Category: การจัดการความรู้
KM วิธีการดำเนินการจัดการความรู้ และที่เกี่ยวข้องเพื่อการได้มาซึ่งองค์ความรู้
ประสบการณ์ตรงในการเตรียมตัว work from home
โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา และ ธันยกร อารีรัชชกุล
กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.)

ช่วงเวลาโควิด-19 ที่ระบาดหนัก ทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัว มีทั้งการให้พนักงานเหลื่อมเวลาทำงาน และให้ทำงานจากที่บ้าน (work from home) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งหากเป็นบริษัทเอกชนที่มีคนรุ่นใหม่ซึ่งคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอยู่เป็นจำนวนมากก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไรมากนักในการเตรียมตัวก่อนจะเข้าสู่โหมด work from home อย่างเต็มรูปแบบ แต่หากเป็นในส่วนของราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น อาจจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานกันก่อน เพราะเชื่อว่า บุคลากรหลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีหรือระบบใหม่ๆ ที่ถาโถมกันเข้ามาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นก่อนการเตรียมตัว ในทีมหรือในหน่วยงานจำเป็นจะต้องเลือกเทคโนโลยี หรือระบบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดำเนินงานต่างๆ ร่วมกัน โดยคำนึงถึงความเสถียรและการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย (user friendly) เป็นหลัก
สำหรับในการเตรียมตัวจากประสบการณ์ตรงที่อยากจะมาแชร์ สิ่งแรกเลยคือ เราจะต้องเลือกระบบที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงานทางด้านต่างๆ ดังนี้
- ระบบที่จะใช้สื่อสารระหว่างกัน
- ระบบที่จะใช้จัดเก็บ หรือส่งต่อข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ระหว่างกัน
- ระบบที่จะใช้ในการควบคุมหรือแก้ไขปัญหาในระยะไกลผ่านทางคอมพิวเตอร์
- ระบบที่จะประเมินผลการทำงานในระหว่างที่ work from home
ทั้ง 4 ระบบนี้ จำเป็นต้องใช้ทั้งเทคโนโลยี และการวางแผนอันชาญฉลาดของหัวหน้าทีม โดยเฉพาะในข้อที่ 4 ต้องมีการจัดทำให้สอดคล้องกับการประเมินผลงานประจำปี/KPI/OKRs ของหน่วยงานด้วย โดยในช่วง work from home อาจให้มีการรายงานผลเพื่อประมินทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์
สิ่งต่อมาในการเตรียมตัวเข้าสู่โหมด work from home นั้น ก็คือ การอบรมและซักซ้อมทำความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีที่หัวหน้าทีมเลือกมาเพื่อใช้สื่อสาร และใช้จัดเก็บหรือส่งต่อข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ระหว่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าในหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจอย่างของผู้เขียนนั้น มีบุคลากรหลายท่านไม่คุ้นเคยกันการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Google Duo, Slack, Microsoft Team และ Cloud Drive ซึ่ง application ต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นสิ่งใหม่ของบุคลากรหลายๆ ท่าน ดังนั้น ก่อนการเริ่ม work from home ทางทีมของผู้เขียนจึงต้องมีการปรึกษาหารือ เพื่อเลือกระบบที่เป็น user friendly มากที่สุด เพื่อการอบรมและซักซ้อมให้กับทางหน่วยงานของเราในเวลาที่จำกัด ซึ่งเมื่อหารือกันแล้ว และทดลองใช้ระบบต่างๆ ทีมของเราจึงได้เลือก Line, Zoom, Cloud Drive และ Team Viewer มาใช้ในการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานของผู้เขียนได้เคยมีการอบรมการเข้าใช้ Cloud Drive กันมาบ้างแล้ว เราจึงแค่มีการทบทวนความจำกันสั้นๆ จากนั้นจึงเริ่มอบรมการใช้ Zoom และทดลอง video conference ที่โต๊ะทำงานตนเองก่อนเป็นเวลาอีก 1 วัน แล้วจึงให้ทดลองที่บ้านอีกเป็นเวลา 2 วัน โดยก่อนที่จะให้ work from home ทางหัวหน้าทีมจะให้ทุกคนลงโปรแกรม Team Viewer ไว้กับเครื่องที่จะใช้ทำงาน เพื่อที่หากมีปัญหา ทางหัวหน้าทีมจะได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือได้แบบรีโมทกันเลย ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเมื่อเราเริ่ม work from home กันสองวันแรก เราต้องให้ความช่วยเหลือแบบรีโมทกับบุคลากรบางท่านเช่นกัน ทำให้การทำงานและการประชุมผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ดังนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงพอที่จะสรุปได้ว่า การเตรียมตัวในการ work from home นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เราจะคิดถึงแต่เรื่องของการแบ่งเวลาของตนเองในการทำงาน หรือจะหาวิธีประเมินผลงานของบุคลากรในทีมอย่างไร แต่คนในทีมทั้งหมดจำเป็นต้องพูดคุย ซักซ้อม ทำความเข้าใจร่วมกันก่อนในเรื่องของระบบต่างๆ ที่ต้องใช้ร่วมกัน รวมไปถึงวิธีการสื่อสารระหว่างกันในช่วงที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันในที่ทำงาน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้ทำงานที่บ้านได้อย่างราบรื่นไม่สะดุดนั่นเอง
การจำหน่ายพัสดุด้วยการโอน
นางสาวนวพร ชูศักดิ์
นักบริหารการเงินและการคลัง

ด้วยปัจจุบัน วว. ได้ดำเนินโครงการโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนที่อยู่ในชุมชนและท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการเพิ่มผลผลิตตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดต่างๆ โดยได้ปลูกสร้างโรงเรือนและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ด้วย เช่น โรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ 317 แห่ง โรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โรงรมลำไย โรงสับปะรด เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อการดำเนินการโครงการเหล่านี้เป็นอันเสร็จสิ้นก็จะมีปัญหาอยู่บ่อยครั้งว่าหาก วว. จะโอนโรงเรือน สิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ของโครงการให้แก่กลุ่มเกษตรกรหรือชุมชนท้องถิ่นเพื่อเป็นการสานต่อโครงการให้มีความยั่งยืนว่าจะสามารถกระทำได้หรือไม่เพียงใดนั้น ซึ่งสำหรับประเด็นนี้กองพัสดุและคลังพัสดุมักจะถูกสอบถามจากผู้ดำเนินโครงการอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเพื่อให้นักวิจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพัสดุโครงการที่หมดความจำเป็น ว่า หาก วว. จะทำการโอนพัสดุดังกล่าวให้แก่บุคคลหรือหน่วยงานอื่นจะมีขั้นตอนและวิธีปฏิบัติอย่างไร และผู้ที่จะมีสิทธิรับโอนพัสดุจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านบทความฉบับนี้ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจำหน่ายพัสดุด้วยการโอนตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 จึงขอสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายพัสดุด้วยการโอนดังนี้
1. พัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะทำการโอนได้
พัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะทำการโอนให้แก่หน่วยงานที่ได้แสดงความประสงค์เพื่อขอรับโอนได้นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว และต้องได้ข้อเท็จจริงว่าพัสดุหรือครุภัณฑ์ดังกล่าว วว.ได้หมดความจำเป็นที่จะใช้งานอีกต่อไปหรือ หาก วว. ยังต้องใช้งานต่อไปก็มีแต่ที่จะทำให้ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก (ระเบียบข้อ 215 วรรคหนึ่ง) และผู้ว่าการได้อนุมัติให้ทำการโอนแล้ว
ยกเว้นการโอน อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างถาวรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ถึงจะทำการโอนได้ (พรบ.วว. มาตรา 7 วรรคสอง)
อย่างไรก็ตามหากพัสดุดังกล่าวยังไม่หมดความจำเป็น หรือมิใช่พัสดุที่ วว. ใช้งานต่อไปแล้วจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก แต่ วว. มีความประสงค์ที่จะโอนพัสดุดังกล่าว วว.จะต้องขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบเป็นรายกรณีต่อคณะกรรมการวินิจฉัย (หนังสือด่วนที่สุดที่ กค (กวจ) 0405.2/ว546)
2. หน่วยงานที่จะเป็นผู้รับโอนพัสดุ
การโอนพัสดุหรือครุภัณฑ์ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐนั้น ผู้รับโอนจะต้องมีฐานะเป็นหน่วยงานตามที่ระเบียบกำหนด คือ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เท่านั้น (ระเบียบข้อ 215(3) เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงส่งผลให้หน่วยงานอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระเบียบกำหนด บุคคลธรรมดา หรือคณะบุคคล ไม่อยู่ในสถานะที่จะเป็นผู้รับโอนได้ ซึ่งสำหรับหน่วยงานที่ระเบียบกำหนดให้เป็นผู้รับโอนได้นั้นสามารถจำแนกออกได้ดังนี้
2.1 หน่วยงานของรัฐ หมายถึงหน่วยงานตามที่พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มาตรา 4 บัญญัติให้เป็นหน่วยงานของรัฐอันประกอบด้วย ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญหน่วยธุรการของศาล มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกำกับของรัฐสภา หน่วยงานอิสระของรัฐ และหน่วยงานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
2.2 องค์การสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งตามประกาศกระทรวงการคลังได้จำแนกองค์การสาธารณกุศลออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.2.1 สถานสาธารณกุศลซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นองค์การสาธารณกุศลตลอดไป ประกอบด้วย
(1) สถานพยาบาลของทางราชการหรือขององค์การของรัฐบาล
(2) สถานศึกษาของทางราชการหรือขององค์การของรัฐบาล
(3) สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
(4) สถานศึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดม ศีกษาเอกชน
(5) สภากาชาดไทย
(6) วัดวาอาราม
2.2.2 สถานสาธารณกุศล ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นองค์การ สาธารณกุศล แต่อาจเพิกถอนได้หากการดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือคุณสมบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งสำหรับ องค์การสาธารณกุศลในกรณีนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นสมาคมหรือมูลนิธิ แต่จะต้องเป็นสมาคมหรือมูลนิธิตามที่กระทรวงการคลังประกาศเท่านั้น
3. การโอนพัสดุถือว่าเป็นการขายจึงทำให้มีภาระภาษี
ด้วยการโอนพัสดุหรือครุภัณฑ์ตามที่กล่าวมานี้แม้จะเป็นการโอนให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือองค์การสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นลักษณะของการให้เปล่าโดย วว.ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ แต่กรมสรรพากรถือว่าเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าที่ วว.ต้องอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายด้วย (หนังสือที่ กค 0702/1098)
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหาภาระภาษีดังกล่าว เสียตั้งแต่ต้น ผู้ดำเนินโครงการต้องมีหน้าที่เจรจาให้หน่วยงานที่จะเป็นผู้รับโอนเป็นผู้รับผิดชอบในภาระภาษีด้วย ซึ่งหากมิได้มีข้อตกลงดังกล่าวกันไว้ วว. ในฐานะผู้โอนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในภาระภาษีดังกล่าว
4. หลักฐานที่ต้องมีต่อกันระหว่าง วว. กับหน่วยงานผู้รับโอน
เมื่อ วว. ได้ดำเนินการส่งมอบพัสดุหรือครุภัณฑ์ให้แก่หน่วยงานผู้รับโอนตามข้อ 2 แล้ว ให้จัดทำหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกันด้วย (ระเบียบข้อ 215(3) ซึ่งหลักฐานการส่งมอบดังกล่าวจะต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีรายละเอียดที่ระบุอย่างชัดแจ้งว่าหน่วยงานผู้รับโอนได้รับมอบพัสดุใดไว้บ้าง และผู้แทนของหน่วยงานต้องลงลายมือชื่อการรับมอบไว้เป็นหลักฐาน
ตามที่ได้กล่าวมาเห็นว่าผู้อ่านบทความโดยเฉพาะนักวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการต่างๆ น่าจะพอมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาพบว่าผู้ดำเนินโครงการบางส่วนที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ว่าพัสดุโครงการที่หมดความจำเป็นภายหลังโครงการเสร็จสิ้นนั้นสามารถที่จะโอนให้แก่กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือแม้แต่การโอนให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นได้ใช้ร่วมกันต่อไป
Contactless Payment ประสบการณ์การสนุกๆ ที่ปลอดภัย
โดย ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา และ ธันยกร อารีรัชชกุล
วันนี้อยากจะมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้ Contactless Payment ซึ่งเหมาะกับช่วงเวลา Covid 19 Outbreak เช่นนี้มาก เนื่องจากเราไม่ต้องสัมผัสกับปากกาหรือแผ่นรองเซ็นชื่อจากสถานประกอบการ และไม่ต้องจับเงินสดที่อาจมีเชื้อ Covid 19 ปนเปื้อนอีกด้วย ซึ่งประสบการณ์การใช้ Contactless Payment นั้น จริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีโรคระบาดหลายปี ด้วยความที่การจ่ายเงินด้วยระบบนี้ มันมีความสะดวกและรวดเร็ว แถมยังปลอดภัยเพราะจำกัดยอดอยู่ที่ 1,500 บาท เท่านั้น ทำให้เราใช้ค่อนข้างบ่อย เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของระบบ เนื่องจากเราไม่สะดวกใจในการยื่นบัตรไปให้คนแปลกหน้ารูด เพราะกังวลในการถูก copy ข้อมูล เพื่อไปทำบัตรปลอม ดังนั้นระบบนี้จึงตอบโจทย์คนเช่นเราได้เป็นอย่างดี

สำหรับประสบการณ์ในการใช้ Contactless Payment ของเรา มีทั้งการใช้ในรูปแบบของบัตรเครดิตธรรมดา และในโทรศัพท์ผ่านระบบ Samsung Pay ในส่วนของระบบที่ผ่านทางบัตรเครดิตธรรมดานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เราเพียงแค่นำไปทาบกับเครื่องรับชำระ (Electronic Data Capture:EDC) เมื่อเครื่องอ่านเรียบร้อย บัตรก็จะถูกตัดไปตามยอดชำระ หากบังเอิญมี error เกิดขึ้น พนักงานที่รับชำระสามารถทำการยกเลิกยอดให้เราได้ทันทีเช่นเดียวกับแบบที่เราต้องเซ็นชื่อ หรือใส่หมายเลข PIN แต่เท่าที่ใช้มาหลายครั้งนั้น ไม่เคยมียอดชำระที่ตัดเกินไป 2 ครั้งเกิดขึ้นเลย สำหรับยอดชำระนั้น สามารถชำระได้ในหลักสิบบาท เพราะเราเคยนำไปใช้ชำระค่าโดยสารรถเมล์ได้ ซึ่งเราได้ทดลองมาแล้วกับรถเมล์สาย 522 ตอนที่นั่งกลับมาจากอนุเสาวรีย์ฯ ซึ่งตอนนั้นเราได้เห็นประกาศทางสื่อต่างๆ ว่า รถเมล์ไทยรองรับ Contactless Payment แล้ว เรากับเพื่อนจึงได้ขอลองจ่ายดูด้วยบัตรคนละใบ ซึ่งคุณพี่กระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ได้ติดขัดอะไร รับชำระอย่างเต็มใจ คาดว่าทาง ขสมก. คงได้อบรมพนักงานมาแล้วเป็นอย่างดี เราและเพื่อนจึงชำระค่าโดยสารผ่านทางระบบดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย

สำหรับในส่วนของ Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น iPhone ของประเทศไทยยังไม่เปิดให้ใช้ระบบดังกล่าว แต่ Sumsung นั้นมีแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ Sumsung Pay นั่นเอง แต่ก่อนจะใช้งานนั้น เราต้องทำการ add บัตรเครดิตของเราเข้าไปในระบบของ Sumsung Pay ก่อน เมื่อทำตามขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วน และได้ virtual card ของเราปรากฏในระบบของ Sumsung Pay แล้ว เราก็สามารถชำระเงิน โดยเปิดระบบ และนำหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดระบบไว้ไปทาบกับเครื่องรับชำระ EDC ได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิตปกติ ระบบนี้ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวอย่าง Magnetic Secure Transmission (MST) และ Near Field Communication (NFC) ของ Sumsung นั่นเอง ซึ่งการชำระเงินผ่านทาง Sumsung Pay นั้น แม้ว่าจะไม่ต่างจากบัตรจริงก็ตาม แต่ว่าจากประสบการณ์ของเราและเพื่อนนั้น ค่อนข้างไม่ราบรื่นนัก ไม่ใช่เพราะระบบที่ทำให้ไม่ราบรื่น แต่เป็นพนักงานรับชำระต่างหาก เพราะทุกครั้งที่เราและเพื่อนบอกว่า จะชำระด้วยบัตรเครดิต แต่เรายกโทรศัพท์ขึ้น พนักงานมักจะเปิดระบบ QR Code (Quick Response Code) ขึ้นเป็นประจำ เนื่องจากคิดว่าเราจะจ่ายด้วยการสแกน QR code จนทำให้พวกเราต้องบอกซ้ำว่า ชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งก็ต้องรอให้พนักงานเปลี่ยนเครื่อง EDC mode รับชำระผ่านบัตคเครดิตอีกครั้ง จึงเอาโทรศัพท์ไปทาบได้ ซึ่งสร้างความงุนงงให้พนักงานบ่อยครั้ง จนหากไปร้านที่มีคนเยอะๆ เราจึงไม่กล้าที่จะชำระด้วย Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพราะกลัวจะช้า ในการที่ต้องมาเสียเวลาอธิบายให้พนักงานฟัง เรามักจึงมักจะเลือกจ่ายด้วยวิธีนี้กับร้านประจำที่มีสัญลักษณ์ Samsung Pay เท่านั้น
จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา จึงพอสรุปได้ว่า เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านเพื่อจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Soceity) โดย Covid 19 อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเร็วขึ้น เพราะผู้คนจะเริ่มกลัวการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสเงินสด และหันมาชำระเงินผ่าน Contactless Payment กันมากขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจ และเปิดใจยอมรับกับ Contactless Payment ให้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ผู้ให้บริการ ที่จำเป็นต้องอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงเทคโนโลยี Contactless Payment ให้ดี เพื่อที่จะได้ให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและรวดเร็ว ดังเช่นคุณพี่กระเป๋ารถเมล์สาย 522 ท่านนั้น ที่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และนำมาให้บริการได้อย่างน่าประทับใจ