatiens chiangdaoensis)
  • เทียนนกแก้ว (Impatienspsittacina)
  • เหยื่อกุรัม(Impatiens mirabilis)
  • ปาล์มบังสูรย์ (Johammesteijsmanniaaltifrons)
  • โพอาศัย (Neohymenopogonparasiticus)
  • โมฬีสยาม (Reevesiapubescens)

      รวมถึงกล้วยไม้ป่าต่างๆ อีกหลายสกุลที่จะสามารถพบได้เพียงถิ่นเดียว (endemic species) เท่านั้น

      ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ส่วนมากเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งสามารถระบุสาเหตุสำคัญๆ ได้ดังนี้ เช่น

  1. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและบริโภคเพื่อทำการเกษตรแบบมุ่งเน้นการค้า มีการผลิตสายพันธุ์เดียวโดยละทิ้งสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม มีการใช้สารเคมีมากขึ้นในการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช เกิดสารพิษตกค้างในดินและแหล่งน้ำ กระทบต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน และสัตว์น้ำ รวมถึงกระทบต่อสภาพดั้งเดิมของพื้นที่การเจริญของพืช
  2. การเติบโตของประชากรและการกระจายตัวของประชากร ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ
  3. การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์นานาพันธุ์   เช่น  การทำลายป่า  การล่าสัตว์  การอพยพหนีภัยธรรมชาติของสัตว์ ทำให้เกิดการขาดสมดุลทางธรรมชาติ
  4. มีการนำมาทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ประโยชน์มากเกินไป
  5. การตักตวงผลประโยชน์จากชนิดพันธุ์ของพืชและสัตว์ป่า  เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยการค้าขายสัตว์และพืชป่าแบบผิดกฎหมาย
  6. การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อการเข้าทำลายสายพันธุ์ท้องถิ่นดั่งเดิม
  7. การสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ และขยะ เป็นต้น
  8. การเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจ  และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของโลก  เช่น  อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล  ภัยแล้งทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ การเกิดไฟป่า ในช่วงฤดูฝน  เกิดปัญหาน้ำท่วม โคลนถล่ม เป็นต้น
  9. การอ้างสิทธิบัตร เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรการผลิตสารแก้โรคกระเพาะจากต้นเปล้าน้อย ซึ่งเป็นพันธุ์พืชที่มีในประเทศไทย (สรุปข่าวสิ่งแวดล้อม ปี 2543)
  10. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)ด้านการตัดต่อพันธุกรรมหรือ  จีเอ็มโอ (GMO; Genetically Modified Organisms) หรือพันธุวิศวกรรม(genetic  engineering) อาจทำให้เกิดการรุกรานที่รุนแรงขึ้นและมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงของประชากรพืช

      ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรพืชที่หายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชใกล้เคียงพืชปลูก และพืชใกล้สูญพันธุ์จึงได้มีการสำรวจ รวบรวมข้อมูล เก็บตัวอย่างพืชเพื่อศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยา การระบุชนิดของพืชด้วยสัณฐานวิทยา และการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช ทั้งการเก็บรักษาในแบบสภาพแปลง (field gene bank) การเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำ (cryopreservation) การขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (in vitro tissue culture) รวมถึงการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช (seed banks)ซึ่งอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นศึกษาวิจัยและหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสถานีวิจัยลำตะคองมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ทางด้านการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ห้องพิพิธภัณฑ์พืช อาคารเรือนกระจกสำหรับจัดแสดงพรรณไม้ และโรงเรือนเพาะชำและขยายพันธุ์พืช เพื่อใช้ในการทดลอง รวบรวม และวิจัยวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช ให้สามารถเป็นต้นแบบในการจัดการระบบการบริหารทรัพยากรชีวภาพพืช เพื่อใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศต่อไป

      ซึ่งตัวอย่างพืชที่ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้มีการรวบรวมศึกษาไว้แล้ว ได้แก่ พืชวงศ์ขิง(Zingiberaceae) พืชวงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae) และพืชเขาหินปูนในประเทศไทยโดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าในประเทศไทยที่มีความหลากหลายสูงแต่ก็ถูกทำลายโดยการลดลงของพื้นที่ป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

ภาพตัวอย่างการบุกรุกพื้นที่ป่าในประเทศไทย

   

 

งานด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของสถานีวิจัยลำตะคอง

      สถานีวิจัยลำตะคอง ได้ดำเนินการจัดสร้างอาคารอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และอาคารเทคโนโลยีการเกษตรเสมือนจริงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพื้นที่ของสถานีวิจัยลำตะคอง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาหรือวิวัฒนาการการใช้ประโยชน์จากพืช ความสัมพันธ์ของวิวัฒนาการระหว่างพืชกับสัตว์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์ ด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และความหลากหลายทางชีวภาพด้านแมลงที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมซึ่งจะเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ

อาคารอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

การเก็บรวบรวมเชื้อพันธุกรรมพืชในโรงเรือนและในสภาพแปลงปลูก

      นอกจากนี้ยังมีห้องปฏิบัติการในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชที่มีความสำคัญต่อประเทศทั้งในด้านการนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืช และเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ดีของพืชอาหารของประเทศไทยที่สำคัญ รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และได้มีการศึกษาวิจัยการเก็บรักษาให้เหมาะสมของพืชแต่ละชนิดไว้มากกว่า 400 ชนิด รวมถึงการวางแนวทางในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ด้วยไนโตรเจนเหลว (Cryopreservation)ภายในห้องปฏิบัติมีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช

ตัวอย่างพืชที่มีการเก็บรวบรวมและเก็บรักษาไว้ภายในห้องปฏิบัติมีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช

Musa acuminata(กล้วยป่า)
Zingibersmilesianum
Paraboeatakensis
Oryzameyeriana(ข้าวนก)
Oryzaofficinalis(หญ้าข้าวทาม)
Vignadalzelliana(ถั่วแฮผี)
Vignagrandiflora(ถั่วขนดอกใหญ่)
Spiranthessinensis
Dioscoreafiliformis(มันเทียน)
Monolophus alba
Saccharumarundinaceum(แขม)
Amaranthusviridis(ผักขม)
Paraboeachiangdaoensis
Impatiens spectabilis
Impatiens phuluangensis
Kaempferia sp.(เปราะ)
เป็นต้น

 

การดำเนินงานรวบรวมและวิจัยภายในห้องปฏิบัติการเมล็ดพันธุ์พืช

      อีกทั้ง ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้มีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อศึกษาวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชในรูปแบบการเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ มีการศึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ป่าในประเทศไทย กว่า 40 ตัวอย่าง รวมถึงเชื้อพันธุ์กรรมของพืชหายากใกล้สูญพันธุ์ต่างๆ และมีการวางแนวทางการวิจัยด้านการเก็บรักษาเชื้อพันธุ์ในสภาพเยือกแข็งทั้งพืชหายากและพืชพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น กล้วย เป็นต้น

แผนผังและภาพแสดงตัวอย่างพืชที่มีการรวบรวมเพื่อการอนุรักษ์ ภายในห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของสถานีวิจัยลำตะคอง

    
   
 
 

      สำหรับการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้หายากของไทยที่ทางทีมงานของสถานีวิจัยลำตะคองได้รวบรวมและเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชไว้ ยังมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความหลากหลายทางชีวภาพพืชที่มีอยู่ทั้งหมดของประเทศไทย ทั้งที่เป็นพืชหายากและพืชใกล้สูญพันธุ์ โดยพืชที่ยังอยู่ในพื้นที่การเจริญเติบโตตามธรรมชาติก็ยังคงถูกคุกคามอย่างหนักและต่อเนื่อง จึงยังคงมีแนวโน้มที่พืชจำนวนมากจะเผชิญต่อความเสี่ยงในการสูญพันธุ์เพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่จะทำให้การอนุรักษ์พันธุกรรมของพืชสามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้นั้น คงต้องอาศัยการปลูกจิตสำนึกแห่งการอนุรักษ์ให้เยาวชนและประชาชนคนทั่วไปได้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างถูกวิธีและเหมาะสม ทั้งการควบคุมดูแล การอนุรักษ์ การปกป้องถิ่นที่อยู่ของพืชรวมถึงการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้ง การบูรณาการร่วมกันระหว่างองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดต่องานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรพืชของไทย และดำรงอยู่เป็นมรดกแก่อนุชนรุ่นหลังให้ได้เรียนรู้และศึกษา อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างยั่งยืน

 

คิด(ส์)คิดวิทย์ โครงการดีๆจากนักเรียนและอาจารย์ที่หลงใหลในวิทยาศาสตร์

Selective Dissemination of Information : SDI

คือ บริการเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศแบบเจาะจง ที่ให้ คุณ สามารถแนะนำความต้องการสารสนเทศเพื่อการศึกษาและการวิจัยที่ตอบสนองต่อความต้องการของคุณ ผ่าน Leave a Reply ที่นี่ เพื่อเราจะดำเนินการจัดหาสารสนเทศมาแบ่งปันให้คุณได้อย่างเหมาะสม ตรงใจ

มารู้จักเรา :

เรา คือ ทีมงาน ของ กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกองภายใต้ สำนักดิจิทัลและสารสนเทศ (สทส.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) รัฐวิสาหกิจในสังกัด กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เพื่อเราสามารถเป็นที่ต้องการ และเป็นที่พึ่งของคุณได้ เพียง คุณแนะ ผ่าน Leave a Reply ด้านล่าง เราจัดให้


คลิกเล่นที่ ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) เพื่อทำความรู้จักกับคุณประโยชน์ของไบโอฟลาโวนอยด์และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำผักผลไม้รวมเสริมไบโอฟลาโวนอยด์ของ วว. กันได้ที่นี่ค่ะ

นายวรพล บรรณจิต
ลูกจ้างทั่วไป
สถานีวิจัยลำตะคอง
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์

ประวัติความเป็นมา

    บัวตอง (Mexican Sunflower Weed) เป็นไม้ประจำถิ่นของอเมริกากลางแถบเม็กซิโก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tithonia diversifolia (Hemsl.) A. Gray. เป็นไม้ดอกที่มีอายุการเจริญเติบโตหลายปี ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 5-6 เมตร ลักษณะการออกดอกเป็นช่อเดียว บริเวณปลายกิ่ง ดอกมีสีเหลืองคล้ายดอกทานตะวัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกวงนอกเป็นหมัน กลีบเรียวมีประมาณ 12–14 กลีบ ดอกวงในสีเหลืองส้มเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ใบของบัวตองเป็นใบเดี่ยว รูปไข่หรือแกมขอบขนาน มีขนขึ้นเล็กน้อยประปราย ปลายใบเว้าลึก 3–5 แฉก ชอบขึ้นในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น กระจายพันธุ์มากบนยอดดอยที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 800 เมตรขึ้นไป โดยจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนมกราคม พบการกระจายพันธุ์ครั้งแรกในประเทศไทยบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเจริญเติบโตอย่างกว้างขวางจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน จนถึงปัจจุบัน

   

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien species)

    บัวตอง จัดเป็นพืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species-IAS) เรียกกันโดยทั่วไปว่า เอเลียนสปีชีส์ เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว และสามารถเจริญเติบโตและมีการแพร่กระจายได้ในธรรมชาติ เป็นชนิดพันธุ์เด่นในสิ่งแวดล้อมใหม่ (dominant species) และเป็นชนิดพันธุ์ที่อาจทำให้ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นหรือชนิดพันธุ์พื้นเมืองสูญพันธุ์ รวมถึงส่งผลคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และมีผลทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล

กรณีศึกษา…..การปลูกบัวตองบนยอดดอย “ลงทุนน้อยเสียหายมาก”

    บัวตอง ณ ดอยปุยหลวง หมู่บ้านห้วยฮี้ ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากในอดีตได้มีความคิดที่จะทำให้ดอยปุยหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ จึงคิดวิธีหาทางทำให้ดอยปุยหลวงนั้นมีจุดโดดเด่นขึ้นเพื่อให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว จึงได้ทำเลียนแบบที่ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม โดยนำเมล็ดบัวตองมาปลูก บนยอดดอยปุยหลวง โดยบัวตองเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในธรรมชาติและยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตด้วยแล้วจะทำให้บัวตองสามารถเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติแล้วบัวตองมีความสามารถในการแก่งแย่งสูง ขึ้นเป็นกอแน่นในที่โล่ง เพียงเวลาแค่ไม่นานบัวตองก็เริ่มปกคลุมดอยปุยหลวงเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งทำให้พืชถิ่นเดิมที่ดอยปุยหลวงเริ่มมีการกระจายพันธุ์น้อยลง และประชากรลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด โดยรากของบัวตองสามารถปล่อยสารพิษยับยั้งพืชอื่น (Allelopathy) จึงทำให้พืชอื่นไม่สามารถขึ้นได้ ต้นแตกหน่อได้ดี ภายใต้ชั้นเรือนยอดของบัวตองไม่ปรากฏว่ามีกล้าของไม้ต้นหรือไม้พุ่มชนิดอื่นขึ้นเลย โอกาสที่พื้นที่เปิดโล่งจะมีการทดแทนของลูกไม้และกล้าไม้ที่อยู่โดยรอบไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถึงเริ่มมีทุ่งดอกบัวตองแล้วดอยปุยหลวงก็ยังไม่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากนัก ซึ่งต่างจากทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างมาก……ในช่วงเวลานั้นดร.ปราโมทย์ ไตรบุญ นักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้มีโอกาสไปทำงานวิจัยที่ดอยปุยหลวง และเห็นสภาพดอยปุยหลวงที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยเห็นพันธุ์ไม้แปลกๆ หายาก แต่ตอนนี้กลับเริ่มหายไปและมีดอกบัวตองขึ้นมาแทนเป็นจำนวนมาก จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของพืชถิ่นเดิมและความหลากหลายทางชีวภาพของดอยปุยหลวง ว่าจะเกิดการเสื่อมโทรมและเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่ยากจะแก้ไข จึงได้สร้างเครือข่ายการกำจัดบัวตองร่วมกับนักวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อที่จะได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ของบัวตองต่อการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพของท้องถิ่น และร่วมกันหาทางออกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของดอยปุยหลวง ซึ่งชาวบ้านก็เห็นสมควรแล้วให้ความร่วมมือที่จะให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยในขั้นต้นได้ดำเนินการให้ชาวบ้านหยุดการนำเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์เพื่อลดปริมาณของต้นบัวตอง ส่วนบัวตองที่กระจายพันธุ์บนดอยปุยหลวงนั้น ยังกินพื้นที่ไม่มากนักก็สามารถควบคุมโดยวิธีเชิงกลได้ เพื่อที่จะลดการใช้สารเคมีอันตรายต่างๆ โดยการถาง ตัดลำต้นและขุดรากทำลายทิ้งก่อนที่จะมีการออกดอก ติดเมล็ด และทำการสำรวจพื้นที่ประมาณ 4 เดือน/ครั้ง ว่าปริมาณของต้นบัวตองลดจำนวนลงมากน้อยเพียงใด ควบคุมดูแลจนกว่าปริมาณของต้นบัวตองจะลดลงไปจนหมดพื้นที่ดอยปุยหลวง และให้ดอยปุยหลวงคืนสภาพกลับมาเป็นดอยที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืชดั้งเดิมและเกิดการฟื้นฟูอย่างยั่งยืนของชุมชนและธรรมชาติ ซึ่งความสวยงามของดอยปุยหลวงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบัวตองอย่างที่ชาวบ้านคิด แต่จริงๆ แล้วความสวยงามที่แท้จริงของดอยปุยหลวงอยู่ที่ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาให้นั่นเอง

  สำหรับในพื้นที่ที่มีการระบาดของบัวตองในปริมาณมากแล้วนั้น หรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ทำรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่แห่งนั้น ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของบัวตองที่สามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชุมชนได้ ทั้งนี้ในพื้นที่ดังกล่าวก็ควรมีการควบคุมจำกัดขอบเขตการกระจายพันธุ์ให้ชัดเจน และไม่ควรให้มีการแพร่พันธุ์เข้าสู่พื้นที่อื่นๆ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ เพื่อลดและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต

  รวมถึงนักวิชาการและนักวิจัยเองก็ควรมีวิธีการในการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ถึงผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนมีวิธีการจัดการกับพื้นที่ที่มีการกระจายพันธุ์แล้วให้สามารถควบคุมและจำกัดขอบเขตการกระจายพันธุ์ให้ชัดเจน เพื่อความยั่งยืนของความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพของไทย ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมแล้วใช้ประโยชน์ต่อไป

  • ความหลากหลายทางชีวภาพจังหวัดเชียงใหม่. 2552. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species). [Online]. Available:
    http://chm-thai.onep.go.th/chm/data_province/Chiangmai/alien_spp.html (25 พฤษภาคม 2560)
  • จริยา แสวงทรัพย์สกุล. 2549. ดอกบัวตอง. [Online]. Available: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/ 2549/m6-3/no12/flower/sec01p07.htm (25 พฤษภาคม 2560)
  • ฟ้าใสวันใหม่. 2557. วัชพืชแสนสวย เอเลียนสปีชีส์. [Online]. Available: https://www.bloggang.com/m/viewdiary. php?id=fasaiwonmai&month=11-2014&date=24&group=2&gblog=631 (25 พฤษภาคม 2560)