พรีไบโอติกและโพรไบโอติก
คลิกเล่นที่ พรีไบโอติกและโพรไบโอติก เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพรีไบโอติกและโพรไบโอติกไปกับทีม KM ของ วว. กันค่ะ
KM วิธีการดำเนินการจัดการความรู้ และที่เกี่ยวข้องเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้
คลิกเล่นที่ พรีไบโอติกและโพรไบโอติก เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพรีไบโอติกและโพรไบโอติกไปกับทีม KM ของ วว. กันค่ะ
นายทศวรรษ แผนสมบูรณ์
สถานีวิจัยลำตะคอง
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์
กล้วยไม้ในสกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum) ได้ตั้งสกุลนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2429 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คือ Paphia หมายถึง เทพธิดาแห่งความรักและความงาม และ pedilon หมายถึง รองเท้าของผู้หญิง ซึ่งหมายถึงลักษณะกลีบดอกที่เป็นถุงลึกคล้ายรองเท้า พบทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล้วยไม้รองเท้านารี มีชื่อสามัญคือ Lady’s Slipper จัดไว้ในวงศ์กล้วยไม้ (Family Orchidaceas) ชื่อสกุล (Genus) Paphiopedilum โดยลักษณะเด่นของกล้วยไม้ในสกุลนี้ คือ ส่วนกลีบปากลักษณะคล้ายถุง (saccate) หรือทั่วไปดูว่าคล้ายส่วนหัวของรองเท้าสุภาพสตรี จึงทำให้มีชื่อสามัญว่า“Slipper Orchid” ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่า “กล้วยไม้รองเท้านารี”
ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกล้วยไม้สกุลรองเท้านารีชนิดหนึ่ง คือ กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ Paphiopedilum villosum (Lindl.) Stein ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่มีความเสี่ยงใกล้ที่จะสูญหายไปจากประเทศไทย
โดยช่วงต้นปี ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจพรรณไม้และจัดเก็บตัวอย่างพรรณไม้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ และได้มีโอกาสเดินสำรวจในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีวงรอบระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล หลังจากเดินสักพัก ก็ได้พบกับกล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่สวยงามและกำลังออกดอก พอสังเกตดูพบว่า มีการทำตะกร้าและใส่วัสดุรองปลูกมาติดไว้ตามต้นไม้ ทำให้เข้าใจว่าได้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ และนำมาปลูกคืนป่า ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เบื้องต้นได้ว่า กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์เป็นกล้วยไม้ที่หายาก และ ใกล้ที่จะสูญพันธุ์ และอีกเหตุผลที่สำคัญคือมีลักษณะดอกที่สวยงาม โดยสาเหตุของการสูญพันธุ์อาจมาจากการที่ชาวบ้าน หรือนักลงทุนมีการบุกรุกเข้าพื้นที่ป่าเพื่อเก็บกล้วยไม้ป่าไม่ว่าจะเป็นรองเท้านารีหรือกล้วยไม้ป่าชนิดอื่นๆ เพื่อนำไปขาย ทั้งการขายในประเทศและต่างประเทศ ทำให้กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์และกล้วยไม้ชนิดอื่น ๆ มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย
กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ มีถิ่นการกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัม สาธารณรัฐอินเดีย จนถึงทางตอนใต้ของประเทศจีน มีลักษณะ พุ่มต้นกว้างประมาณ 25-30 ซม. ใบกว้าง 3.5-4 ซม. ยาว 30-40 ซม. ใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ใต้ใบบริเวณโคนกาบใบ มีจุดประสีม่วง แตกหน่อได้ดี มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขนาดประมาณ 10-12 ซม. ก้านดอกตั้งตรงยาว 10-12 ซม. กลีบดอกหนาเป็นมันเงา พื้นดอกสีเหลืองปนน้ำตาล กลีบบนบริเวณขอบมีสีเหลืองหรือขาว โคนกลีบบนสีน้ำตาลเข้ม กลีบในมีเส้นสีน้ำตาลเข้มแบ่งกึ่งกลางตามความยาวกลีบ กระเป๋าสีน้ำตาลเป็นมันเงา มีเส้นร่างแหสีน้ำตาล ออกดอกในช่วง มกราคม – มีนาคม ในธรรมชาติพบในทำเลที่เป็นป่าดิบภเขา ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่หนา โดยขึ้นอยู่สูงประมาณ 1200-1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล รองเท้านารีอินทนนท์เป็นกล้วยไม้แบบอิงอาศัย โดยพบขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ที่มีลักษณะเปลือกหนา มีการผุพังของเปลือกไม้ง่าย ปกคลุมด้วย มอส เฟิร์น ตะไคร่น้ำ อุ้มความชื้นได้ดี โดยหยั่งรากไปตามเปลือกไม้ ตามดอยสูงทางภาคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ ดอยแม่อูคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน บริเวณภูหลวงจังหวัดเลย รวมถึงในฝั่งประเทศพม่า อินเดีย และตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
และหลังจากที่ผู้เขียนลงมาจากการสำรวจพรรณไม้ ณ กิ่วแม่ปาน ก็ได้สำรวจและเดินศึกษาธรรมชาติตรงจุดอื่น ๆ จนพระอาทิตย์ใกล้ที่จะตกดิน และก่อนที่จะเข้าที่พักก็ได้มีโอกาสไปที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์” แต่น่าเสียดายเมื่อไปถึงศูนย์อนุรักษ์กำลังจะปิดและปิดในส่วนของโรงเรือนเพาะชำไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของสวนสาธารณะยังไม่ปิดตัวลง จึงได้เข้าไปเดินชมกล้วยไม้รองเท้านารีนานาชนิดที่ได้ทำการจัดแสดงไว้ภายในสวน
ในพื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ฯ มีการรวบรวมและจัดแสดงกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี ในประเทศไทยซึ่งพบทั้งหมด 17 ชนิด ทำรูปปั้นเสมือนดอกกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี ชนิดต่างๆ ไว้โดยมีขนาดที่ขยายขึ้นมาให้เห็นดอกและจุดเด่นของแต่ละชนิดไว้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาได้ชมและแยกแต่ละชนิดออกได้
โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ตามพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้น “ เพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี เพื่อการศึกษาวิจัยและการท่องเที่ยว ขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวและจำหน่ายกล้วยไม้ที่ได้จากการขยายพันธุ์ สร้างจิตสานึกและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีหายาก ขจัดปัญหาการลักลอบนำกล้วยไม้ออกจากป่าธรรมชาติซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ของกล้วยไม้”
โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิจัยด้านพฤกษศาสตร์ที่สำคัญ โดยสามารถขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีที่หายากเพื่อนำกลับคืนสู่ป่าธรรมชาติ เพื่อจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของกล้วยไม้รองเท้านารีและรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ ประชาชนในพื้นที่โครงการฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการปลูกจิตสานึกและกระตุ้นความต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอย่างยั่งยืนต่อไป ช่วยลดปัญหาการลักลอบนำกล้วยไม้จากป่าธรรมชาติออกมาจำหน่าย
การขยายผลการดำเนินงานในอนาคต คือ ทำการศึกษาวิจัยถิ่นที่อยู่อาศัยของกล้วยไม้รองเท้านารีแต่ละชนิดว่าขึ้นอยู่ในระดับความสูงเท่าไหร่ อิงอาศัยกับพืชพรรณชนิดใด ในทิศทางใด เพื่อให้การดำเนินการปล่อยกล้วยไม้คืนสู่ป่า มีเปอร์เซ็นต์รอดตายสูงสุด
ทั้งนี้ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ เพื่อให้ผู้อ่านได้มีส่วนร่วมกันในการอนุรักษ์พันธุ์พืชของไทย โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีความหลากหลายและความงามอย่างโดดเด่น เพื่อให้คงอยู่สำหรับอนุชนรุ่นหลังที่จะได้เห็น ชื่นชมและได้รู้จักกันสืบต่อไป และให้เป็นมรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของประเทศตราบนานเท่านาน
นายพงศกร นิตย์มี
นักทดลองวิทยาศาสตร์วิจัย
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์
วว. ได้มีความร่วมมือกับ Yunnan Academy of Science and Technology Development (YASTD) ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีกำหนดจะจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ เรื่อง Invitation of International Workshop on Tea Cultivation and Processing Technology for South and Southeast Asian ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน 2560 ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ผู้เขียนในฐานะนักทดลองวิทยาศาสตร์วิจัย ประจำสถานีวิจัยลำตะคอง ซึ่งอยู่ภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ได้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ เรื่อง Invitation of International Workshop on Tea Cultivation and Processing Technology for South and Southeast
ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เดินทางไปต่างประเทศเพียงคนเดียว ต้องขอยอมรับเลยว่า ตอนแรกก็มีอาการกลัวมาก เกี่ยวกับการเดินทางและการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เพราะระยะเวลาในอบรมใช้เวลาถึง 20 วัน ในความรู้สึกที่ต้องไปเข้าอบรม นอกจากกลัวแล้วคือ ทำไมนานจังและประสบการณ์แบบนี้มีน้อยมาก แต่เนื่องจาก มีรุ่นพี่ที่ทำงานค่อยช่วยเหลือทางด้านการติดต่อสื่อสารกับทางสาธารณรัฐประชาชนจีน และคอยแนะแนวทางในการใช้ชีวิตระหว่างที่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้ผู้เขียนเกิดความมั่นใจในการที่จะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ยังต่างประเทศ ต้องขอขอบพระคุณ ดร. ปราโมทย์ ไตรบุญ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ค่อยให้การช่วยเหลือกระผมตลอดมา
จากรายชื่อผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม พบว่า ประเทศไทยได้มีผู้เขียนเพียงคนเดียวที่มาอบรมในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าโดดเดียวมากครับ เพราะว่า ประเทศอื่น ๆ มากันเป็นทีม แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เรามีการทำกิจกรรม มีการออกมาพูดตามหัวข้อที่ทางผู้จัดได้กำหนด และมีการรวมกลุ่ม ทำให้ทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น
กระผมได้บรรยายในหัวข้อ The research condition of tea industry and situation in Thailand. ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความสนใจมาก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการทำตลาดชามาก และประกอบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากทางภาครัฐและเอกชน ทำให้อนาคตอาจมีความร่วมทางด้านการวิจัยและการพัฒนาทางด้านการผลิตชา
ภาพบรรยากาศ หลังจากการฝึกปฏิบัติการตรวจสอบคุณสมบัติของชาในแต่ละประเภท ซึ่งมีให้ตรวจสอบมากมาย
การทดสอบคุณสมบัติของชาแต่ละประเภท เช่น กลิ่น รสชาติ ลักษณะภายนอก เป็นต้น
ซึ่งได้แบ่งกลุ่มและร่วมกันตรวจสอบ
การฝึกทำชา แบบลักษณะก้อนเค้ก ซึ่งกระผมได้ทำเองกับมือทุกขั้นตอน และทางผู้จัดได้ให้กลับบ้านเป็นของที่ระลึก
การบรรยายในแต่ละหัวข้อในแต่ละวัน
เพื่อนใหม่ที่สนิทในกลุ่ม เช่น มาเลเซีย เนปาล เป็นต้น
การกล่าวความรู้สึกสำหรับการฝึกอบรมในครั้งนี้
สำหรับพิธีการ ปิดการฝึกอบรม ผมก็ได้รับโอกาสเช่นกัน
ประสบการณ์ที่ได้ไปเข้าอบรมครั้งนี้ จากความกลัว ตื่นเต้น กังวล กลายเป็นความรู้สึกที่ดี ประทับใจ ขอบคุณ วว. พี่ๆ ผู้สนับสนุนทุกท่าน เพราะสิ่งที่ได้รับ… นอกจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องการวิจัยและการพัฒนาของชาแล้ว ความร่วมมือในอนาคตระหว่างนักวิจัยและหน่วยงานต่างๆคงจะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยส่วนตัว ผู้เขียนยังได้มีการพัฒนาตนเองทั้งเรื่องภาษา การปรับตัว การนำเสนอผลงาน และที่สำคัญได้คำว่า “ มิตรภาพและความร่วมมือ” ตลอด 20 วัน มีการช่วยเหลือกันและกัน ความผูกพันค่อยๆสานต่อจนเรียกได้ว่ามีเพื่อนจากหลากหลายประเทศที่ต่างวัฒนธรรม เพื่อนแต่ละคนมีสัญญาใจกันว่า ถ้าเพื่อนคนไหนมาเยือนประเทศตัวเอง ต้องมีการดูแลกันอย่างดี การติดต่อสื่อสารในยุคนี้ ไม่ยากเลยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนนาน
ทั้งหมดนี้คือความประทับใจที่คนทำงานตัวเล็กๆ ได้ถ่ายทอดจากใจ
ขอบคุณ วว. ที่ให้โอกาสเปิดหู เปิดตา และเปิดใจ
คลิกเล่นที่ Good Knowledge : มารู้จัก Functional Foods กันเถอะ เพื่อมาทำความรู้จักกับ Functional Foods กันว่า คืออะไร ต่างจากอาหารปกติไหม มีประโยชน์กับเราอย่างไร เราจำเป็นต้องกินหรือไม่ ได้จาก Good Knowledge เลยค่ะ