Category: เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่ายโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี
Contactless Payment ประสบการณ์การสนุกๆ ที่ปลอดภัย
โดย ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา และ ธันยกร อารีรัชชกุล
วันนี้อยากจะมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้ Contactless Payment ซึ่งเหมาะกับช่วงเวลา Covid 19 Outbreak เช่นนี้มาก เนื่องจากเราไม่ต้องสัมผัสกับปากกาหรือแผ่นรองเซ็นชื่อจากสถานประกอบการ และไม่ต้องจับเงินสดที่อาจมีเชื้อ Covid 19 ปนเปื้อนอีกด้วย ซึ่งประสบการณ์การใช้ Contactless Payment นั้น จริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีโรคระบาดหลายปี ด้วยความที่การจ่ายเงินด้วยระบบนี้ มันมีความสะดวกและรวดเร็ว แถมยังปลอดภัยเพราะจำกัดยอดอยู่ที่ 1,500 บาท เท่านั้น ทำให้เราใช้ค่อนข้างบ่อย เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของระบบ เนื่องจากเราไม่สะดวกใจในการยื่นบัตรไปให้คนแปลกหน้ารูด เพราะกังวลในการถูก copy ข้อมูล เพื่อไปทำบัตรปลอม ดังนั้นระบบนี้จึงตอบโจทย์คนเช่นเราได้เป็นอย่างดี

สำหรับประสบการณ์ในการใช้ Contactless Payment ของเรา มีทั้งการใช้ในรูปแบบของบัตรเครดิตธรรมดา และในโทรศัพท์ผ่านระบบ Samsung Pay ในส่วนของระบบที่ผ่านทางบัตรเครดิตธรรมดานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เราเพียงแค่นำไปทาบกับเครื่องรับชำระ (Electronic Data Capture:EDC) เมื่อเครื่องอ่านเรียบร้อย บัตรก็จะถูกตัดไปตามยอดชำระ หากบังเอิญมี error เกิดขึ้น พนักงานที่รับชำระสามารถทำการยกเลิกยอดให้เราได้ทันทีเช่นเดียวกับแบบที่เราต้องเซ็นชื่อ หรือใส่หมายเลข PIN แต่เท่าที่ใช้มาหลายครั้งนั้น ไม่เคยมียอดชำระที่ตัดเกินไป 2 ครั้งเกิดขึ้นเลย สำหรับยอดชำระนั้น สามารถชำระได้ในหลักสิบบาท เพราะเราเคยนำไปใช้ชำระค่าโดยสารรถเมล์ได้ ซึ่งเราได้ทดลองมาแล้วกับรถเมล์สาย 522 ตอนที่นั่งกลับมาจากอนุเสาวรีย์ฯ ซึ่งตอนนั้นเราได้เห็นประกาศทางสื่อต่างๆ ว่า รถเมล์ไทยรองรับ Contactless Payment แล้ว เรากับเพื่อนจึงได้ขอลองจ่ายดูด้วยบัตรคนละใบ ซึ่งคุณพี่กระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ได้ติดขัดอะไร รับชำระอย่างเต็มใจ คาดว่าทาง ขสมก. คงได้อบรมพนักงานมาแล้วเป็นอย่างดี เราและเพื่อนจึงชำระค่าโดยสารผ่านทางระบบดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย

สำหรับในส่วนของ Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น iPhone ของประเทศไทยยังไม่เปิดให้ใช้ระบบดังกล่าว แต่ Sumsung นั้นมีแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ Sumsung Pay นั่นเอง แต่ก่อนจะใช้งานนั้น เราต้องทำการ add บัตรเครดิตของเราเข้าไปในระบบของ Sumsung Pay ก่อน เมื่อทำตามขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วน และได้ virtual card ของเราปรากฏในระบบของ Sumsung Pay แล้ว เราก็สามารถชำระเงิน โดยเปิดระบบ และนำหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดระบบไว้ไปทาบกับเครื่องรับชำระ EDC ได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิตปกติ ระบบนี้ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวอย่าง Magnetic Secure Transmission (MST) และ Near Field Communication (NFC) ของ Sumsung นั่นเอง ซึ่งการชำระเงินผ่านทาง Sumsung Pay นั้น แม้ว่าจะไม่ต่างจากบัตรจริงก็ตาม แต่ว่าจากประสบการณ์ของเราและเพื่อนนั้น ค่อนข้างไม่ราบรื่นนัก ไม่ใช่เพราะระบบที่ทำให้ไม่ราบรื่น แต่เป็นพนักงานรับชำระต่างหาก เพราะทุกครั้งที่เราและเพื่อนบอกว่า จะชำระด้วยบัตรเครดิต แต่เรายกโทรศัพท์ขึ้น พนักงานมักจะเปิดระบบ QR Code (Quick Response Code) ขึ้นเป็นประจำ เนื่องจากคิดว่าเราจะจ่ายด้วยการสแกน QR code จนทำให้พวกเราต้องบอกซ้ำว่า ชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งก็ต้องรอให้พนักงานเปลี่ยนเครื่อง EDC mode รับชำระผ่านบัตคเครดิตอีกครั้ง จึงเอาโทรศัพท์ไปทาบได้ ซึ่งสร้างความงุนงงให้พนักงานบ่อยครั้ง จนหากไปร้านที่มีคนเยอะๆ เราจึงไม่กล้าที่จะชำระด้วย Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพราะกลัวจะช้า ในการที่ต้องมาเสียเวลาอธิบายให้พนักงานฟัง เรามักจึงมักจะเลือกจ่ายด้วยวิธีนี้กับร้านประจำที่มีสัญลักษณ์ Samsung Pay เท่านั้น
จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา จึงพอสรุปได้ว่า เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านเพื่อจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Soceity) โดย Covid 19 อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเร็วขึ้น เพราะผู้คนจะเริ่มกลัวการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสเงินสด และหันมาชำระเงินผ่าน Contactless Payment กันมากขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจ และเปิดใจยอมรับกับ Contactless Payment ให้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ผู้ให้บริการ ที่จำเป็นต้องอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงเทคโนโลยี Contactless Payment ให้ดี เพื่อที่จะได้ให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและรวดเร็ว ดังเช่นคุณพี่กระเป๋ารถเมล์สาย 522 ท่านนั้น ที่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และนำมาให้บริการได้อย่างน่าประทับใจ
เก็บตกการสัมมนา SOE Digital Transformation for Thailand 4.0…มุมมองจากคนนอกวงการ IT
ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา
กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร
เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา SOE Digital Transformation for Thailand 4.0 ที่จัดขึ้นโดยชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ในฐานะคนนอกวงการ IT เพราะส่วนใหญ่บุคลากรที่มีโอกาสได้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นคนในแวดวง IT ไม่ว่าจะเป็น Programmer, System analyst และ Network engineer ซึ่งแต่ละคนก็จะมีการใช้คำพูดด้วยคำศัพท์ที่เป็น Technical terms ที่ผู้เขียนไม่ค่อยคุ้นหู และไม่เข้าใจความหมายเท่าไรนัก เพราะผู้เขียนเป็นแค่ End user หรือผู้ใช้ระบบที่เขาเหล่านั้นได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะ End user ที่เข้าร่วมในการสัมมนาในครั้งนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่านับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้เขียนได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยที่มุ่งมั่นจะพัฒนาระบบ Infrastructures, program และบุคลากร เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ
ในงานสัมมนา ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดและได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง SOE Digital Transformation for Thailand 4.0 ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวข้ามผ่านความล้าหลังแล้ว และกลุ่มรัฐวิสาหกิจของไทยก็มีศักยภาพทั้งในเรื่องเงินทุน กำลังคน และเทคโนโลยีที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่ 4.0 และหากกลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยสามารถวางเป้าหมายร่วมกันได้ ท่านก็เชื่อว่ากลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประเทศไทยความเป็นสู่ 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ท่านยังเน้นย้ำว่าทุกรัฐวิสาหกิจควรที่จะตั้งเป้าร่วมกันคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดยต้องไม่ลืมถึงความมั่นคงปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการคมนาคม ระบบ logistic และการทำธุรกรรมการเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในส่วนของรัฐบาลเองก็กำลังดำเนินการอยู่ 5 เรื่องหลักๆ เพื่อการขับเคลื่อน Digital 4.0 ซึ่ง ก็คือ SIGMA แปลว่า S = Security (ความปลอดภัย), I = Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน), G = Government (รัฐบาล), M = Manpower (กำลังคน) และ A = Application (การประยุกต์ใช้) โดยทั้งหมดนี้ก็หมายความถึง การคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการในโลกออนไลน์และความมีเสถียรภาพของระบบต่างๆ การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายให้ครอบคลุม การทำระบบ e-government เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ของรัฐบาลได้อย่างทั่วถึง การพัฒนากำลังคนหรือบุคลากรที่จำเป็นเพื่อใช้พัฒนา วิเคราะห์ และวางระบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเอาระบบต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในแต่ละภูมิภาค ซึ่งเหล่านี้ก็เชื่อมโยงกับการเสวนาของ คุณเทวินทร์ วงวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คุณชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และคุณมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้งสามท่านได้กล่าวถึง ความพร้อมในด้าน Manpower และ Infrastructure ของหน่วยงาน นอกจากนี้ท่านทั้งสามยังยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ รวมไปถึงการเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ การเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยบนระบบเครือข่ายความเร็วสูงที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศ
นอกจากนี้ในการเสวนาช่วงบ่ายของ ดร. ณัฐพล นิมมานพัชริทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล และ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ผู้ก่อตั้ง RISE และ CEO บริษัท MCFIVA ทั้งสองท่านยังได้เน้นย้ำถึงการเตรียมความพร้อมของบุคลากรของภาครัฐให้มีความเป็นนักนวัตกร (Innovator) คือ การที่บุคลากรภาครัฐสามารถนำเอาผลงานวิจัยมาต่อยอดหรือสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้นี้ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนวิถีชิวิตของผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สร้างความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา หรือประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น นวัตกรจำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงมุมมองของนักลงทุนและสามารถสื่อสารกับนักลงทุนให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่มีความแปลกใหม่และตอบสนองชีวิตในยุค digital 4.0 ได้ ซึ่งบุคลากรภาครัฐควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทัศนคติ รวมถึงแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ และหลุดออกจากกรอบความคิดเดิมๆ เพื่อสร้างสรรค์งานที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่สังคม
สำหรับในเรื่องของ Security นั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ก็ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ Cyber Security for New Generation ซึ่งในการบรรยายท่านก็ได้เน้นย้ำถึง การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายของทั้งภาครัฐและเอกชนที่จำเป็นจะต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายในการปฏิรูปธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานของระบบจำเป็นต้องเข้มแข็ง และสามารถตรวจจับเครือข่ายแปลกปลอมต่างๆ ที่แทรกซึมเข้ามาในระบบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เรื่องนี้นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างยิ่งของการพัฒนาสู่ Thailand 4.0 อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงท้ายของงานซึ่งเป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง Challenging to change in digital era โดย พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ทำให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง ดังนั้นในยุคที่ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา บุคลากรภาครัฐจึงจำเป็นต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแลงที่รวดเร็วเช่นนี้ เพราะคลื่นลูกใหม่แห่งความเปลี่ยนแปลงอาจจะถาโถมลงมาได้อีกในไม่กี่ปีข้างหน้า
ท้ายสุดนี้ ข้อคิดที่ได้จากเข้าร่วมสัมมนาในฐานะ End user ผู้เขียนได้ตระหนักถึงสิ่งที่ End user ต้องเตรียมรับมือเพื่อก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ Digital literacy หรือความตระหนักรู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้เราสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
การสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
เมื่อพูดถึงการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ปัจจุบันข้อมูลที่ถูกจัดเก็บและเผยแพร่ผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นมีเพิ่มขึ้น บางเว็บไซต์สามารถใช้ในการอ้างอิงข้อมูลได้ การสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์จะทำการค้นหาข้อมูลในรูปแบบของ Search Engine ซึ่งมีเว็บผู้ให้บริการหลายแห่ง เช่น www.sanook.com www.yahoo.com และอีกเว็บที่นิยมกันมากในบ้านเราคือ www.google.com เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว Search Engine ยังมีวิธีในการค้นหาและจัดเก็บข้อมูลไว้ด้วยวิธีการต่างกันไป ดังนี้
- Keyword Index : การค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้ จะมีการสำรวจเว็บเพจและอ่านข้อความ ข้อมูล รวมทั้งโครงสร้างภาษาโปรแกรม HTML ซึ่งอยู่ในTAG alt ร่วมด้วย อย่างน้อยประมาณ 200-300 ตัวอักษร วิธีการค้นหาข้อมูลแบบนี้จะเน้นการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลังเป็นสำคัญ รวมถึงความถี่ในการนำเสนอข้อมูลหรือการที่เว็บเพจถูกเปิดขึ้นมา ซึ่งเป็นการค้นหาที่มีความรวดเร็วมาก แต่ความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อยเพราะไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร
- Subject Directories : มีการวิเคราะห์รายละเอียด เนื้อหาของแต่ละเว็บเพจ ด้วยการให้คนเป็นผู้พิจารณา การจัดแบ่งหมวดหมู่จึงขึ้นกับวิจารณญาณของคนที่ทำการจัดเก็บข้อมูล ทำให้การค้นหาค่อนข้างตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และมีถูกต้องในการค้นหามากกว่า เช่น หากเราต้องการค้นหาข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ Search Engine ชนิดนี้ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจเฉพาะที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาให้
- Metasearch Engines : เป็นการสืบค้นแบบเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่น ทั้งยังมีความหลากหลายของข้อมูล เป็นการค้นหาที่ไม่คำนึงถึงขนาดของตัวอักษร และอาจจะมองข้ามข้อความประเภท Natural Language (ภาษาพูด)
หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine
แต่ละ Search Engine จะมีลักษณะและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการ ลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้
- การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
- การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง
- การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
- การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site
- การค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ
เทคนิคที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล
- เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด : ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index อย่างของ yahoo เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
- ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกัน : เพื่อจะได้ผลลัพธ์ที่แคบลง และตรงกับความต้องการมากขึ้น
- ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน : ควรเลือกใช้ Search Engine ที่ให้ข้อมูลเฉพาะทางที่ต้องการทราบ เช่นต้องการสืบค้นข้อมูลงานวิจัย ก็ให้เข้าเว็บที่ให้บริการค้นหาข้อมูลแหล่งงานวิจัยโดยเฉพาะ
- ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ : เพื่อให้ Search Engine ทราบว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีเฉพาะคำในกลุ่มนั้น เช่น “Open Source Software” เป็นต้น
- การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด : ช่วยให้ Search Engine ค้นหาโดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นตัวอักษรเล็กหรือใหญ่
- ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic : มี 3 ตัว คือ “AND“ สั่งให้หาโดยต้องมีคำนั้นๆมาแสดงด้วยเท่านั้น โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น “OR“ สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง “NOT“ สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่มี butter เป็นต้น
- ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ : “+“ ใช้หน้าคำที่ต้องการจริงๆ “– ” ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ “( )“ ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น(pentium+computer)cpu
- ใช้เป็นตัวร่วม : เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าต่อท้ายเป็นอะไรก็ได้ หรือ *com เป็นการค้นหาคำที่มีด้านหน้าเป็นอะไรก็ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า com
- หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข : ถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรใส่เครื่องหมายคำพูด “” เช่น “drupal 7” เป็นต้น
- หลีก เลี่ยงภาษาพูด
- Help และ Site map ช่วยคุณได้ : หากต้องการคำอธิบายหรือ option หรือการใช้งาน หรือแผนผังปีกย่อยของเว็บไซต์
การค้นหาข้อมูลแบบ Index Directory
วิธีนี้ข้อมูลจะถูกคัดแยกเป็นหมวดหมู่ สามารถเลือกเปิดเข้าไปดูเฉพาะในหมวดที่ต้องการ ซึ่งเมื่อ Click เข้าไปจะพบข้อมูลเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมากน้อยขึ้นอยู่กับที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบ และสามารถเปิดดูผ่านWeb Browser ได้ นอกจากนี้ผู้ให้บริการในรูปแบบ Index Directory ยังนิยมเรียงลำดับข้อมูลโดยนำ site ที่มีความเกี่ยวข้องกับหมวดข้อมูลมากที่สุดไว้ด้านบนเพื่อความสะดวกและง่ายต่อการตัดสินใจเปิดดูของผู้สืบค้น
การค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตนั้น ถือเป็นบริการที่จำเป็นและมีผู้นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งนี้การใช้งานคงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารว่าต้องการวิธีการสืบค้นหาข้อมูลลักษณะใด หากต้องการข้อมูลเชิงกว้างและมีอิสระในการค้นหาก็ต้องเข้าเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง google หรือหาต้องการข้อมูลลักษณะ Index Directory ที่มีการจัดหมวดหมูไว้แล้วก็ใช้บริการของ yahoo เป็นต้น
อ้างอิง : http://thana-za.exteen.com/20071123/search-engine-1
ซ่อน Timeline ใน Line
Line โปรแกรมยอดฮิต ที่หลายคนใช้เพื่อการติดสื่อสาร และอีกหลายคนใช้โปรแกรมนี้เพราะหลงไหลเหล่าสติ๊กเกอร์น่ารักที่มากับโปรแกรม อีกทั้งยังมีผู้ผลิตมาให้บริการดาวน์โหลดฟรีและเสียตังกันอย่างมากมาย จนกลายเป็นโปรแกรมยอดนิยมกันในหมูนักแชท และกลุ่มคนทำงาน
เพราะความสามารถของโปรแกรมที่สามารถพิมพ์สนทนากันแบบตัวต่อตัว หรือจะสนทนากันแบบกลุ่มก็สามารถทำได้แสนง่าย หรือจะส่งไฟล์เสียง รูปภาพให้กัน นอกจากการสนทนาแบบโปรแกรมแชททั่วไป Line ยังมี Timeline เพิ่มเข้ามาให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูล คลิปวีดิโอ รูปภาพ หรือจะพิมพ์ถ่ายทอดความรู้ฝากไว้ใน Timeline ให้เพื่อนๆ มากด Like หรือ Comment กันก็ได้
แล้วถ้าเราต้องการเพียงสนทนาผ่านโปรแกรมตัวนี้เท่านั้นล่ะ เราจะป้องกันไม่ให้ผู้ที่เราสนทนาด้วยบางท่านเข้ามาเห็น Timeline ของเราได้อย่างไร วิธีซ่อน Timeline ทำได้ไม่อยากตามขั้นตอนนี้
1. เข้าสู่หน้า Line กดที่ More เลือก Setting แล้วกด Privacy
2. ในหน้า Privacy เลือก Timeline & Home privacy
3. ในหน้า Timeline Privacy เลือก Privacy Settings จะพบกับเพื่อนที่อยู่ใน line ของคุณ
4. สังเกตทางด้านขวาจะมีปุ่มสีเขียว เขียนว่า Shown อยู่ ให้กดปุ่น Shown หลังชื่อเพื่อนที่เราไม่ต้องการแสดง timeline ให้เห็น เพื่อนที่ถูกซ่อนไว้ก็จะแสดงเป็น Hidden จากนั้นกดปุ่ม Save ที่มุมบนขวา
เพียงเท่านี้ เมื่อคุณจะแชร์ข้อมูลอะไรก็ตาม เพื่อนที่คุณไม่ต้องการก็จะไม่เห็น Timeline ของคุณ 🙂
Digital TV
ระบบดิจิทัล ทีวี ( Digital TV )
เดิมระบบทีวี เป็นการรับสัญญาณแบบ Analog TV คือ ใช้สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินเป็นตัวส่งสัญญาณ และใช้เสาอากาศที่ติดตั้งตามบ้านเป็นตัวรับสัญญาณ หรือที่เรียกว่า “เสาหนวดกุ้ง” ความคมชัดจะขึ้นอยู่กับระยะทาง
ต่อมาได้มีการพัฒนาจนเกิดเป็นระบบโทรทัศน์ดาวเทียม (Satellite TV) ขึ้น เช่น True Vision , GMM-Z , D-TV โดยเราสามารถรับสัญญาณดิจิทัลโดยตรงจากจานดาวเทียม (จานเหลือง จานแดง จานส้ม) จากนั้นมาทำการถอดรหัสสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อกที่กล่อง Set Top Box แล้วจึงส่งสัญญาณเข้าทีวีเราอีกที ทั้งนี้สำหรับกล่อง Set Top Box ที่มีช่อง Output เป็น HDMI เราถือว่ามีความสามารถในการรองรับระบบดิจิทัล
ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบส่งสัญญาณแบบใหม่ที่จะมาแทนที่การส่งแบบระบบอนาลอก ทีวี (Analog TV) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งตัวเครื่องจำเป็นต้องมีภาครับ หรือ Digital Tuner ที่มีมาตรฐาน DVB-T2 หรือใช้กล่อง Set top Box เป็นตัวรับสัญญาณและเชื่อมต่อเข้าทีวีอีกที ซึ่งระบบนี้จะทำให้เราได้รับชมภาพที่มีความคมชัดสูงแบบ High- Definition หรือ HD ได้ และสามารถรับชมกับโทรทัศน์แบบ Wide Screen 16:9 ได้อย่างเต็มจอ โดยอัตราส่วนไม่ผิดเพี้ยน จะไม่เกิดมีอาการสัญญาณขาดๆหายๆแต่จะเกิดอาการรับสัญญาณได้ คือมีภาพขึ้น กับ รับสัญญาณไม่ได้ คือภาพไม่ขึ้นแทน
สำหรับประเทศไทยเลือกใช้ระบบ DVB-T2 หรือ (Digital Video Broadcasting – Terrestrial 2nd generation) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของการส่งสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล ที่มีช่องสัญญาณมากกว่าแบบ Terrestrial เดิมถึง 1.5 เท่า สามารถส่งสัญญาณที่มีความละเอียดสูงแบบ HD หรือ Full HD ได้ และมีระยะส่งที่ไกลกว่าเดิม โดยมาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้งหมดตกลงใช้ร่วมกัน
วิธีที่จะทำให้สามารถรับชมในระบบดิจิทัล ทีวีได้นั้นมี 2 วิธี คือ
- ใช้กล่องรับสัญญาณ Digital TV หรือ ( Set Top Box ) ที่สามารถรับสัญญาณ DVB-T2 ได้
- ใช้ทีวีที่มี Digital Tuner แบบ DVB-T2 ในตัว