ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา

กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร 

ช่วงนี้หลายประเทศเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับ Covid-19 กันบ้างแล้ว มาตรการคลาย lock down จากประเทศต่างๆ นั้น ทำให้ผู้คนได้ออกไปใช้ชีวิตได้เหมือนเกือบจะปกติมากขึ้น เด็กๆ ในบางประเทศก็ได้เริ่มทยอยไปโรงเรียนกันตามปกติ แต่ในความปกตินั้นมันก็เป็นความปกติใหม่ (new normal)  ซึ่งนั่นก็คือ การที่เด็กโดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ส่วนในประเทศแถบยุโรปนั้น ส่วนใหญ่จะไม่นิยมสวมหน้ากากอนามัยกัน แต่จะเน้นไปที่การล้างมือบ่อยๆ และรักษาระยะห่าง โดยเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวียร์ อย่าง ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ นั้น การรักษาระยะห่างเป็นสิ่งที่ทำกันเป็นนิสัย จนกระทั่งเกิดเป็น meme ในโลกออนไลน์กันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะนิสัยรักสันโดษของผู้คนในแถบประเทศเหล่านั้นนั่นเอง 

ภาพประกอบจาก clipart.email

กลับมาที่เรื่องเกี่ยวชีวิตของผู้คนหลังจากการคลายมาตรการ lock down กันต่อ เราจะเห็นได้ว่า ในประเทศไทยของเรานั้น ผู้คนเริ่มทยอยออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้อย่างความคับคั่งของยวดยานบนท้องถนน และผู้คนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะก็เริ่มมีมากขึ้น อย่างบนรถไฟฟ้า BTS ก็เริ่มมีผู้คนใช้บริการราวๆ สองแสนคนต่อวัน ทำให้เริ่มเกิดความแออัด และหากเราไม่ระวัง อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อระลอกใหม่ขึ้นมาแบบประเทศ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ดังนั้น ชีวิตหลังจากการคลายมาตรการต่างๆ เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีล่ะ 

ภาพประกอบจาก clipart.email

การปฏิบัติตัวของเราหลังการผ่อนคลายนั้น อย่างแรก เรายังจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ  สอง คือ หมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ อย่างถูกต้องเช่นเดิม สาม เราต้องอย่าลืมที่จะรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing)  สี่ คือ บริษัท สถานประกอบการ ที่ทำงานต่างๆ ควรที่จะคงมาตรการ Work From Home ไว้ก่อน เพื่อลดความแออัดในสถานที่ทำงาน และลดความเสี่ยงจากการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะของพนักงาน ห้า คือ สถานประกอบการ ร้านอาหาร ควรมีรักษาความสะอาดของร้าน และอุปกรณ์ในการประกอบอาหาร รวมไปถึงพนักงานเสริฟและบุคลากรในครัวที่ประกอบอาหารจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากาอนามัยตลอดเวลาด้วย และสุดท้าย คือ เราทุกคนควรที่จะออกจากบ้านให้น้อยที่สุด โดยควรออกเท่าที่จำเป็นเพียงแค่นั้น ยังไม่ควรที่จะออกไปสังสรรค์ รวมกลุ่มกัน เพราะช่วงเวลานี้ ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งการเฝ้าระวัง  เรายังคงต้องคอยระวังเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของเชื้อขึ้นมาใหม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นทรุดหนักลงไปกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากอาจจำเป็นต้องมีมาตรการ lock down ที่เข้มข้นกว่าเดิมก็เป็นได้

ภาพประกอบจาก clipart.email

ดังนั้นในช่วงเวลาที่เราเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติ เราจำเป็นที่จะต้องพึงระลึกถึง 6 ข้อพึงปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นไว้ เพื่อให้เชื้อไวรัสร้ายหมดไปจากประเทศเราให้เร็วที่สุด และจนกว่าจะมีวัคซีน เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อไป เพราะนั่นคือ ความปกติใหม่ (new normal) ของชีวิตหลังคลาย lock down ในปี 2020 นี้นั่นเอง 

โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.) 

เป็นที่ทราบกันดีว่า Covid-19 ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชิวิตใหม่กันไปทั่วโลก จากที่เราเคยออกจากบ้านไปทำงาน ไปโรงเรียน ไปช้อปปิ้ง ไปทานอาหาร หรือแม้กระทั่งไปพบแพทย์ เราต้องหันมาทำทุกอย่างที่บ้านในรูปแบบ online ไม่ว่าจะเป็นการ Work From Home, online learning, online shopping, online food ordering, online medical consulting   ทุก อย่างนี้ถูกปรับเปลี่ยนในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด Covid-19 ขึ้น ก็เพื่อให้วิถีชีวิตเราดำเนินต่อไปได้อย่างปกติที่สุด แต่ในความปกติที่กำลังเกิดขึ้นนี้จริงๆ แล้ว มันคือ วิถีใหม่ในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อเราจำต้องปฏิบัติกันเป็นปกติเช่นนี้ ในที่สุดมันก็ได้กลายเป็น New Normal ในสังคมของเราไปนั่นเอง 

คำว่า New Normal จริงๆ แล้ว เป็นคำศัพท์ในเชิงของธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึง วิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงปี 2007-2008 และเหตุการณ์ในปี 2008-2012 ภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว คำๆ นี้ ได้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายวงการต่อจากนั้น และโดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ Covid-19 เช่นนี้ คำๆ นี้จึงได้ถูกหยิบยกมาใช้อีกครั้ง  ซึ่งเราอาจได้เห็น New Normal หลายๆ อย่างเกิดขึ้นแน่นอนทั้งในภาครัฐและเอกชน หาก Covid-19 จบลง 

ภาพประกอบจาก Can Stock Photo

หากจะคาดเดาถึง New Normal ที่จะเกิดขึ้นในสังคม เราคงเดาได้ไม่ยาก โดย 5 อันดับที่กำลังจะพูดถึงนี้ ก็คือสิ่งที่ได้ค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นแล้วในหลายๆ ประเทศ  ซึ่งอันดับ คงนี้ไม่พ้นเรื่องของ การเรียน online และการ Work From Home ที่คาดว่าจะถูกดำเนินการต่อโดยที่อาจจะมีการพัฒนาในเรื่องของ digital technology ให้มีความสอดรับกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งทั้งนี้เราอาจจะได้เห็นภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันกันอย่างจริงจังในการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสื่อสาร online ระบบสัญญาณ 5G อาจจะถูกพัฒนาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อรองรับ online และการ Work From Home 

ภาพประกอบจาก VectorStock

อันดับต่อมา น่าจะเป็นด้านการแพทย์ ที่เราอาจจะได้ใช้ระบบ online medical consulting กันมากขึ้น และรัฐเพิ่มงบประมาณและให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านสาธารณสุขของประเทศมากกว่าเดิม เพราะบทเรียนจาก Covid-19 ทำให้เราเห็นว่า การลงทุนใดๆ ก็สามารถพังลงได้ในพริบตาหากระบบสาธารณสุขของประเทศล้มเหลว ผู้คนล้มตายเป็นหมื่นๆ แสนๆ คน ในยามที่ประเทศต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก  ซึ่งหากรัฐบาลได้ lesson learn จากการะบาดของ Covid-19 ในครั้งนี้ เราอาจจะไม่ต้องเห็นพี่ตูนมาวิ่งเพื่อระดมทุนให้โรงพยาบาลต่างๆ อีกต่อไป

ภาพประกอบจาก VectorStock

อันดับต่อมา คือ เรื่องของ online business คาดว่า เราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการลงทุนของภาคเอกชน ห้างร้านต่างๆ หันมาจริงจังกับการทำธุรกิจ online กันมากขึ้น ดังนั้น เราอาจจะได้เห็นถึงแพลตฟอร์มธุรกิจ online ใหม่ๆ เกิดขึ้น วิธีการชำระเงินแบบ contactless รูปแบบต่างๆ ที่ได้รับการปรับปรุง รวมไปถึงการแข่งขันในด้านการค้าระหว่างแม่ค้าออนไลน์กับเจ้าของแบรนด์และห้างร้านดังๆ ต่างๆ  ดังนั้นฐานข้อมูลของลูกค้า จึงจะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเป็นเท่าตัว และเทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าจากฐานข้อมูลที่มีอยู่จะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของ Online business 

อันดับที่สี่ คือ online entertainment ซึ่งก็คือ การท่องเที่ยว การดูหนัง ฟังเพลง หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ในรูปแบบ online ซึ่งในปัจุบัน ทางพิพิธภัณฑ์และแกลอรี่ชื่อดังต่างๆ ก็ได้จัดทำ virtual museum และ vitrul gallery ให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้าไปท่องเที่ยวแบบ online กันแล้วหลายแห่ง ซึ่งในประเทศไทยก็มีเช่นที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย 

ภาพประกอบจาก Freepik

อันดับที่ห้า คือ การ deglobalization ซึ่งข้อนี้คือ สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คาดเดาไว้ เนื่องจากการระบาดที่เกิดขึ้นเริ่มต้นจากประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมหลายๆ อย่าง ในหลายๆ ประเทศ แม้ว่าการระบาดของโรคยังไม่ไปถึงประเทศอื่นๆ แต่เมื่อประเทศจีนมีการปิดเมือง อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ของจีนก็จำต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงการขนส่งต่างๆด้วย ดังนั้น อุตสาหกรรมหลายแห่งในประเทศที่ใช้จีนเป็นฐานการผลิต จึงหยุดชะงักตามไปด้วยเช่นกัน และภายหลังจากจบการระบาดของ Covid-19 อาจเป็นไปได้ว่า หลายประเทศอาจจะเปลี่ยนมาพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้นนั่นเอง 

ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นอาจเรียกได้ว่า เป็น lesson learn ที่เราได้รับจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และเราก็จำเป็นต้องปรับตัว เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างเป็นปกติที่สุด แม้ความปกตินั้นจะเป็นเรื่องใหม่ที่เราจะต้องเรียนรู้ก็ตาม New Normal ได้เกิดขึ้นช้าๆ ในทุกสังคม หากเรามองเห็นและทำความเข้าใจกับมันได้เร็ว เราก็จะปรับตัวได้และมีความสนุกกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น