Knowledge Magazine online by TISTR Knowledge Centre

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2551
ฉบับที่สองของเคเอ็มไลต์ส่งท้ายปี 2551 นี้กับนานาสาระที่น่าสนใจเช่นเคย อาทิ

  • อย่างไรเรียกว่าการเรียนรู้สารสนเทศ มารู้จักกับ Big 6 Information Skills Model
  • เก้าคนก้าวไปในโลกกว้าง
  • องค์กรแห่งการเรียนรู้…ฟังดูหรูแต่ดูแล้วก็น่าจะทำได้
  • ทำความรู้จักกับ TISTR BLOG
  • Hujambo Kenya
  • จัดการ(ระบบ)งาน ก่อนงานจะจัดการเรา
  • ทำความรู้จักกับ รางวัลโนเบล
  • และอื่นๆ

ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ที่เว็บไซต์ ศคร. http://tndc.tistr.or.th หรือ KM LITE ฉบับที่ 2

KM LITE คือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่มุ่งนำเสนอบทความและสาระที่หลากหลายในสไตล์ง่ายๆ อาทิเช่น กระดานข่าว, รอบรู้เรื่องงาน, บนชั้นหนังสือ, ชวนคิดชวนคุย, KM Corner, Knowledge station, สุดเส้นขอบฟ้า, Office tips, มุมเพลิน  ฯลฯ  ขอเชิญท่านพบกับเนื้อหาสาระในรูปแบบ e-book ของ KM LITE นี้ได้

โดยปกติคนเราไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรืออดมื้ออาหาร เพียงแค่รู้จักควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคในแต่ละวันให้ไม่มากเกินความต้องการของร่างกายเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หากวันไหนคุณรู้สึกอยากทานอะไรที่มีปริมาณแคลอรี่* ที่มาก คุณก็สามารถทานได้ เพียงแต่ในมื้ออื่น ๆ ของวันนั้น คุณควรเลือกอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่น้อย แต่อิ่มท้อง แค่นั้นก็เท่ากับว่าคุณสามารถควบคุมอาหารได้อย่างมีความสุขแล้ว มาดูกันดีกว่าค่ะว่า ปริมาณแคลอรี่ในอาหารแต่ละชนิด มีค่าโดยประมาณเป็นเท่าไหร่กัน

* แคลอรี (Calorie) เป็นหน่วยวัดพลังงานอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปการวัดหน่วยพลังงานมักใช้หน่วย “จูล” ซึ่งเป็นมาตราเอสไอสำหรับการวัดพลังงาน ส่วนแคลอรีมักใช้ในการวัดหน่วยพลังงานอาหาร ซึ่ง 1 แคลอรี มีค่าเท่ากับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้อุณหภูมิของน้ำ 1 กรัม เพิ่มขึ้น 1 °C หรือมีค่าประมาณ 4.184 จูล

หมวด ก
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่,เส้นเล็ก ๑/๒ ถ้วยตวง (๖๕ กรัม) ๖๘ แคลอรี่
กุ้งชีแฮ้ ๙-๑๐ ตัว ๕๕ แคลอรี่
ไก่ทอด ๑ น่อง (๓๐ กรัม) ๗๓ แคลอรี่
ไก่ทอด ๑/๒ อก (๙๐ กรัม) ๑๕๕ แคลอรี่
ไก่ทอด (ส่วนเนื้อและมัน) น่องและตะโพก (๑๐๐ กรัม) ๒๕๔ แคลอรี่
ไก่ย่าง ๑/๔ ตัว ๒๒๐ แคลอรี่
กะทิ ๑ ช้อนโต๊ะ (๑๔ กรัม) ๔๕ แคลอรี่
แกงจืดผักกาดขาวหมูสับ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๐ แคลอรี่
แกงจืดผักตำลึงหมูสับ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๐ แคลอรี่
แกงจืดฟักกับไก่ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๐ แคลอรี่
แกงหน่อไม้กับไก่ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๓๗ แคลอรี่
แกงจับฉ่ายกับซี่โครงหมู ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๐๐ แคลอรี่
แกงจืดวุ้นเส้น ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๔ แคลอรี่
แกงจืดจับฉ่าย ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๖๗ แคลอรี่
แกงจืดผักกวางตุ้ง ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๔๐ แคลอรี่
แกงจืดเต้าหู้ขาวหมูสับ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๑ แคลอรี่
แกงต้มยำไก่ (ไม่ติดมัน) ๑ ถ้วย (๑๒๐ กรัม) ๕๕ แคลอรี่
แกงต้มยำปลาหมึก ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๗๓ แคลอรี่
แกงต้มยำเนื้อ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๐๘ แคลอรี่
แกงต้มยำปลาทู ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๖๔ แคลอรี่
แกงต้มกะทิกับปลาทู ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๐๐ แคลอรี่
แกงมัสมั่นเนื้อ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๖๒ แคลอรี่
แกงกะหรี่เนื้อ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๓๔ แคลอรี่
แกงเผ็ดเนื้อ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๑๙-๑๖๓ แคลอรี่
แกงต้มข่าไก่ ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๑๘ แคลอรี่
แกงคั่วหน่อไม้ดอง ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๗๖ แคลอรี่
แกงส้มถั่วฝักยาว ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๑๐๐ แคลอรี่
แกงเลียงนพเก้า ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๒ แคลอรี่
แกงต้มโคล้ง ๑ ถ้วย (๑๐๐ กรัม) ๕๕ แคลอรี่
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ ๑ จาน (๒๑๑ กรัม) ๒๑๔ แคลอรี่
ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำ ๑ ชาม (๓๒๒ กรัม) ๒๗๖ แคลอรี่
ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ๑ จาน ๔๒๕ แคลอรี่
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ๑ จาน ๔๑๑ แคลอรี่
ก๋วยเตี๋ยวหลอด ๒ อัน (๗๐ กรัม) ๑๐๐ แคลอรี่
กระหรี่พัฟ ๑ ตัว (๓๘ กรัม) ๑๕๗ แคลอรี่
เกรวี่ ๒ ช้อนโต๊ะ ๓๕ แคลอรี่
กล้วยฉาบ ๗ ชิ้น ๒๐๐ แคลอรี่
กล้วยแขก ๕ ชิ้น ๒๕๒ แคลอรี่
กล้วยไข่เชื่อม ๒ ผล ๑๗๗ แคลอรี่
กล้วยต้มจิ้มมะพร้าว ๒ ผล ๑๘๐ แคลอรี่
กล้วยบวดชี ๔ ชิ้น ๑๒๙ แคลอรี่
กาแฟร้อน ๑ ถ้วย ๑๐๗ แคลอรี่
กระเพาะปลา ๑ ชาม (๒๓๘ กรัม) ๑๓๙ แคลอรี่

คลิกที่  more  เพื่อดูหมวดลำดับต่อไป…

Read more »

เมลามีน

เป็น สารอินทรีย์เคมี ที่มีชื่อทางเคมีว่า 1,3,5-triazin-2,4,6-triamine มีลักษณะเป็นผงสีขาว ละลายน้ำได้เล็กน้อย โครงสร้างมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบถึง 66 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก

การใช้ประโยชน์จากเมลามีน

ใช้ในการผลิตพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหาร โฟม กาว ฟอเมกา ฉนวนไฟฟ้าและเก็บเสียง ตัวกรอง สีย้อมในหมึก สารทำความสะอาดและปุ๋ย

เมลามีนต่อผลกระทบต่อสุขภาพ

เมลามีน มีความเป็นพิษแบบเฉียบพลันในระดับต่ำ สามารถสลายตัวอย่างรวดเร็วในรูปของปัสสาวะภายใน 3 ชั่วโมง โดยพิษหลักที่เกิดจากการได้รับสารเมลามีนในสัตว์ทดลอง คือ ปฏิกิริยาการอักเสบ ความดันโลหิตสูง และพบตะกอนในกระเพาะปัสสาวะ มีผลทำให้เกิดไตวายได้

กรดซัยยานูริค เป็น อนุพันธ์ของเมลามีนที่ได้จากกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก มีความเป็นพิษแบบเฉียบต่ำ สามารถขับถ่ายออกมาในปัสสาวะภายใน 24 ชั่วโมง จากการทดสอบความเป็นพิษแบบเรื้อรัง พบว่า ทำให้เนื้อเยื่อของไตเสียหาย เกิดการขยายตัวของท่อไต การเปื่อยของเซลล์เนื้อเยื่อของหลอดเลือด และการสร้างเนื้อเยื่อเส้นใยที่ผิดปกติ

เมลามีนอนาล็อก เป็น อนุพันธ์ของเมลามีนที่เกิดจากการนำวัสดุเศษเหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพต่ำกลับไปทำของใช้ ประกอบด้วย กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน

จากการศึกษาพบว่า สารเมลามีน กรดซัยยานูริค แอมมีไลด์ และแอมมีลีน เพียงชนิดเดียวไม่ทำให้เกิดความผิดปกติที่ไต ในขณะที่สารผสมระหว่างเมลามีนและกรดซัยยานูริค มีผลทำให้ไตถูกทำลายและเกิดผลึกที่ส่วนขับถ่ายของไต

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ 
มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 1
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

————————————————————

เมลามีนกับความปลอดภัยในอาหาร

เมลามีนไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหาร

แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสินค้าอาหารนานาชาติต่าง ๆ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีการกำหนดระดับเมลามีน รวมทั้ง กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน ที่ปลอดภัยต่อการบริโภคหากเกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป ได้แก่

  • นมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว ไอศกรีม โยเกิร์ต และการแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม ที่ระดับไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • นมและผลิตภัณฑ์อาหารทารก กำหนดไว้ที่ระดับไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ยึดค่าในการบริโภคต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ของเมลามีน ซึ่งครอบคลุมสารประเภทเดียวกัน ได้แก่ กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน ตามหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารประจำสหภาพยุโรป ไว้ที่ระดับ 0.5 มิลลิกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน สำหรับค่าเมลามีนในวัสดุสัมผัสอาหารกำหนดไว้ที่ 30 mg/kg

แต่ยังไม่มีข้อมูลศึกษาค่าความปลอดภัยด้านอาหารจากการรวมกันของสารในกลุ่มเมลามีนมากกว่า 1 ชนิด เช่น สารเมลามีนกับกรดซัยยานูริค เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ค่าความปลอดภัยในการบริโภคเปลี่ยนไป

โอกาสการได้รับพิษจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ต้องได้รับสารดังกล่าวในปริมาณสูง

โดยกรณีที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กิโลกรัม สามารถรับสารเมลามีนได้ถึง 25 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่เป็นอันตราย

ในขณะที่เด็กทารกที่มีค่าน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 5 กิโลกรัม สามารถรับสารเมลามีนได้เพียง 2.5 มิลลิกรัมต่อวัน เทียบเท่ากับการดื่มนมที่มีสารเมลามีนปนเปื้อน หรือ นมคืนรูป 750 มล. โดยระดับสารปนเปื้อนอยู่ที่ 3.3 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ 
มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 2
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

————————————————————

เมลามีนกับการวิเคราะห์ปริมาณ

เนื่องจากสารเมลามีไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจมีโอกาสปนเปื้อนได้จากการสัมผัสกับภาชนะ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่มีเมลามีนเป็นองค์ประกอบ แต่ปริมาณที่ปนเปื้อนมานั้นมีปริมาณต่ำและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อรร่างกายแต่ยังใด ดังนั้น จึงไม่มีการตรวจสอบและวิเคราะห์หาปริมาณเมลามีนในอาหารมาก่อน

การวิเคราะห์สารเมลามีนมีด้วยกันหลายวิธี สำหรับประเทศไทย การตรวจสอบปริมาณไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน ซึ่งอาจแสดงถึงการปนเปื้อนของเมลามีนได้ จะใช้วิธี GCMS หรือ HPLC โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำการตรวจสอบสารเมลามีนในอาหารขณะนี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

การวิเคราะห์สารเมลามีนที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับในด้านการวิเคราะห์การจำแหนกสาร และปริมาณที่วิเคราะห์ได้ คือ การใช้ GC-MS หรือ LC-MS/MS

สามารถดูตารางวิธีการวิเคราะห์เมลามีนในอาหารและอาหารสัตว์ ซึ่งระบุโดยประเทศสหรัฐอเมริกา และ WHO International Food Safety Authoritics Network (INFOSAN) เพิ่มเติมได้ที่ มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 3

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่  มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 3
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

• หลักสูตร การทวนสอบความถูกต้องของกระบวนการ (Process Validation)
  
วันที่ 1-2 ธันวาคม 2551

• หลักสูตร การแก้ไขและป้องกันข้อร้องเรียนจากลูกค้าสำหรับ ISO 9001 : 2000
  
วันที่ 4 ธันวาคม 2551

• หลักสูตร การวิเคราะห์สาเหตุและการประยุกต์ใช้แผนภาพก้างปลาอย่างมีประสิทธิผล
    วันที่ 12-13 ธันวาคม 2551

• หลักสูตร Failure Mode and Effect Analysis : FMEA 4th Edition
  
วันที่ 19-20 ธันวาคม 2551 

• หลักสูตร การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ระบบการวัด (MSA) ด้วย Excel
  
วันที่ 19-20 ธันวาคม 2551

• หลักสูตร QC Story : การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
   วันที่ 22-23 ธันวาคม 2551

• หลักสูตร การวิเคราะห์ต้นทุนเพื่อการตัดสินใจ
  
วันที่ 24 ธันวาคม 2551

   เวลา 09.00 – 16.30 น. (ลงทะเบียนเวลา 08.00 น.)
   สถานที่ ณ ห้องสัมมนา อาคารสถาบันส่งเสริมเทคโนโลยี ซอยพัฒนาการ 18
   สนใจ    ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
              โทร. 02-7173000  ต่อ   81 หรือ e-mail :  <mailto:et@tpa.or.th> et@tpa.or.th
              สามารถค้นหาข้อมูลได้  <http://www.tpif.or.th/> www.tpif.or.th

…………………………………………………………………………………………………………………………………

• Failure Mode and Effect Analysis : FMEA4th
   (การวิเคราะห์การขัดข้องและผลกระทบจากกระบวนการ)

   วันที่จัด 19-20 ธันวาคม 2551
   อัตราค่าลงทะเบียน        สมาชิก     2,800 + VAT 7% 196 = 2,996 บาท
   บุคคลทั่วไป 3,400 + VAT 7% 238 = 3,638 บาท

   บรรยายโดย:   อาจารย์นพณรงค์  ศิริเสถียร
                      อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์
                      มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

   หัวข้อการอบรมและสัมมนา

   วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2551
    – การประกันคุณภาพ
    – การป้องกันปัญหาด้านคุณภาพ
    – ความหมาย ประเภท และหลักการของ FMEA
    – กระบวนการจัดทำ FMEA ที่มีคุณภาพและตัวอย่าง

   วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2551
    – กระบวนการและเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการป้องกันปัญหา
    – กรณีศึกษาจากตัวอย่าง หรือจากงานจริงที่โรงงาน
    – นำเสนอผลงาน และฟังคำแนะนำ
    – สรุป/ถาม-ตอบปัญหา

…………………………………………………………………………………………………………………………………

• การวิเคราะห์สาเหตุและการประยุกต์ใช้แผนภาพก้างปลาอย่างมีประสิทธิผล

   วันที่จัด 12-13 ธันวาคม 2551
   อัตราค่าลงทะเบียน        สมาชิก     2,400 + VAT 7% 196 = 2,996 บาท
   บุคคลทั่วไป 2,800 + VAT 7% 238 = 3,638 บาท

   บรรยายโดย:    อาจารย์นพณรงค์  ศิริเสถียร
                        อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์
                        มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

   หัวข้อการอบรมและสัมมนา

   วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2551
    – ทบทวนโครงสร้างของปัญหา สาเหตุ และการแก้ไข
    – พื้นฐานของความเป็นเหตุ-ผล (ตรรกศาสตร์)
    – การวิเคราะห์ข้อมูล  เพื่อหาแนวโน้มสาเหตุ (หาผู้ต้องสงสัย)
    – ระดมสมองแบบสมองซีกขวาและหาตรรกะ อย่างสมองซีกซ้าย
    – KJ Method ช่วยจัดกลุ่มข้อมูลได้อย่างไร
    – จัดทำผังก้างปลาอย่างไรให้เข้าระบบสากลไม่ใช่เป็น KKD
    – การเปลี่ยนจากผังก้างปลาเป็นแผนภาพสาเหตุและผล
    – การพิสูจน์ความเป็นเหตุและผลด้วยเทคนิคสถิติ  (เพื่อตัดสินว่าผู้ต้องหาผิดหรือไม่)

   วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2551
    – เทคนิคเครื่องมือที่ใช้พิสูจน์เหตุและผล (แนวคิดตรรกะ, เทคนิคสถิติ)�
       และเสริมเครื่องมืออื่นๆ ที่ใช้หาสาเหตุของปัญหา (FTA, PM Analysis, Matrix ฯลฯ)
    – การค้นหาสาเหตุรากเหง้า
    – การกำหนดแนวทางการแก้ไขในระดับต่างๆ ของปัญหา
    – Workshop การจัดทำผังก้างปลา
    – ข้อเสนอแนะจากวิทยากรเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานจริง
    – สรุป/ตอบข้อซักถาม

 

  • Green IT หรือ การนำ IT มาแก้ไขปัญหาโลกร้อย โดยช่วยประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะที่เป็นพิษ สร้างสภาวะแวดล้อมโลกให้ดีขึ้น
  • Unified Communication (UC) หรือ การรวมทุกระบบของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นสื่อ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ทุกประเภทเข้าไว้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสาร
  • Business Process Modeling หรือ รูปแบบการบริหารจัดการกระบวนการธุรกิจ ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องการนำสถาปัตยกรรมการบริการ (SOA) มาใช้
  • MetaData Management หรือ การบริหารจัดการคำอธิบายข้อมูล โดยมุ่งเน้นเรื่องการกำหนดคำนิยามและนโยบายในการจัดการ
  • Virtualization 2.0 หรือ โลกเสมือนซึ่งนำเอาจุดเด่นของ Web 2.0 และ Blade System มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการทรัพยากร (HW และ SW) และการบริการ
  • Mashups & composite apps หรือ การดึงและการประกอบจากหลาย ๆ ส่วนของโปรแกรมประยุกต์มารวมไว้ที่เดียว
  • Web Services & WOA (Web Oriented Architecture) – SaaS (Software as a Service) หรือ การนำเทคโนโลยี Web Services หรือ การสร้างการบริการที่สามารถเข้าถึงได้โดยผ่านทางเว็บไซต์ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานการบริการต่าง ๆ
  • Computing Fabric หรือ การมองภาพการประมวลผลในลักษณะของระบบเสมือนขนาดใหญ่ เป็นวิวัฒนาการของการออกแบบอุปกรณ์เครื่องแม่ข่ายให้สามารถบริหารจัดการและแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น สามารถมีระบบปฏิบัติการ หรือ OS (Operating System) หลายตัววิ่งอยู่บนอุปกรณ์เดียวกัน เป็นต้น
  • Real World Web หรือ ที่ซึ่งมีการนำสารสนเทศจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มากลั่นกรองและประมวลผลเพื่อให้สามารถตอบสนองได้ตรงกับความต้องการในการใช้งานตามความเป็นจริง ณ สถานที่ และเวลานั้น ๆ
  • Social Software หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อสังคม คือการนำเทคโนโลยี Web 2.0 มาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร บริหารจัดการ และแบ่งปันสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร
  •  

  • Multicore and hybrid processors หรือ โปรเซสเซอร์ที่มีการประมวลผลแบบหลายแกน และมีการเชื่อมต่อแบบผสม
  • Virtualisation and fabric computing  หรือ ลักษณะการประมวลผลแบบระบบเสมือนที่ทำให้สามารถใช้ประสิทธิภาพในการคำนวณแบบไม่จำกัดอยู่แค่ขีดความสามารถของอุปกรณ์ เนื่องจากมีการแบ่งปันและบริหารจัดการทรัพยากรให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Social networks and social software หรือ เครือข่ายและซอฟต์แวร์ที่เปิดโอกาสให้สามารถพบปะ และแลกเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างกัน
  • Cloud computing and cloud/Web platforms หรือ การประมวลผลสารสนเทศบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
  • Web mashups หรือ การดีงข้อมูลจาก Web หลาย ๆ ที่มาผสมผสานไว้ที่เรา
  • User Interface หรือ ส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิก
  • Ubiquitous computing หรือ การประมวลผลแบบไร้ขอบเขต ไม่จำกัดชนิด รูปแบบ หรือประเภทอุปกรณ์ และไม่จำกัดตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์ และไม่จำกัดเวลา
  • Contextual computing หรือ การประมวลผลเพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหมาย การสื่อความ และความต้องการของบริบทนั้น ๆ
  • Augmented reality หรือ เทคนิคการประมวลผลแบบเสมือนจริง
  • Semantics หรือ การสื่อความหมายของบริบทหรือคำหรือข้อความหรือภาษา

สำหรับการพัฒนาระบบสารสนเทศ ในอนาคตแนวโน้มมุ่งไปสู่การพัฒนาระบบสารสนเทศให้อยู่ในรูปแบบของเว็บเบสแอปปลิเคชั่น (Web-based Application) และมุ่งเน้นให้มีการดำเนินการภายใต้แนวคิดของการใช้ เอสโอเอ (SOA : Service-Oriented Architecture) หรือ สถาปัตยกรรมการบริการ

เอสโอเอเป็นมาตรฐานของสถาปัตยกรรมสำหรับการพัฒนาแอปปลิเคชั่น ให้มีลักษณะการทำงานในลักษณะของการบริการที่มีความเป็นอิสระต่อกัน สามารถเป็นทั้งผู้ให้บริการแก่แอปปลิเคชั่นตัวอื่น ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในแอปปลิเคชั่น ให้แอปปลิเคชั่นนั้น ๆ สามารถทำงานได้ครบขั้นตอนกระบวนการทำงานที่ต้องการ หรือ เป็นผู้ไปเรียกใช้บริการจากแอปปลิเคชั่นตัวอื่น ๆ เพื่อให้ตัวเองสามารถทำงานได้ครบตามขั้นตอนกระบวนการทำงาน ดังนั้นเมื่อมีการปรับเปลี่ยนการทำงานใด ๆ ก็แค่แก้ไขที่บริการนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องแก้ไขแอปปลิเคชั่นทั้งหมด

สำหรับการติดต่อสื่อสารนั้นสามารถเชื่อมต่อหรือคุยกับใครก็ได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับภาษา แพลตฟอร์ม และระบบปฏิบัติการใด ๆ เนื่องจากมีการใช้อินเตอร์เฟส (interface) ที่เป็นมาตรฐาน โดยใช้เทคโนโลยีเว็บเซอร์วิส (Web Service) ในการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนกันนั้นอยู่ในรูปแบบตามมาตรฐาน XML ซึ่งถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระดับเอกสาร (เท็กซ์ หรือ text) ไม่ลงลึกถึงระดับฐานข้อมูล (ดาต้าเบส หรือ Database)

สำหรับการที่จะทำให้ทราบว่ามีบริการใด จำนวนเท่าไหร่ที่สามารถเรียกใช้บริการได้นั้นสามารถทำได้โดยการค้นหาบริการที่ต้องการจากเซอร์วิส ไดเร็กทอรี่ (Service directory)

เอกสารการแถลงข่าวเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2/2551 และแนวโน้มปี 2551

1. Economic Outlook : ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองและแนวโน้มปี 2551 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

2. การประมวลผลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 2/2551 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 2/2551 [ตาราง excel]

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เว็บไซต์ : www.nesdb.go.th

วันที่ 25 สิงหาคม 2551

“ขอสงวนสิทธิสำหรับพนักงาน วว. เท่านั้นค่ะ”

หลักสูตรการพัฒนาเว็บไซต์ โดยใช้ CMS ที่ชื่อ Joomla นั้นประกอบด้วยบทเรียน 3 ระดับ คือ

1. Joomla! Tunner สำหรับการจัดการ บริหารข้อมูลเว็บไซต์ และการปรับแต่ง Joomla CMS -> คลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่บทเรียน

2. Joomla! Template Design สำหรับการออกแบบเทมเพลทสำหรับการใช้งานกับระบบ Joomla CMS -> คลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่บทเรียน

3. Joomla! Advance for Intranet Solution สำหรับการปรับแต่งระบบการทำงาน Joomla CMS ขั้นสูง -> คลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่บทเรียน

จัดทำคู่มือและหลักสูตรโดย บริษัท ดิจิตอลนัมเบอร์วันจำกัด

เป็นหลักสูตรที่แนะนำการนำเอา OpenOffice.Org ซึ่งเป็นชุดโปรแกรม Open Source Software ที่ทำงานทางด้านสำนักงานเหมือนชุดโปรแกรม Microsoft Office โดยบทเรียนประกอบด้วยการใช้ Writer ซึ่งทำงานเหมือน Word, Impress ซึ่งทำงานเหมือน PowerPoint, Calc ซึ่งทำงานเหมือน Excel, Math และ Base ซึ่งทำงานเหมือน Access คลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่หลักสูตร

จัดทำโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)