โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.)

  • Speed 

Speed คือ ความเร็ว ในส่วนของงานการจัดการความรู้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความรวดเร็ว ทั้งนี้ความรวดเร็วในการจัดการความรู้นั้น ต้องเป็นความรวดเร็วในแง่ของการรวบองค์ความรู้ที่ทันสมัย และมีความจำเป็นต่อการพัฒนาด้านต่างๆ ขององค์กร  บุคลากรที่ทำหน้าที่ในการจัดการความรู้จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ มีหูตากว้างไกล ว่องไวต่อการรับรู้ข่าวสารที่อาจเป็นประโยชน์ต่อองค์กร และมีความฉับไวในการรวบรวมองค์ความรู้ และจัดการองค์ความรู้ที่ทันสมัยเหล่านั้น ให้อยู่ในรูปแบบที่คนในองค์กรเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว 

 ดังนั้น การพัฒนาในส่วนของ Speed ของการจัดการความรู้ อาจจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรที่ทำหน้าที่ในการจัดการความรู้ให้มีความคล่องตัวในการรวบรวมองค์ความรู้เพื่อเผยแพร่ พัฒนาให้รู้จักใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการจัดเก็บเผยแพร่องค์ความรู้ได้อย่างฉับไว ทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้อาจรวมไปถึงการพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ด้วยเช่นกัน 

ภาพประกอบจาก Webstockreview
  • Satisfaction 

Satisfaction คือ การสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า งานการจัดการความรู้นั้น ลูกค้าของเรา คือ บุคลากรในองค์กร ดังนั้นการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ก็คือ การสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับองค์ความรู้ที่เป็นบุคลากรในองค์กรนั่นเอง ซึ่งการจะสร้างความพึงพอใจได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า บุคลากรต้องการองค์ความรู้ในด้านใดเสียก่อน  นอกจากนั้น ต้องคาดการณ์ได้ว่า องค์ความรู้ด้านใดที่จำเป็นต่อองค์กรในอนาคต เราจำเป็นต้องเข้าใจ trend ต่างๆ ในด้านการวิจัย แล้วทำการรวบรวมองค์ความรู้จากแหล่งความรู้ทั้งภายใน และภายนอกองค์กรให้พร้อม และนำเข้าสู่คลังความรู้ในองค์กร เพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากรในองค์กร

นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของการบริหารจัดการความคาดหวังของผู้รับบริการด้วยเช่นกัน ซึ่งการเรียนรู้ในเรื่องนี้จะทำให้เรามีข้อมูลเพื่อเตรียมให้บริการ หรือพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ ให้ตรงกับความคาดหวัง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจ โดยหากเราสามารถตอบสนองได้เกินความคาดหวังก็จะทำให้ผู้รับบริการเกิดความประทับใจแบบ beyond expectation

ภาพประกอบจาก freesvg.org
  • Sharing 

Sharing คือ การแบ่งปัน resource service และ idea ในส่วนของงานจัดการความรู้ แน่นอนว่า เราต้องแบ่งปันทั้ง 3 ข้อนี้อยู่แล้ว การแบ่งปัน resource ของเราคือการแบ่งปันและรวบรวมแหล่งองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานขององค์กร โดยจัดทำเป็นคลังความรู้ สำหรับ service นั้น คือ การทำให้คลังความรู้เป็นฐานข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ง่าย idea ในส่วนของงานจัดการความรู้ คือ การจัดกิจกรรมให้คนในองค์กร สามารถมาแชร์ความคิด องค์ความรู้กันได้ โดยการใช้เครื่องมือในการจัดการความรู้เช่น Storytelling CoP และ Dialogue เป็นต้น

ภาพประกอบจาก Clipartkey

กล่าวโดยสรุป คือ งานด้านการจัดการความรู้ หากจะทำให้ตรงกับค่านิยม 3S ขององค์กร เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาบุคลากรด้านการจัดการความรู้ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น รวมไปถึงต้องสร้างบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยอาศัยช่องทางต่างๆ ในองค์กรให้เกิดประโยชน์

โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.) 

เป็นที่ทราบกันดีว่า Covid-19 ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชิวิตใหม่กันไปทั่วโลก จากที่เราเคยออกจากบ้านไปทำงาน ไปโรงเรียน ไปช้อปปิ้ง ไปทานอาหาร หรือแม้กระทั่งไปพบแพทย์ เราต้องหันมาทำทุกอย่างที่บ้านในรูปแบบ online ไม่ว่าจะเป็นการ Work From Home, online learning, online shopping, online food ordering, online medical consulting   ทุก อย่างนี้ถูกปรับเปลี่ยนในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด Covid-19 ขึ้น ก็เพื่อให้วิถีชีวิตเราดำเนินต่อไปได้อย่างปกติที่สุด แต่ในความปกติที่กำลังเกิดขึ้นนี้จริงๆ แล้ว มันคือ วิถีใหม่ในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อเราจำต้องปฏิบัติกันเป็นปกติเช่นนี้ ในที่สุดมันก็ได้กลายเป็น New Normal ในสังคมของเราไปนั่นเอง 

คำว่า New Normal จริงๆ แล้ว เป็นคำศัพท์ในเชิงของธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึง วิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงปี 2007-2008 และเหตุการณ์ในปี 2008-2012 ภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว คำๆ นี้ ได้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายวงการต่อจากนั้น และโดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ Covid-19 เช่นนี้ คำๆ นี้จึงได้ถูกหยิบยกมาใช้อีกครั้ง  ซึ่งเราอาจได้เห็น New Normal หลายๆ อย่างเกิดขึ้นแน่นอนทั้งในภาครัฐและเอกชน หาก Covid-19 จบลง 

ภาพประกอบจาก Can Stock Photo

หากจะคาดเดาถึง New Normal ที่จะเกิดขึ้นในสังคม เราคงเดาได้ไม่ยาก โดย 5 อันดับที่กำลังจะพูดถึงนี้ ก็คือสิ่งที่ได้ค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นแล้วในหลายๆ ประเทศ  ซึ่งอันดับ คงนี้ไม่พ้นเรื่องของ การเรียน online และการ Work From Home ที่คาดว่าจะถูกดำเนินการต่อโดยที่อาจจะมีการพัฒนาในเรื่องของ digital technology ให้มีความสอดรับกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งทั้งนี้เราอาจจะได้เห็นภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันกันอย่างจริงจังในการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสื่อสาร online ระบบสัญญาณ 5G อาจจะถูกพัฒนาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อรองรับ online และการ Work From Home 

ภาพประกอบจาก VectorStock

อันดับต่อมา น่าจะเป็นด้านการแพทย์ ที่เราอาจจะได้ใช้ระบบ online medical consulting กันมากขึ้น และรัฐเพิ่มงบประมาณและให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านสาธารณสุขของประเทศมากกว่าเดิม เพราะบทเรียนจาก Covid-19 ทำให้เราเห็นว่า การลงทุนใดๆ ก็สามารถพังลงได้ในพริบตาหากระบบสาธารณสุขของประเทศล้มเหลว ผู้คนล้มตายเป็นหมื่นๆ แสนๆ คน ในยามที่ประเทศต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก  ซึ่งหากรัฐบาลได้ lesson learn จากการะบาดของ Covid-19 ในครั้งนี้ เราอาจจะไม่ต้องเห็นพี่ตูนมาวิ่งเพื่อระดมทุนให้โรงพยาบาลต่างๆ อีกต่อไป

ภาพประกอบจาก VectorStock

อันดับต่อมา คือ เรื่องของ online business คาดว่า เราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการลงทุนของภาคเอกชน ห้างร้านต่างๆ หันมาจริงจังกับการทำธุรกิจ online กันมากขึ้น ดังนั้น เราอาจจะได้เห็นถึงแพลตฟอร์มธุรกิจ online ใหม่ๆ เกิดขึ้น วิธีการชำระเงินแบบ contactless รูปแบบต่างๆ ที่ได้รับการปรับปรุง รวมไปถึงการแข่งขันในด้านการค้าระหว่างแม่ค้าออนไลน์กับเจ้าของแบรนด์และห้างร้านดังๆ ต่างๆ  ดังนั้นฐานข้อมูลของลูกค้า จึงจะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเป็นเท่าตัว และเทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าจากฐานข้อมูลที่มีอยู่จะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของ Online business 

อันดับที่สี่ คือ online entertainment ซึ่งก็คือ การท่องเที่ยว การดูหนัง ฟังเพลง หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ในรูปแบบ online ซึ่งในปัจุบัน ทางพิพิธภัณฑ์และแกลอรี่ชื่อดังต่างๆ ก็ได้จัดทำ virtual museum และ vitrul gallery ให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้าไปท่องเที่ยวแบบ online กันแล้วหลายแห่ง ซึ่งในประเทศไทยก็มีเช่นที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย 

ภาพประกอบจาก Freepik

อันดับที่ห้า คือ การ deglobalization ซึ่งข้อนี้คือ สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คาดเดาไว้ เนื่องจากการระบาดที่เกิดขึ้นเริ่มต้นจากประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมหลายๆ อย่าง ในหลายๆ ประเทศ แม้ว่าการระบาดของโรคยังไม่ไปถึงประเทศอื่นๆ แต่เมื่อประเทศจีนมีการปิดเมือง อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ของจีนก็จำต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงการขนส่งต่างๆด้วย ดังนั้น อุตสาหกรรมหลายแห่งในประเทศที่ใช้จีนเป็นฐานการผลิต จึงหยุดชะงักตามไปด้วยเช่นกัน และภายหลังจากจบการระบาดของ Covid-19 อาจเป็นไปได้ว่า หลายประเทศอาจจะเปลี่ยนมาพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้นนั่นเอง 

ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นอาจเรียกได้ว่า เป็น lesson learn ที่เราได้รับจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และเราก็จำเป็นต้องปรับตัว เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างเป็นปกติที่สุด แม้ความปกตินั้นจะเป็นเรื่องใหม่ที่เราจะต้องเรียนรู้ก็ตาม New Normal ได้เกิดขึ้นช้าๆ ในทุกสังคม หากเรามองเห็นและทำความเข้าใจกับมันได้เร็ว เราก็จะปรับตัวได้และมีความสนุกกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา และ ธันยกร อารีรัชชกุล

กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.)

ภาพประกอบจาก UX Planet

ช่วงเวลาโควิด-19 ที่ระบาดหนัก ทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัว มีทั้งการให้พนักงานเหลื่อมเวลาทำงาน และให้ทำงานจากที่บ้าน (work from home) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งหากเป็นบริษัทเอกชนที่มีคนรุ่นใหม่ซึ่งคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอยู่เป็นจำนวนมากก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไรมากนักในการเตรียมตัวก่อนจะเข้าสู่โหมด work from home อย่างเต็มรูปแบบ  แต่หากเป็นในส่วนของราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น อาจจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานกันก่อน เพราะเชื่อว่า บุคลากรหลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีหรือระบบใหม่ๆ ที่ถาโถมกันเข้ามาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นก่อนการเตรียมตัว ในทีมหรือในหน่วยงานจำเป็นจะต้องเลือกเทคโนโลยี หรือระบบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดำเนินงานต่างๆ ร่วมกัน โดยคำนึงถึงความเสถียรและการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย (user friendly) เป็นหลัก

สำหรับในการเตรียมตัวจากประสบการณ์ตรงที่อยากจะมาแชร์ สิ่งแรกเลยคือ เราจะต้องเลือกระบบที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงานทางด้านต่างๆ ดังนี้

  1. ระบบที่จะใช้สื่อสารระหว่างกัน 
  2. ระบบที่จะใช้จัดเก็บ หรือส่งต่อข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ระหว่างกัน 
  3. ระบบที่จะใช้ในการควบคุมหรือแก้ไขปัญหาในระยะไกลผ่านทางคอมพิวเตอร์ 
  4. ระบบที่จะประเมินผลการทำงานในระหว่างที่ work from home

ทั้ง 4 ระบบนี้ จำเป็นต้องใช้ทั้งเทคโนโลยี และการวางแผนอันชาญฉลาดของหัวหน้าทีม โดยเฉพาะในข้อที่ 4 ต้องมีการจัดทำให้สอดคล้องกับการประเมินผลงานประจำปี/KPI/OKRs ของหน่วยงานด้วย โดยในช่วง work from home อาจให้มีการรายงานผลเพื่อประมินทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์

สิ่งต่อมาในการเตรียมตัวเข้าสู่โหมด work from home นั้น ก็คือ การอบรมและซักซ้อมทำความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีที่หัวหน้าทีมเลือกมาเพื่อใช้สื่อสาร และใช้จัดเก็บหรือส่งต่อข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ระหว่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าในหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจอย่างของผู้เขียนนั้น มีบุคลากรหลายท่านไม่คุ้นเคยกันการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Google Duo, Slack, Microsoft Team และ Cloud Drive ซึ่ง application ต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นสิ่งใหม่ของบุคลากรหลายๆ ท่าน  ดังนั้น ก่อนการเริ่ม work from home ทางทีมของผู้เขียนจึงต้องมีการปรึกษาหารือ เพื่อเลือกระบบที่เป็น user friendly มากที่สุด เพื่อการอบรมและซักซ้อมให้กับทางหน่วยงานของเราในเวลาที่จำกัด ซึ่งเมื่อหารือกันแล้ว และทดลองใช้ระบบต่างๆ ทีมของเราจึงได้เลือก Line, Zoom, Cloud Drive และ Team Viewer มาใช้ในการดำเนินงาน

ภาพประกอบจาก 123RF.com

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานของผู้เขียนได้เคยมีการอบรมการเข้าใช้ Cloud Drive กันมาบ้างแล้ว เราจึงแค่มีการทบทวนความจำกันสั้นๆ จากนั้นจึงเริ่มอบรมการใช้ Zoom และทดลอง video conference ที่โต๊ะทำงานตนเองก่อนเป็นเวลาอีก 1 วัน แล้วจึงให้ทดลองที่บ้านอีกเป็นเวลา 2 วัน โดยก่อนที่จะให้ work from home ทางหัวหน้าทีมจะให้ทุกคนลงโปรแกรม Team Viewer ไว้กับเครื่องที่จะใช้ทำงาน เพื่อที่หากมีปัญหา ทางหัวหน้าทีมจะได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือได้แบบรีโมทกันเลย ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเมื่อเราเริ่ม work from home กันสองวันแรก เราต้องให้ความช่วยเหลือแบบรีโมทกับบุคลากรบางท่านเช่นกัน  ทำให้การทำงานและการประชุมผ่านไปได้อย่างราบรื่น

ดังนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงพอที่จะสรุปได้ว่า การเตรียมตัวในการ work from home นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เราจะคิดถึงแต่เรื่องของการแบ่งเวลาของตนเองในการทำงาน หรือจะหาวิธีประเมินผลงานของบุคลากรในทีมอย่างไร แต่คนในทีมทั้งหมดจำเป็นต้องพูดคุย ซักซ้อม ทำความเข้าใจร่วมกันก่อนในเรื่องของระบบต่างๆ ที่ต้องใช้ร่วมกัน รวมไปถึงวิธีการสื่อสารระหว่างกันในช่วงที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันในที่ทำงาน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้ทำงานที่บ้านได้อย่างราบรื่นไม่สะดุดนั่นเอง

โดย ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา และ ธันยกร อารีรัชชกุล

วันนี้อยากจะมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้ Contactless Payment  ซึ่งเหมาะกับช่วงเวลา Covid 19 Outbreak เช่นนี้มาก เนื่องจากเราไม่ต้องสัมผัสกับปากกาหรือแผ่นรองเซ็นชื่อจากสถานประกอบการ และไม่ต้องจับเงินสดที่อาจมีเชื้อ Covid 19 ปนเปื้อนอีกด้วย  ซึ่งประสบการณ์การใช้ Contactless Payment นั้น จริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีโรคระบาดหลายปี ด้วยความที่การจ่ายเงินด้วยระบบนี้ มันมีความสะดวกและรวดเร็ว แถมยังปลอดภัยเพราะจำกัดยอดอยู่ที่ 1,500 บาท เท่านั้น  ทำให้เราใช้ค่อนข้างบ่อย เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของระบบ เนื่องจากเราไม่สะดวกใจในการยื่นบัตรไปให้คนแปลกหน้ารูด เพราะกังวลในการถูก copy ข้อมูล เพื่อไปทำบัตรปลอม ดังนั้นระบบนี้จึงตอบโจทย์คนเช่นเราได้เป็นอย่างดี

สำหรับประสบการณ์ในการใช้  Contactless Payment ของเรา มีทั้งการใช้ในรูปแบบของบัตรเครดิตธรรมดา และในโทรศัพท์ผ่านระบบ Samsung Pay  ในส่วนของระบบที่ผ่านทางบัตรเครดิตธรรมดานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เราเพียงแค่นำไปทาบกับเครื่องรับชำระ (Electronic Data Capture:EDC) เมื่อเครื่องอ่านเรียบร้อย บัตรก็จะถูกตัดไปตามยอดชำระ  หากบังเอิญมี error เกิดขึ้น พนักงานที่รับชำระสามารถทำการยกเลิกยอดให้เราได้ทันทีเช่นเดียวกับแบบที่เราต้องเซ็นชื่อ หรือใส่หมายเลข PIN แต่เท่าที่ใช้มาหลายครั้งนั้น ไม่เคยมียอดชำระที่ตัดเกินไป 2 ครั้งเกิดขึ้นเลย  สำหรับยอดชำระนั้น สามารถชำระได้ในหลักสิบบาท เพราะเราเคยนำไปใช้ชำระค่าโดยสารรถเมล์ได้ ซึ่งเราได้ทดลองมาแล้วกับรถเมล์สาย 522 ตอนที่นั่งกลับมาจากอนุเสาวรีย์ฯ ซึ่งตอนนั้นเราได้เห็นประกาศทางสื่อต่างๆ ว่า รถเมล์ไทยรองรับ Contactless Payment แล้ว เรากับเพื่อนจึงได้ขอลองจ่ายดูด้วยบัตรคนละใบ ซึ่งคุณพี่กระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ได้ติดขัดอะไร รับชำระอย่างเต็มใจ คาดว่าทาง ขสมก. คงได้อบรมพนักงานมาแล้วเป็นอย่างดี เราและเพื่อนจึงชำระค่าโดยสารผ่านทางระบบดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย 

สำหรับในส่วนของ Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น iPhone ของประเทศไทยยังไม่เปิดให้ใช้ระบบดังกล่าว แต่ Sumsung นั้นมีแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ Sumsung Pay นั่นเอง แต่ก่อนจะใช้งานนั้น เราต้องทำการ add บัตรเครดิตของเราเข้าไปในระบบของ Sumsung Pay ก่อน เมื่อทำตามขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วน และได้ virtual card ของเราปรากฏในระบบของ Sumsung Pay แล้ว เราก็สามารถชำระเงิน โดยเปิดระบบ และนำหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดระบบไว้ไปทาบกับเครื่องรับชำระ EDC ได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิตปกติ ระบบนี้ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวอย่าง Magnetic Secure Transmission (MST) และ Near Field Communication (NFC) ของ Sumsung นั่นเอง ซึ่งการชำระเงินผ่านทาง Sumsung Pay นั้น แม้ว่าจะไม่ต่างจากบัตรจริงก็ตาม แต่ว่าจากประสบการณ์ของเราและเพื่อนนั้น ค่อนข้างไม่ราบรื่นนัก ไม่ใช่เพราะระบบที่ทำให้ไม่ราบรื่น แต่เป็นพนักงานรับชำระต่างหาก  เพราะทุกครั้งที่เราและเพื่อนบอกว่า จะชำระด้วยบัตรเครดิต แต่เรายกโทรศัพท์ขึ้น พนักงานมักจะเปิดระบบ QR Code (Quick Response Code) ขึ้นเป็นประจำ เนื่องจากคิดว่าเราจะจ่ายด้วยการสแกน QR code จนทำให้พวกเราต้องบอกซ้ำว่า ชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งก็ต้องรอให้พนักงานเปลี่ยนเครื่อง EDC mode รับชำระผ่านบัตคเครดิตอีกครั้ง จึงเอาโทรศัพท์ไปทาบได้ ซึ่งสร้างความงุนงงให้พนักงานบ่อยครั้ง จนหากไปร้านที่มีคนเยอะๆ เราจึงไม่กล้าที่จะชำระด้วย Contactless Payment ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพราะกลัวจะช้า ในการที่ต้องมาเสียเวลาอธิบายให้พนักงานฟัง เรามักจึงมักจะเลือกจ่ายด้วยวิธีนี้กับร้านประจำที่มีสัญลักษณ์ Samsung Pay เท่านั้น 

จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา จึงพอสรุปได้ว่า เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านเพื่อจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Soceity) โดย Covid 19 อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเร็วขึ้น เพราะผู้คนจะเริ่มกลัวการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสเงินสด และหันมาชำระเงินผ่าน Contactless Payment กันมากขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจ และเปิดใจยอมรับกับ Contactless Payment ให้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ผู้ให้บริการ ที่จำเป็นต้องอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงเทคโนโลยี Contactless Payment ให้ดี เพื่อที่จะได้ให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและรวดเร็ว ดังเช่นคุณพี่กระเป๋ารถเมล์สาย 522 ท่านนั้น ที่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และนำมาให้บริการได้อย่างน่าประทับใจ

ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ในช่วงต้นปี 2020  ประเทศไทยเรา ประสบทั้งปัญหาฝุ่น PM 2.5 และโรคระบาดจากเชื้อไวรัส Covid19 ดังนั้นจึงทำให้หน้ากากอนามัย PM 2.5 เป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง ในภาวะเช่นนี้ และด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ก็ส่งผลให้หน้ากากอนามัย PM 2.5 กลายเป็นสิ่งที่หายากสุดๆ ในช่วงนี้ แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์เองก็ยังแทบจะไม่มีพอใช้ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว  หน้ากากผ้าจึงเป็นทางออกสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ป่วย ที่กรมอนามัยแนะนำ เนื่องจาก สามารถใส่ไว้เพื่อป้องกันละอองฝอยจากการไอหรือจามได้ 54-59%  ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ 100%  แต่ก็ยังดีกว่าที่เราไม่ป้องกันอะไรเลย 

ในบทความนี้เรามาทำความรู้จักกับ texture ของหน้ากากอนามัย กับหน้ากากผ้ากันดีกว่า เริ่มจากหน้ากากอนามัยแบบรองรับ PM 2.5 กันก่อน ซึ่งหน้ากากชนิดนี้ไม่ใช่แบบ N95 แต่เป็นหน้ากากที่มีลักษณะคล้ายกับหน้ากากอนามัยปกติทั่วไป แต่จะมีแผ่นกรองหลายชั้น และคุณสมบัติในการดักจับฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลไว้ “มีการใส่ ‘สารเคลือบชนิดพิเศษ’ ที่ป้องกันจุลินทรีย์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีการผลิตแบบ ‘อิเล็กโตรสปินนิ่ง’ ในการพัฒนาเส้นใยนาโนสมบัติพิเศษที่ทำให้ได้เส้นใยขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นรูพรุนขนาดเล็กจำนวนมาก และมีสมบัติสามารถดักจับอนุภาคฝุ่นละออง PM2.5 ได้” 

หน้ากากอนามัยรองรับPM 2.5ที่มีขายตามท้องตลาด
ภาพถ่ายขยายหน้ากากอนามัยรองรับ PM 2.5 จากกล้อง SEM (Sanning Electron Microscope) โดย กฤษ เหลืองโสภาพันธ์ นักวิชาการ ประจำ ศพว. วว.

ในส่วนของหน้ากากผ้านั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แนะนำว่า หน้ากากผ้า ฝ้ายมัสลินมีความเหมาะสมในการนำมาใช้ทำหน้ากากผ้ามากกว่าผ้าชนิดอื่น ซึ่งผ้าฝ้ายมัสลินนั้น ผศ. นันทนา บุญลออ จาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้อธิบายไว้ว่า “มัสลิน เป็นชื่อเรียกกลุ่มผ้าฝ้ายลายขัดกลุ่มใหญ่ๆ  มีโครงสร้างหลวมกว่าผ้าฝ้ายที่ทำเป็นเสื้อเชิ้ต ทำให้ระบายอากาศดี ไม่อึดอัด แห้งเร็ว น้ำหนักเบา และไม่ระคายเคืองผิวหนัง มัสลิน สามารถทำจากเส้นด้ายไหมหรือวิสโคส ก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ้ายอย่างเดียว และหากนำมาทำหน้ากากควรใช้ผ้าสัก 2-3 ชั้น ”  

ภาพถ่ายขยายของหน้ากากผ้า จากกล้อง SEM (Sanning Electron Microscope) โดย กฤษ เหลืองโสภาพันธ์ นักวิชาการ ประจำ ศพว. วว.
กล้อง SEM โดยคุณ Arkham Suvannakita

ดังนั้น หากเราต้องเลือกหน้ากากมาใส่ป้องกันตัวในช่วงนี้ ขอให้นำบทความนี้ไปใช้พิจารณาในการเลือกหน้ากากกันนะคะ สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ คุณกฤษ เหลืองโสภาพันธ์ นักวิชาการ ประจำ ศพว. วว.ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการถ่ายภาพหน้ากากทั้ง 2 ชนิด และคุณ Arkham Suvannakita สำหรับภาพประกอบกล้อง SEM ที่ใช้ถ่ายภาพค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.nstda.or.th/th/news/13002-20200128-pm2-5
https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/139778/
https://www.hfocus.org/content/2020/03/18632

โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา

กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.)

          เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.) ได้จัดกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรมขึ้นในรูปแบบของ storytelling  ซึ่งเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการเล่าเรื่องของดร. ธีรภัทร ศรีนรคุตร ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ของ วว. เป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2561) ในหัวข้อ เทคโนโลยีการผลิตเอทานอล กระบวนการ การนำไปใช้งาน และผลพลอยได้จากการผลิต ซึ่งภายในงาน ท่านผู้เชี่ยวชาญได้ เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตเอทานอล เน้นไปที่วัตถุดิบ กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของการผลิต รวมไปถึงเรื่องของผลพลอยได้จากของเสียที่เกิดจากการผลิตเอทานอลอีกด้วย ซึ่งนับได้ว่าครบถ้วนกันเลยทีเดียว

          การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากองค์ความรู้ด้านเอทานอลที่เราได้รับจากท่านผู้เชี่ยวชาญแล้ว สิ่งที่เราได้รับเพิ่มเติมก็คือ ประสบการณ์ของการจัดทำ storytelling ของกจค. เอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี หรือสิ่งที่เรายังต้องปรับปรุง  ซึ่งนั่นก็จะได้มาจากการทำ AAR  หรือ After Action Review นั่นเอง  การทำ AAR หรือ ชื่อภาษาไทยเรียกว่า “การทบทวนหลังกิจกรรม” นั้น เป็นการทบทวนกิจกรรมหรืองานที่เราด้ทำไปแล้ว ซึ่งสำหรับงานนี้ก็คือ กิจกรรม storytelling  จาก ท่านผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ดร. ธีรภัทร ศรีนรคุตร นั่นเอง กระบวนการทำ AAR นั่น เป็นถือได้ว่าขั้นตอนหนึ่งในของกระบวนการทำงาน เป็นการทบทวนการทำงานของทีม ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสำเร็จ ปัญหา หรืออุปสรรค ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อหาคนรับผิด หรือรับชอบ แต่เป็นการทบทวนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เพื่อปรับปรุง แก้ ไข ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการจัดกิจกรรม หรือการดำเนินงานครั้งต่อไป  และในขณะเดียวกันส่วนที่ดีอยู่แล้วก็คงไว้ และอาจบันทึกไว้เพื่อพัฒนาเป็น best practice  ได้อีกด้วย

          สำหรับการทำ AAR ในกิจกรรมครั้งนี้ สิ่งที่ดีอยู่แล้ว คือ

  • การเชิญผู้เข้าร่วมฟังที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งก็คือ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านการผลิตเอทานอลนั่นเอง
  • การจำกัดกลุ่มผู้ฟังไม่ให้ใหญ่เกินไป ทำให้ผู้ฟังกับผู้เล่า มีความรู้สึกเป็นกันเอง
  • การจัดโต๊ะในรูปแบบโต๊ะกลม ไม่ใช่ห้องบรรยาย ทำให้ผู้ฟังและผู้เล่า มีความรู้สึกใกล้ชิดกัน ไม่เป็นทางการ
  • การแจกอาหารว่างก่อนเริ่มเล่า ทำให้ผู้เล่าไม่ถูกขัดจังหวะ ในระหว่างการเล่า และผู้ฟังสามารถนั่งฟังได้อย่างผ่อนคลาย
  • มีการบันทึกกิจกรรมในรูปแบบวิดีโอ ซึ่งทำให้สามารถนำองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรม ไปเผยแพร่ต่อในคลังความรู้ขององค์กรได้ต่อไป

ผลของสิ่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขึ้น ผู้ฟังมีความรู้สึกผ่อนคลายพอที่จะถามถึงสิ่งที่ตนเองอยากรู้เพิ่มเติม มีการแชร์มุมมองเพิ่มเติม ในส่วนของผู้เล่านั้น ก็มีความรู้สึกผ่อนคลายมากเพียงพอที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล บรรยายของกิจกรรมเป็นไปในเชิงบวกเอื้อต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นลักษณะ tacit knowledge หรือองค์ความรู้ที่ฝังลึกในตัวบุคคล ให้ออกมา

          อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสิ่งที่เราต้องทำการปรับปรุงนั้น ทางกจค. ก็ได้เล็งเห็นว่า กิจกรรมนี้ยังสามารถประบปรุงให้ดีขึ้นได้ ในครั้งต่อไป ซึ่งก็มีเรื่องต่างๆ ดังนี้

  • การประชาสัมพันธ์กิจกรรม มีความกระชั้นชิดเกินไป ควรมีการประชาสัมพันธ์อย่างน้อย 1 อาทิตย์ และควรมีความถี่ในการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อย้ำเตือนผู้สนใจเข้าร่วมฟัง
  • ควรจัดให้มี คุณอำนวย หรือ Facilitator ทำหน้าที่ช่วยเหลือให้กิจกรรมราบรื่น สร้างบรรยากาศของความชื่นชม ความคิดเชิงบวก และเพิ่มการซักถามด้วยความชื่นชม (Appreciative Inquiry) ทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นให้มีการถ่ายทอดความรู้ที่ฝังลึกออกมามากขึ้น
  • ควรมีการสรุปประเด็นจากสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดในช่วงท้ายของกิจกรรม เพื่อให้ผู้เล่าและผู้ฟังให้ทบทวนองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้กิจกรรม
  • ควรมีการนำองค์ความรู้ที่ได้เผยแพร่ในคลังความรู้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และน่าสนใจ ทั้งนี้ควรจะทำภายหลังจบกิจกรรมอย่างช้าไม่เกิน 1 อาทิตย์ และควรมีการประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ ขององค์กรด้วย

          ทั้งหมดนี้ ก็คือ ข้อคิดที่ได้รับจากกิจกรรม storytelling  ของ ท่านผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ดร. ธีรภัทร  ศรีนรคุตร  โดยได้มาจากการทำ AAR นั่นเอง