ชาญชัย คหาปนะ
ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ
ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ

บรรจุภัณฑ์พลาสติกหรืออุปกรณ์พลาสติกจัดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน การผลิตพลาสติกจากทั่วโลกมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 ต่อปีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2493 ที่อัตราการผลิต 1.5 ล้านตันต่อปี เพิ่มเป็นมากกว่า 330 ล้านตันต่อปี ทำให้ในปัจจุบันมีพลาสติกที่ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนถึง 9 พันล้านเมตริกตัน ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นผลกระทบระยะยาวในระบบนิเวศน์ทั้งทางบกและทะเล

ในแต่ละปีขยะพลาสติกจากทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านตันที่ถูกทิ้งลงมหาสมุทร มีเพียงร้อยละ 5 ที่เห็นเป็นชิ้นส่วนลอยในทะเล ส่วนที่เหลือนั้นจมอยู่ใต้มหาสมุทร ประเทศไทยติดอันดับ 6 ของโลกที่มีขยะพลาสติกมากที่สุดในทะเล จากที่ทราบกันดีว่าพลาสติกเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ยาก มีความคงสภาพสูง จึงส่งผลให้ขยะพลาสติกที่ตกค้างในทะเลใช้เวลาในการย่อยสลายอยู่ในช่วง 10 – 600 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของพลาสติก

ไมโครพลาสติก หมายถึง พลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งมาจากกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกขนาดเล็กโดยตรง เช่น เป็นองค์ประกอบในเครื่องสำอางที่เป็นเม็ดสครับ (microbeads) ใยเสื้อผ้า หรือในการผลิตอุตสาหกรรมพลาสติก ไมโครพลาสติกเหล่านี้สามารถแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลได้โดยการทิ้งของเสียโดยตรงจากบ้านเรือนสู่แหล่งน้ำและไหลสู่ทะเล เช่น กรณีของสครับที่ใช้ในโฟมล้างหน้า หรือเส้นใยจากผ้าใยสังเคราะห์จากการทิ้งน้ำซักผ้า เป็นต้น ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง มาจากพลาสติกที่ใช้อยู่ทั่วไป เกิดการฉีกขาดจากปัจจัยต่างๆ เช่น แสง ความชื้น พลังงานจากคลื่น หรือสิ่งมีชีวิตในทะเล จนเป็นเศษพลาสติกขนาดเล็กและตกค้างสะสมในสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุที่ไมโครพลาสติกมีขนาดเล็กมาก ยากต่อการเก็บและการกำจัด ประกอบกับมีคุณสมบัติที่คงสภาพย่อยสลายได้ยาก จึงง่ายที่จะปนเปื้อน แพร่กระจาย สะสม และตกค้างในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การทิ้งขยะพลาสติกขนาดใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถเกิดการย่อยสลาย มีการแตกหักเป็นอนุพันธ์ของไมโครพลาสติก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นเดียวกัน

ในปัจจุบัน โลกตื่นตัวกับปัญหาและภัยอันตรายจากการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกในทะเล ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งในกรณีเป็นตัวนำสารพิษเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร การเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีรายงานถึงผลการสำรวจขยะที่ถูกทิ้งลงในทะเลทั้งในมหาสมุทรลึกไปจนถึงแผ่นน้ำแข็งทวีปอาร์กติกที่ส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก มีความเสี่ยงสูงมากที่สัตว์น้ำกว่า 700 สายพันธุ์ในทะเลจะกินขยะพลาสติกและไมโครพลาสติกเหล่านั้นเข้าไป ยิ่งไปกว่านี้ มีรายงานการตรวจพบสารก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ในไมโครพลาสติก อาทิ สารกลุ่มพอลิไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) พอลิคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs) ดีดีที (DDT) และไดออกซิน เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ปิติพงษ์และคณะ (2559) ตรวจพบไมโครพลาสติกในหอยเสียบและหอยกระปุก ในลักษณะที่เป็นเส้นใยมากที่สุด คาดว่ามาจากอุปกรณ์การทำประมง เช่น อวน ตาข่าย เอ็น และเชือก ดังนั้น การที่เรารับประทานสัตว์น้ำที่มีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกเข้าไปก็อาจมีโอกาสที่จะได้รับสารที่ปนเปื้อนเข้าไปได้ แม้ว่ายังไม่มีรายงานทางวิชาการที่ยืนยันถึงไมโครพลาสติกที่ตกค้างในสัตว์น้ำก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยตรงจากการได้รับผ่านทางห่วงโซ่อาหาร แต่จากผลการศึกษาที่กล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้มีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมทางทะเลและในสัตว์ทะเลของประเทศไทยแล้ว ดังนั้น ถึงเวลาที่เราต้องกำหนดมาตรการหรือตระหนักในการลดปัญหาเหล่านี้ อาทิ ลดปริมาณขยะทะเลจากแหล่งต่างๆ เช่น ชุมชนชายฝั่ง การประมง การท่องเที่ยว และกลุ่มวิสาหกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น โดยมีการบังคับใช้กฎหมาย การส่งเสริมผู้ประกอบการในการผลิตวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญ คือ การรณรงค์สร้างจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน

ไมโครพลาสติกที่อยู่ภายในตัวของปลา

ที่มา:

PlasticsEurope Market Research Group (PEMRG) / Consultic Marketing & Industrieberatung GmbH

IUCN (International Union for Conservation of Nature). Marine Plastics. 2018.

Laura Parker. 2015. ‘Eight Million Tons of Plastic Dumped in Ocean Every Year’ เข้าถึงได้จาก http://news.nationalgeographic. com/news/2015/02/150212-ocean-debris-plastic-garbage-patches-science/

Katsnelson, K. 2015. New feature: microplastics present pollution puzzle. Proc Natl Acad Sci 112 (18): 5547–5549. Published online 2015 May 5. doi: 10.1073/pnas.1504135112

Rochman CM, Hoh E, Hentschel BT, Kaye S. Long-term field measurement of sorption of organic contaminants to five types of plastic pellets: Implications for plastic marine debris. Environ Sci Technol. 2013;47(3):1646–1654.

https://www.european-bioplastics.org/market/applications-sectors/

http://ecowatch.com/2016/06/03/microplastics-kill-baby-fish/

ปิติพงษ์ ธาระมนต์ และคณะ. (2559).การปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในหอยสองฝาบริเวณชายหาดเจ้าหลาวและชายหาดคุ้งวิมาน จังหวัดจันทบุรี.แก่นเกษตร 44 ฉบับพิเศษ 1.738-744.

โดย นายทศวรรษ แผนสมบูรณ์
สถานีวิจัยลำตะคอง

      การอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืชมีความสำคัญต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากรโลกในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง      พันธุกรรมพืชถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการผลิตและการปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ความหลากหลายทางพันธุกรรมของทรัพยากรเหล่านี้อาจจะสูญหายไป เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการหรือการขาดความตระหนักของมนุษย์ในการใช้ทรัพยากรเหล่านี้วิทยาการสำหรับการอนุรักษ์และการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชจึงมีบทบาทสำคัญที่จะดำรงไว้ซึ่งความหลากหลายของทรัพยากรนี้ให้ยั่งยืนถูกต้องตามหลักวิชาการและมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

      ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะชนิดพันธุ์พืชที่มีจำนวนมากกว่า 15,000 ชนิด ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกจากพื้นที่ป่าในหลายจังหวัดของประเทศไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ในปัจจุบัน ถิ่นอาศัยของพืชหลายแห่งในประเทศไทยลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายกิจกรรม เช่น การทำลายพื้นที่ป่า การเกษตร การท่องเที่ยว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก จึงมีการคาดการณ์ว่าหากไม่มีการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง อาจมีพืชอย่างน้อย 60,000 ชนิด ที่จะสูญพันธุ์ภายใน 50 ปี ข้างหน้า

      ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและทราบถึงความหลากหลายทางชีวภาพของพืชหายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชใกล้สูญพันธุ์โดยศึกษาวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อพันธุกรรมพืชให้ได้วิธีการที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุกรรมของพืชหายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชที่มีศักยภาพในการพัฒนานำไปใช้ประโยชน์และพืชใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทย

      จากข้อมูลในหนังสือพรรณไม้หายากในประเทศไทย ซึ่งได้ยกตัวอย่างรายชื่อพืชที่หายากไว้ เช่น

  • กุหลาบแดง (Rhododendron arboretum)
  • รางจืดภูคา (Thunbergiacolpifera)
  • เต่าร้างดอยภูคา (Caryotaobtusa)
  • ก่อสามเหลี่ยม (Trigonobalanusdoichangensis)
  • กฤษณาน้อย(Gyrinopvidalii)
  • โมกราชินี (Wrightiasirikitiae)
  • โมกเขา (Wrightialanceolata)
  • นกกระจิบ (Aristolochiaharmandiana)
  • มหาพรหม (Mitrephorakeithii)
  • กระเพราหินปูน (Plectranthusalbicalyx)
  • ส้านดำ (Dilleniaexcelsa)
  • ก่วมภูคา (Acer wilsonii)
  • ชมพูภูคา (Bretschneiderasinensis)
  • เทียนกาญจนบุรี (Impatiens kanbuiensis)
  • เทียนคำ (Impatiens longiloba)
  • เทียนเชียงดาว (Impatiens chiangdaoensis)
  • เทียนนกแก้ว (Impatienspsittacina)
  • เหยื่อกุรัม(Impatiens mirabilis)
  • ปาล์มบังสูรย์ (Johammesteijsmanniaaltifrons)
  • โพอาศัย (Neohymenopogonparasiticus)
  • โมฬีสยาม (Reevesiapubescens)

      รวมถึงกล้วยไม้ป่าต่างๆ อีกหลายสกุลที่จะสามารถพบได้เพียงถิ่นเดียว (endemic species) เท่านั้น

      ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ส่วนมากเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งสามารถระบุสาเหตุสำคัญๆ ได้ดังนี้ เช่น

  1. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและบริโภคเพื่อทำการเกษตรแบบมุ่งเน้นการค้า มีการผลิตสายพันธุ์เดียวโดยละทิ้งสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม มีการใช้สารเคมีมากขึ้นในการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช เกิดสารพิษตกค้างในดินและแหล่งน้ำ กระทบต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน และสัตว์น้ำ รวมถึงกระทบต่อสภาพดั้งเดิมของพื้นที่การเจริญของพืช
  2. การเติบโตของประชากรและการกระจายตัวของประชากร ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ
  3. การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์นานาพันธุ์   เช่น  การทำลายป่า  การล่าสัตว์  การอพยพหนีภัยธรรมชาติของสัตว์ ทำให้เกิดการขาดสมดุลทางธรรมชาติ
  4. มีการนำมาทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ประโยชน์มากเกินไป
  5. การตักตวงผลประโยชน์จากชนิดพันธุ์ของพืชและสัตว์ป่า  เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยการค้าขายสัตว์และพืชป่าแบบผิดกฎหมาย
  6. การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อการเข้าทำลายสายพันธุ์ท้องถิ่นดั่งเดิม
  7. การสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ และขยะ เป็นต้น
  8. การเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจ  และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของโลก  เช่น  อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล  ภัยแล้งทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ การเกิดไฟป่า ในช่วงฤดูฝน  เกิดปัญหาน้ำท่วม โคลนถล่ม เป็นต้น
  9. การอ้างสิทธิบัตร เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรการผลิตสารแก้โรคกระเพาะจากต้นเปล้าน้อย ซึ่งเป็นพันธุ์พืชที่มีในประเทศไทย (สรุปข่าวสิ่งแวดล้อม ปี 2543)
  10. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)ด้านการตัดต่อพันธุกรรมหรือ  จีเอ็มโอ (GMO; Genetically Modified Organisms) หรือพันธุวิศวกรรม(genetic  engineering) อาจทำให้เกิดการรุกรานที่รุนแรงขึ้นและมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงของประชากรพืช

      ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรพืชที่หายาก พืชที่ถูกรุกราน พืชใกล้เคียงพืชปลูก และพืชใกล้สูญพันธุ์จึงได้มีการสำรวจ รวบรวมข้อมูล เก็บตัวอย่างพืชเพื่อศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยา การระบุชนิดของพืชด้วยสัณฐานวิทยา และการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช ทั้งการเก็บรักษาในแบบสภาพแปลง (field gene bank) การเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำ (cryopreservation) การขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (in vitro tissue culture) รวมถึงการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช (seed banks)ซึ่งอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นศึกษาวิจัยและหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสถานีวิจัยลำตะคองมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ทางด้านการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ห้องพิพิธภัณฑ์พืช อาคารเรือนกระจกสำหรับจัดแสดงพรรณไม้ และโรงเรือนเพาะชำและขยายพันธุ์พืช เพื่อใช้ในการทดลอง รวบรวม และวิจัยวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช ให้สามารถเป็นต้นแบบในการจัดการระบบการบริหารทรัพยากรชีวภาพพืช เพื่อใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศต่อไป

      ซึ่งตัวอย่างพืชที่ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้มีการรวบรวมศึกษาไว้แล้ว ได้แก่ พืชวงศ์ขิง(Zingiberaceae) พืชวงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae) และพืชเขาหินปูนในประเทศไทยโดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าในประเทศไทยที่มีความหลากหลายสูงแต่ก็ถูกทำลายโดยการลดลงของพื้นที่ป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

ภาพตัวอย่างการบุกรุกพื้นที่ป่าในประเทศไทย

   

 

งานด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของสถานีวิจัยลำตะคอง

      สถานีวิจัยลำตะคอง ได้ดำเนินการจัดสร้างอาคารอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และอาคารเทคโนโลยีการเกษตรเสมือนจริงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพื้นที่ของสถานีวิจัยลำตะคอง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาหรือวิวัฒนาการการใช้ประโยชน์จากพืช ความสัมพันธ์ของวิวัฒนาการระหว่างพืชกับสัตว์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์ ด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และความหลากหลายทางชีวภาพด้านแมลงที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมซึ่งจะเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ

อาคารอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

การเก็บรวบรวมเชื้อพันธุกรรมพืชในโรงเรือนและในสภาพแปลงปลูก

      นอกจากนี้ยังมีห้องปฏิบัติการในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชที่มีความสำคัญต่อประเทศทั้งในด้านการนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืช และเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ดีของพืชอาหารของประเทศไทยที่สำคัญ รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และได้มีการศึกษาวิจัยการเก็บรักษาให้เหมาะสมของพืชแต่ละชนิดไว้มากกว่า 400 ชนิด รวมถึงการวางแนวทางในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ด้วยไนโตรเจนเหลว (Cryopreservation)ภายในห้องปฏิบัติมีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช

ตัวอย่างพืชที่มีการเก็บรวบรวมและเก็บรักษาไว้ภายในห้องปฏิบัติมีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช

Musa acuminata(กล้วยป่า)
Zingibersmilesianum
Paraboeatakensis
Oryzameyeriana(ข้าวนก)
Oryzaofficinalis(หญ้าข้าวทาม)
Vignadalzelliana(ถั่วแฮผี)
Vignagrandiflora(ถั่วขนดอกใหญ่)
Spiranthessinensis
Dioscoreafiliformis(มันเทียน)
Monolophus alba
Saccharumarundinaceum(แขม)
Amaranthusviridis(ผักขม)
Paraboeachiangdaoensis
Impatiens spectabilis
Impatiens phuluangensis
Kaempferia sp.(เปราะ)
เป็นต้น

 

การดำเนินงานรวบรวมและวิจัยภายในห้องปฏิบัติการเมล็ดพันธุ์พืช

      อีกทั้ง ทางสถานีวิจัยลำตะคองได้มีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อศึกษาวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชในรูปแบบการเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ มีการศึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ป่าในประเทศไทย กว่า 40 ตัวอย่าง รวมถึงเชื้อพันธุ์กรรมของพืชหายากใกล้สูญพันธุ์ต่างๆ และมีการวางแนวทางการวิจัยด้านการเก็บรักษาเชื้อพันธุ์ในสภาพเยือกแข็งทั้งพืชหายากและพืชพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น กล้วย เป็นต้น

แผนผังและภาพแสดงตัวอย่างพืชที่มีการรวบรวมเพื่อการอนุรักษ์ ภายในห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของสถานีวิจัยลำตะคอง

    
   
 
 

      สำหรับการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้หายากของไทยที่ทางทีมงานของสถานีวิจัยลำตะคองได้รวบรวมและเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชไว้ ยังมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความหลากหลายทางชีวภาพพืชที่มีอยู่ทั้งหมดของประเทศไทย ทั้งที่เป็นพืชหายากและพืชใกล้สูญพันธุ์ โดยพืชที่ยังอยู่ในพื้นที่การเจริญเติบโตตามธรรมชาติก็ยังคงถูกคุกคามอย่างหนักและต่อเนื่อง จึงยังคงมีแนวโน้มที่พืชจำนวนมากจะเผชิญต่อความเสี่ยงในการสูญพันธุ์เพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่จะทำให้การอนุรักษ์พันธุกรรมของพืชสามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้นั้น คงต้องอาศัยการปลูกจิตสำนึกแห่งการอนุรักษ์ให้เยาวชนและประชาชนคนทั่วไปได้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างถูกวิธีและเหมาะสม ทั้งการควบคุมดูแล การอนุรักษ์ การปกป้องถิ่นที่อยู่ของพืชรวมถึงการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้ง การบูรณาการร่วมกันระหว่างองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดต่องานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรพืชของไทย และดำรงอยู่เป็นมรดกแก่อนุชนรุ่นหลังให้ได้เรียนรู้และศึกษา อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างยั่งยืน

 

ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา

กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร

ภาพประกอบจาก https://www.eisn-institute.de/fields-of-teaching-research-and-management/bioindicators-biomonitors/

        ในปัจจุบันสภาพอากาศเสีย น้ำเสีย และดินปนเปื้อนด้วยมลพิษกำลังคุมคามผู้คนในเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก แม้เทคโนโลยีในการบ่งชี้มลพิษที่คอยเตือนให้มนุษย์เราระวังอันตรายจากมลพิษต่างๆ จะก้าวหน้าขึ้น แต่เราก็ไม่ควรที่จะละเลยสิ่งเตือนภัยทางธรรมชาติจากมลพิษที่มีมาช้านานอย่างเจ้าสัตว์ตัวจ้อยต่างๆ เพราะเจ้าสัตว์จ้อยเหล่านี้ คือ ดรรชนีทางชีวภาพ (bio-indicators หรือ bio-monitors) ที่แท้จริง เพราะมันมีข้อ  ดีที่จะใช้เป็นตัวดรรชนีบ่งบอกระดับมลพิษในสิ่งแวดล้อมหลายประการ เนื่องจากพวก มันได้รับมลพิษเข้าสู่ร่างกายได้ตลอดเวลาและมันยังไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเคมีนั้น ต้องทำโดยการเก็บตัวอย่างที่ถูกเวลาและสถานที่เท่านั้น จึงจะสามารถวิเคราะห์มลพิษได้ แต่สำหรับพวกสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้รับมลพิษในระดับที่เป็นอันตราย พวกมันจะแสดงพฤติกรรมหรืออาการที่เกิดจากมลพิษให้เห็นภายนอกลำตัวได้ง่าย อีกทั้งการประเมินการสะสมของมลพิษในสิ่งแวดล้อมโดยผ่านทางห่วงโซ่อาหารของพวกมันก็ยังสามารถทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ปริมาณมลพิษที่สะสมอยู่เนื้อเยื่อของพวกมันจะมีปริมาณสูงเพียงพอที่จะตรวจได้นาน แม้ว่าบางครั้งมลพิษในสภาพแวดล้อมจะสูญหายไปแล้ว

         สำหรับตัวอย่างของสัตว์ที่เคยมีการทดลองใช้และพบว่าได้ผลดีในการตรวจหาปริมาณสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ก็ได้แก่

  • แมลงน้ำ ปลา และลูกอ๊อด ถูกใช้วิเคราะห์หาจุดกำเนิดของมลพิษในลำน้ำและหาโลหะหนักบางชนิดที่ถูกปล่อยลงในแหล่งน้ำ เช่น ตะกั่ว โมลิบดีนัม
  • ไส้เดือน ใช้บ่งชี้มลพิษปนเปื้อนในดิน โดยมันจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็น ชัดบนผิวหนัง
  • ผึ้ง จะถูกใช้ในการหามลพิษและสารกัมมันตภาพรังสีที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ น้ำ อาหาร และบนพืช เพราะมันมีขนละเอียดบนลำตัวที่มีคุณสมบัติเป็นไฟฟ้าสถิต ทำให้ดึงดูดฝุ่นละอองและมลพิษให้ติดอยู่บนลำตัวได้ดี ทั้งยังสะดวกในการเก็บตัวอย่างวิเคราะห์ได้ทีละเป็นจำนวนมาก
  • หอย ถูกใช้ในการวิเคราะห์หาธาตุรอง (trace element) เช่น แคดเมียม โครเมียม และทองแดง รวมทั้งยากำจัดศัตรูพืชต่างๆ และปริมาณแบคทีเรียในน้ำ โดยเฉพาะหอยสองฝาที่อยู่กับที่บนพื้นน้ำและกินอาหารโดยการกรองผ่านเหงือก
  • ปลา ถูกใช้ในการวิเคราะห์ความเข้มข้นของมลพิษในแหล่งน้ำ โดยสังเกตจากการผิดปกติบนผิวลำตัว หรือจากพฤติกรรมในการดำรงชีวิต หรือวิเคราะห์จากเนื้อเยื่อของมันโดยตรง
  • นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ถูกใช้ตรวจสอบปริมาณมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยการตรวจเลือด มูลและอวัยวะภายใน เช่น ตับ หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกและสัตว์ที่กินแมลงเป็นอาหาร ซึ่งมีอัตราการเผาผลาญในร่างกายสูง จึงกินอาหารจุกว่าสัตว์ขนาดใหญ่กว่ามาก

       นอกจากสัตว์แล้วพืชหลายก็ชนิดสามารถใช้เป็นดรรชนีบ่งชี้ปริมาณและชนิดของมลพิษในสิ่งแวดล้อมได้ดีเช่นเดียวกัน เช่น ไลเคนส์ ใช้วัดปริมาณมลพิษในอากาศ และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาธรรมชาติเพื่อช่วยในการปกป้องธรรมชาติด้วยกัน

อ้างอิงจาก https://www.eisn-institute.de/fields-of-teaching-research-and-management/bioindicators-biomonitors/

นายวรพล บรรณจิต
ลูกจ้างทั่วไป
สถานีวิจัยลำตะคอง
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์

ประวัติความเป็นมา

    บัวตอง (Mexican Sunflower Weed) เป็นไม้ประจำถิ่นของอเมริกากลางแถบเม็กซิโก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tithonia diversifolia (Hemsl.) A. Gray. เป็นไม้ดอกที่มีอายุการเจริญเติบโตหลายปี ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 5-6 เมตร ลักษณะการออกดอกเป็นช่อเดียว บริเวณปลายกิ่ง ดอกมีสีเหลืองคล้ายดอกทานตะวัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกวงนอกเป็นหมัน กลีบเรียวมีประมาณ 12–14 กลีบ ดอกวงในสีเหลืองส้มเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ใบของบัวตองเป็นใบเดี่ยว รูปไข่หรือแกมขอบขนาน มีขนขึ้นเล็กน้อยประปราย ปลายใบเว้าลึก 3–5 แฉก ชอบขึ้นในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น กระจายพันธุ์มากบนยอดดอยที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 800 เมตรขึ้นไป โดยจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนมกราคม พบการกระจายพันธุ์ครั้งแรกในประเทศไทยบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเจริญเติบโตอย่างกว้างขวางจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน จนถึงปัจจุบัน

   

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien species)

    บัวตอง จัดเป็นพืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species-IAS) เรียกกันโดยทั่วไปว่า เอเลียนสปีชีส์ เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว และสามารถเจริญเติบโตและมีการแพร่กระจายได้ในธรรมชาติ เป็นชนิดพันธุ์เด่นในสิ่งแวดล้อมใหม่ (dominant species) และเป็นชนิดพันธุ์ที่อาจทำให้ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นหรือชนิดพันธุ์พื้นเมืองสูญพันธุ์ รวมถึงส่งผลคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และมีผลทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล

กรณีศึกษา…..การปลูกบัวตองบนยอดดอย “ลงทุนน้อยเสียหายมาก”

    บัวตอง ณ ดอยปุยหลวง หมู่บ้านห้วยฮี้ ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากในอดีตได้มีความคิดที่จะทำให้ดอยปุยหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ จึงคิดวิธีหาทางทำให้ดอยปุยหลวงนั้นมีจุดโดดเด่นขึ้นเพื่อให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว จึงได้ทำเลียนแบบที่ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม โดยนำเมล็ดบัวตองมาปลูก บนยอดดอยปุยหลวง โดยบัวตองเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในธรรมชาติและยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตด้วยแล้วจะทำให้บัวตองสามารถเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติแล้วบัวตองมีความสามารถในการแก่งแย่งสูง ขึ้นเป็นกอแน่นในที่โล่ง เพียงเวลาแค่ไม่นานบัวตองก็เริ่มปกคลุมดอยปุยหลวงเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งทำให้พืชถิ่นเดิมที่ดอยปุยหลวงเริ่มมีการกระจายพันธุ์น้อยลง และประชากรลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด โดยรากของบัวตองสามารถปล่อยสารพิษยับยั้งพืชอื่น (Allelopathy) จึงทำให้พืชอื่นไม่สามารถขึ้นได้ ต้นแตกหน่อได้ดี ภายใต้ชั้นเรือนยอดของบัวตองไม่ปรากฏว่ามีกล้าของไม้ต้นหรือไม้พุ่มชนิดอื่นขึ้นเลย โอกาสที่พื้นที่เปิดโล่งจะมีการทดแทนของลูกไม้และกล้าไม้ที่อยู่โดยรอบไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถึงเริ่มมีทุ่งดอกบัวตองแล้วดอยปุยหลวงก็ยังไม่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากนัก ซึ่งต่างจากทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างมาก……ในช่วงเวลานั้นดร.ปราโมทย์ ไตรบุญ นักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้มีโอกาสไปทำงานวิจัยที่ดอยปุยหลวง และเห็นสภาพดอยปุยหลวงที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยเห็นพันธุ์ไม้แปลกๆ หายาก แต่ตอนนี้กลับเริ่มหายไปและมีดอกบัวตองขึ้นมาแทนเป็นจำนวนมาก จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของพืชถิ่นเดิมและความหลากหลายทางชีวภาพของดอยปุยหลวง ว่าจะเกิดการเสื่อมโทรมและเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่ยากจะแก้ไข จึงได้สร้างเครือข่ายการกำจัดบัวตองร่วมกับนักวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อที่จะได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ของบัวตองต่อการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพของท้องถิ่น และร่วมกันหาทางออกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของดอยปุยหลวง ซึ่งชาวบ้านก็เห็นสมควรแล้วให้ความร่วมมือที่จะให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยในขั้นต้นได้ดำเนินการให้ชาวบ้านหยุดการนำเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์เพื่อลดปริมาณของต้นบัวตอง ส่วนบัวตองที่กระจายพันธุ์บนดอยปุยหลวงนั้น ยังกินพื้นที่ไม่มากนักก็สามารถควบคุมโดยวิธีเชิงกลได้ เพื่อที่จะลดการใช้สารเคมีอันตรายต่างๆ โดยการถาง ตัดลำต้นและขุดรากทำลายทิ้งก่อนที่จะมีการออกดอก ติดเมล็ด และทำการสำรวจพื้นที่ประมาณ 4 เดือน/ครั้ง ว่าปริมาณของต้นบัวตองลดจำนวนลงมากน้อยเพียงใด ควบคุมดูแลจนกว่าปริมาณของต้นบัวตองจะลดลงไปจนหมดพื้นที่ดอยปุยหลวง และให้ดอยปุยหลวงคืนสภาพกลับมาเป็นดอยที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืชดั้งเดิมและเกิดการฟื้นฟูอย่างยั่งยืนของชุมชนและธรรมชาติ ซึ่งความสวยงามของดอยปุยหลวงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบัวตองอย่างที่ชาวบ้านคิด แต่จริงๆ แล้วความสวยงามที่แท้จริงของดอยปุยหลวงอยู่ที่ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาให้นั่นเอง

  สำหรับในพื้นที่ที่มีการระบาดของบัวตองในปริมาณมากแล้วนั้น หรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ทำรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่แห่งนั้น ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของบัวตองที่สามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชุมชนได้ ทั้งนี้ในพื้นที่ดังกล่าวก็ควรมีการควบคุมจำกัดขอบเขตการกระจายพันธุ์ให้ชัดเจน และไม่ควรให้มีการแพร่พันธุ์เข้าสู่พื้นที่อื่นๆ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ เพื่อลดและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต

  รวมถึงนักวิชาการและนักวิจัยเองก็ควรมีวิธีการในการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ถึงผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนมีวิธีการจัดการกับพื้นที่ที่มีการกระจายพันธุ์แล้วให้สามารถควบคุมและจำกัดขอบเขตการกระจายพันธุ์ให้ชัดเจน เพื่อความยั่งยืนของความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพของไทย ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมแล้วใช้ประโยชน์ต่อไป

  • ความหลากหลายทางชีวภาพจังหวัดเชียงใหม่. 2552. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species). [Online]. Available:
    http://chm-thai.onep.go.th/chm/data_province/Chiangmai/alien_spp.html (25 พฤษภาคม 2560)
  • จริยา แสวงทรัพย์สกุล. 2549. ดอกบัวตอง. [Online]. Available: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/ 2549/m6-3/no12/flower/sec01p07.htm (25 พฤษภาคม 2560)
  • ฟ้าใสวันใหม่. 2557. วัชพืชแสนสวย เอเลียนสปีชีส์. [Online]. Available: https://www.bloggang.com/m/viewdiary. php?id=fasaiwonmai&month=11-2014&date=24&group=2&gblog=631 (25 พฤษภาคม 2560)

นายทศวรรษ แผนสมบูรณ์
สถานีวิจัยลำตะคอง
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์

     กล้วยไม้ในสกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum) ได้ตั้งสกุลนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2429 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คือ Paphia หมายถึง เทพธิดาแห่งความรักและความงาม และ pedilon หมายถึง รองเท้าของผู้หญิง ซึ่งหมายถึงลักษณะกลีบดอกที่เป็นถุงลึกคล้ายรองเท้า พบทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล้วยไม้รองเท้านารี มีชื่อสามัญคือ Lady’s Slipper จัดไว้ในวงศ์กล้วยไม้ (Family Orchidaceas) ชื่อสกุล (Genus) Paphiopedilum โดยลักษณะเด่นของกล้วยไม้ในสกุลนี้ คือ ส่วนกลีบปากลักษณะคล้ายถุง (saccate) หรือทั่วไปดูว่าคล้ายส่วนหัวของรองเท้าสุภาพสตรี จึงทำให้มีชื่อสามัญว่า“Slipper Orchid” ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่า “กล้วยไม้รองเท้านารี”

ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกล้วยไม้สกุลรองเท้านารีชนิดหนึ่ง คือ กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ Paphiopedilum villosum (Lindl.) Stein ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่มีความเสี่ยงใกล้ที่จะสูญหายไปจากประเทศไทย

โดยช่วงต้นปี ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจพรรณไม้และจัดเก็บตัวอย่างพรรณไม้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ และได้มีโอกาสเดินสำรวจในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีวงรอบระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล หลังจากเดินสักพัก ก็ได้พบกับกล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่สวยงามและกำลังออกดอก พอสังเกตดูพบว่า มีการทำตะกร้าและใส่วัสดุรองปลูกมาติดไว้ตามต้นไม้ ทำให้เข้าใจว่าได้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ และนำมาปลูกคืนป่า ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เบื้องต้นได้ว่า กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์เป็นกล้วยไม้ที่หายาก และ ใกล้ที่จะสูญพันธุ์ และอีกเหตุผลที่สำคัญคือมีลักษณะดอกที่สวยงาม โดยสาเหตุของการสูญพันธุ์อาจมาจากการที่ชาวบ้าน หรือนักลงทุนมีการบุกรุกเข้าพื้นที่ป่าเพื่อเก็บกล้วยไม้ป่าไม่ว่าจะเป็นรองเท้านารีหรือกล้วยไม้ป่าชนิดอื่นๆ เพื่อนำไปขาย ทั้งการขายในประเทศและต่างประเทศ ทำให้กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์และกล้วยไม้ชนิดอื่น ๆ มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย

กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ มีถิ่นการกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัม สาธารณรัฐอินเดีย จนถึงทางตอนใต้ของประเทศจีน มีลักษณะ พุ่มต้นกว้างประมาณ 25-30 ซม. ใบกว้าง 3.5-4 ซม. ยาว 30-40 ซม. ใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ใต้ใบบริเวณโคนกาบใบ มีจุดประสีม่วง แตกหน่อได้ดี มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขนาดประมาณ 10-12 ซม. ก้านดอกตั้งตรงยาว 10-12 ซม. กลีบดอกหนาเป็นมันเงา พื้นดอกสีเหลืองปนน้ำตาล กลีบบนบริเวณขอบมีสีเหลืองหรือขาว โคนกลีบบนสีน้ำตาลเข้ม กลีบในมีเส้นสีน้ำตาลเข้มแบ่งกึ่งกลางตามความยาวกลีบ กระเป๋าสีน้ำตาลเป็นมันเงา มีเส้นร่างแหสีน้ำตาล ออกดอกในช่วง มกราคม – มีนาคม ในธรรมชาติพบในทำเลที่เป็นป่าดิบภเขา ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่หนา โดยขึ้นอยู่สูงประมาณ 1200-1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล รองเท้านารีอินทนนท์เป็นกล้วยไม้แบบอิงอาศัย โดยพบขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ที่มีลักษณะเปลือกหนา มีการผุพังของเปลือกไม้ง่าย ปกคลุมด้วย มอส เฟิร์น ตะไคร่น้ำ อุ้มความชื้นได้ดี โดยหยั่งรากไปตามเปลือกไม้ ตามดอยสูงทางภาคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ ดอยแม่อูคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน บริเวณภูหลวงจังหวัดเลย รวมถึงในฝั่งประเทศพม่า อินเดีย และตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

     และหลังจากที่ผู้เขียนลงมาจากการสำรวจพรรณไม้ ณ กิ่วแม่ปาน ก็ได้สำรวจและเดินศึกษาธรรมชาติตรงจุดอื่น ๆ จนพระอาทิตย์ใกล้ที่จะตกดิน และก่อนที่จะเข้าที่พักก็ได้มีโอกาสไปที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์” แต่น่าเสียดายเมื่อไปถึงศูนย์อนุรักษ์กำลังจะปิดและปิดในส่วนของโรงเรือนเพาะชำไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของสวนสาธารณะยังไม่ปิดตัวลง จึงได้เข้าไปเดินชมกล้วยไม้รองเท้านารีนานาชนิดที่ได้ทำการจัดแสดงไว้ภายในสวน

     ในพื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ฯ มีการรวบรวมและจัดแสดงกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี ในประเทศไทยซึ่งพบทั้งหมด 17 ชนิด ทำรูปปั้นเสมือนดอกกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี ชนิดต่างๆ ไว้โดยมีขนาดที่ขยายขึ้นมาให้เห็นดอกและจุดเด่นของแต่ละชนิดไว้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาได้ชมและแยกแต่ละชนิดออกได้

     โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ตามพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้น “ เพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี เพื่อการศึกษาวิจัยและการท่องเที่ยว ขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวและจำหน่ายกล้วยไม้ที่ได้จากการขยายพันธุ์ สร้างจิตสานึกและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีหายาก ขจัดปัญหาการลักลอบนำกล้วยไม้ออกจากป่าธรรมชาติซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ของกล้วยไม้”

     โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิจัยด้านพฤกษศาสตร์ที่สำคัญ โดยสามารถขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีที่หายากเพื่อนำกลับคืนสู่ป่าธรรมชาติ เพื่อจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของกล้วยไม้รองเท้านารีและรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ ประชาชนในพื้นที่โครงการฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการปลูกจิตสานึกและกระตุ้นความต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอย่างยั่งยืนต่อไป ช่วยลดปัญหาการลักลอบนำกล้วยไม้จากป่าธรรมชาติออกมาจำหน่าย

     การขยายผลการดำเนินงานในอนาคต คือ ทำการศึกษาวิจัยถิ่นที่อยู่อาศัยของกล้วยไม้รองเท้านารีแต่ละชนิดว่าขึ้นอยู่ในระดับความสูงเท่าไหร่ อิงอาศัยกับพืชพรรณชนิดใด ในทิศทางใด เพื่อให้การดำเนินการปล่อยกล้วยไม้คืนสู่ป่า มีเปอร์เซ็นต์รอดตายสูงสุด

     ทั้งนี้ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ เพื่อให้ผู้อ่านได้มีส่วนร่วมกันในการอนุรักษ์พันธุ์พืชของไทย โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีความหลากหลายและความงามอย่างโดดเด่น เพื่อให้คงอยู่สำหรับอนุชนรุ่นหลังที่จะได้เห็น ชื่นชมและได้รู้จักกันสืบต่อไป และให้เป็นมรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของประเทศตราบนานเท่านาน

นิตยาพร  สมภักดีย์
นักทดลองวิทยาศาสตร์บริการ
ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ
ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ

          ขยะพลาสติกจากการใช้งานด้านบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงใส่อาหาร ขวดเครื่องดื่ม กล่องโฟม จัดเป็นปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอันดับต้นๆของโลก เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นพลาสติกที่ผลิตจากพอลิเมอร์สังเคราะห์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีปริมาณความต้องการใช้งานที่สูงมากแต่ระยะการใช้งานสั้น ก่อให้เกิดปัญหาปริมาณขยะพลาสติกล้นเมืองขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความคงทนสูง เมื่อถูกทิ้งให้เป็นขยะจะต้องใช้เวลาในการสลายตัวตามธรรมชาติไม่ต่ำกว่า 20 ปีไปจนถึงมากกว่า 1,000 ปี

 

image001
ขยะในบ่อฝังกลบของไทย

          จุลินทรีย์…สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นประโยชน์ในการผลิตและถนอมอาหาร ตลอดจนการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์ การเกษตร เป็นต้น สำหรับด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาจากการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ จุลินทรีย์จัดเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายพลาสติก  กล่าวคือ นอกจากการสลายตัวของพลาสติกที่เกิดขึ้นได้โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ในธรรมชาติที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานแล้ว จุลินทรีย์บางชนิดสามารถที่จะผลิตพลาสติกที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ นำมาใช้ประโยชน์ได้เหมือนผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  แต่สลายตัวได้ง่ายในธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า “พลาสติกชีวภาพ” ซึ่งในปัจจุบันพลาสติกชีวภาพที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย ได้แก่

          1. Polylactic acid (PLA) เป็นพลาสติกชีวภาพชนิดแรกที่มีงานวิจัยรองรับและได้รับความสนใจในเชิงพาณิชย์มากที่สุด ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึงร้อยละ 54 โดยทั่วไป กระบวนการผลิต PLA เริ่มจาก การผลิตกรดแลคติกจากกิจกรรมของจุลินทรีย์กลุ่มแลคติกแอซิดแบคทีเรียในกระบวนการหมักวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวโพด แป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น จากนั้น นำกรดแลคติกมาผ่านกระบวนการทางเคมี เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นสารใหม่ที่มีโครงสร้างทางเคมีเป็นวงแหวนเรียกว่า แลคไทด์ แล้วนำมากลั่นในระบบสุญญากาศเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างได้เป็นพอลิเมอร์ของแลคไทด์ ที่เป็นสายยาวขึ้น (Polymerization) เรียกว่า PLA ผลิตภัณฑ์จาก PLA มีหลากหลายชนิด อาทิ แก้วน้ำ กล่องบรรจุอาหาร ถุงใส่ของ เป็นต้น หลังสิ้นสุดการใช้งาน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกย่อยสลายได้ง่ายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ

PLA-1

Polylactic acid รูปแบบ pellets
(http://www.alibaba.com/product-detail)

PLA-2

ผลิตภัณฑ์จาก Polylactic acid
(http://www.nkrpackage.com/site/bioplastic.html)

 

         2. Polyhydroxyalkanoates (PHAs)  เป็นโพลิเมอร์ที่จุลินทรีย์ เช่น Ralstonia eutropha, Rhodobacter shaeroides, Pseudomas putida   สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสะสมในเซลล์ การสร้าง PHAs จะเกิดขึ้นเมื่อแหล่งอาหาร เช่น ไนโตรเจนหรือฟอสฟอรัสขาดแคลน ในขณะที่มีแหล่งคาร์บอนอื่นๆ อยู่มากเกินความจำเป็น การผลิต PHA เริ่มต้นจากการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ในอาหารเลี้ยงเชื้อที่เหมาะสมต่อสะสม PHA เมื่อใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจดูที่เซลล์ของจุลินทรีย์จะเห็น PHAs เป็นแกรนูลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.2-0.5 ไมโครเมตร กระจายอยู่ทั่วไปในไซโทพลาซึม เมื่อสิ้นสุดการเพาะเลี้ยงจะนำเซลล์จุลินทรีย์มาสกัดและทำบริสุทธิ์ให้ได้ PHA  ปัจจุบันมีการนำพลาสติกชีวภาพในกลุ่ม PHA มาใช้ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น แก้วน้ำ ฝาขวดน้ำ ฝาแก้ว รวมทั้งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเคมีกลุ่ม Fire chemical และวัสดุเคลือบบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

PHA-2

PHAs ภายในเซลล์ของ Rhodobacter shaeroides
(http://www.biotechnologyforums.com/thread-2280.html)                        

PHA-7

ผลิตภัณฑ์จาก PHAs
(https://www.biooekonomie-bw.de/en/articles/news/bacteria-to-produce-bioplastics/)

 

          อย่างไรก็ตาม วัสดุใดๆในโลกต้องมีวันเสื่อมสลาย หรือเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นรูปแบบอื่น โดยอาศัยปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยที่ไม่มีชีวิต เช่น แสง ความร้อน ความชื้น ความเป็นกรด ด่าง เป็นต้น และปัจจัยที่มีชีวิต คือ จุลินทรีย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการ “ย่อยสลายทางชีวภาพ”

          การย่อยสลายทางชีวภาพของวัสดุทั่วไปหลังจากทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ ทั้งบนดิน ในแหล่งน้ำ หรือในทะเล เมื่อได้รับแสง ความร้อน ความชื้น กรด ด่างในระยะเวลาหนึ่ง วัสดุเหล่านั้นจะมีการเสื่อมของโครงสร้างทางเคมี จากวัสดุที่มีขนาดใหญ่จะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ และเมื่อมีขนาดเล็กกว่า  0.2 ไมโครเมตร จุลินทรีย์จะสามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานในการเจริญเติบโต ทั้งนี้ ถ้าเป็นการย่อยสลายแบบใช้ออกซิเจน จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้าย ในขณะที่การย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และก๊าซมีเทน กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม กล่าวได้ว่าการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์เป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

เอกสารอ้างอิง

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ. 2556. INNOVATION TREND: พลาสติกชีวภาพ. http://www.nia.or.th/innolinks/page.php.

ประดินันท์ เอี่ยมสะอาด. 2560. โพลีไฮดรอกซีอัลคาโนเอตซ พลาสติกชีวภาพจากแบคทีเรีย. วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. ปีที่ 27. ฉบับที่ 1. หน้า 147-158.

จตุพร วุฒิกนกกาญจน์และคณะฯ. 2556.  การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ จากพลาสติกชีวภาพชนิด PLA. คณะพลังงานสิ่งแวดและวัสดุ. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.
http://www.seem.kmutt.ac.th/research/pentec/interestingarticle.php.

แมลงปอเข็มน้ำตก อัญมณีแห่งลำธาร

>>> เรื่องและถ่ายภาพโดย วิศรุต สุขะเกตุ และ ภาวินี เขตร์นนท์ <<<

>>> สถานีวิจัยลำตะคอง <<<

damsel_01

          “เขาใหญ่” อุทยานแห่งชาติผืนใหญ่มรดกแห่งประเทศอาเซียนที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากสถานีวิจัยลำตะคองมากนัก เราจึงเลือกที่จะมาสำรวจกันที่นี่ การมาครั้งนี้ทำให้เราได้พบกับแมลงที่มีความสวยงามน่าทึ่งชนิดหนึ่ง บินโฉบเฉี่ยวตามซอกหินที่มีน้ำเซาะในลำธาร ปีกและลำตัวสีเขียวมันวาว ดั่งมรกตสะท้อนรับกับแสงอาทิตย์ บ้างก็สีฟ้าอมม่วงประดุจไพลิน อัญมณีมีชีวิตแห่งลำธารนั้นคือ “แมลงปอเข็มน้ำตก (damselfly)”

          แมลงปอเข็มน้ำตก เป็นแมลงที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ Odonata อันดับรอง Zygoptera  ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับแมลงปอ (dragonfly) แต่ถ้าหากสังเกตให้ดีแล้ว เราสามารถจำแนกแมลงปอเข็มน้ำตกออกจากแมลงปอทั่วไปได้จากรูปร่างของพวกมันที่มีความผอมเพรียวกว่า และเมื่อเวลาแมลงปอเข็มน้ำตกเกาะพักตามโขดหินหรือกิ่งไม้ ปีกทั้ง 2 คู่จะพับเข้าหากันและเหยียดไปด้านหลัง

damsel_03

          แมลงปอเข็มน้ำตกมีวงจรชีวิตช่วงหนึ่งที่อาศัยอยู่ในน้ำ ไข่จะถูกวางและรอการฟักอยู่ตามต้นพืชในลำธารที่มีน้ำไหลเวียนตลอดเวลา ตัวอ่อนของแมลงปอเข็มน้ำตกไม่มีปีกถูกเรียกว่า “Naiad” ใช้ชีวิตอยู่ในสายลำธารที่มีความใสสะอาดเท่านั้น อาหารของพวกมัน ได้แก่ ลูกอ๊อด ลูกปลาตัวเล็กๆ หรือสัตว์น้ำอื่นๆ ที่มีขนาดเล็ก และใช้เวลาในการเจริญเติบโตก่อนเข้าสู่ตัวเต็มวัยประมาณ 2 เดือน หรือบางชนิดอาจยาวนานถึง 3 ปี ก่อนจะลอกคราบในครั้งสุดท้าย พวกมันจะคลานขึ้นมาเกาะบนต้นพืชหรือโขดหินตั้งแต่เช้าตรู่ ผิวหนังชั้นนอกสุดจะถูกลอกคราบออกเผยให้เห็นสีสันสวยงามภายในของตัวเต็มวัย ของเหลวในร่างกายจะค่อยๆ ถูกสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทั้งปล้องท้อง และปีกที่สวยงามทั้ง 2 คู่ โดยมีความร้อนจากแสงอาทิตย์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จนกว่าอวัยวะทุกส่วนแข็งแรงพอที่จะโบยบิน อาหารในระยะตัวเต็มวัยของแมลงปอเข็มน้ำตกได้แก่ แมลงขนาดเล็กชนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดเล็ก

damsel_08

          ที่เขาใหญ่ คุณสามารถพบแมลงปอเข็มน้ำตกนี้ได้ตามลำธารที่มีน้ำไหลเซาะตามโขดหิน การบินฉวัดเฉวียนระเรี่ยผิวน้ำวนไปมากับพวกพ้องคืองานอดิเรกของมัน และนอกจากพฤติกรรมที่บินค่อนข้างเร็วแล้ว ยังเป็นแมลงที่ขี้อายมากอีกด้วย จึงเป็นสิ่งท้าทายมากสำหรับการถ่ายภาพแมลงปอเข็มน้ำตกเหล่านี้ พวกเราต้องใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมง ตั้งแต่แดดแรกเริ่มจนคล้อยบ่ายเพื่อเก็บภาพ

damsel_07

          เป็นที่น่าสังเกตว่า เราสามารถพบแมลงปอเข็มน้ำตกที่สวยงามนี้ได้เฉพาะบริเวณลำธารที่มีน้ำสะอาดไหลเวียนตลอดเวลาเท่านั้น ทำให้แมลงปอเข็มน้ำตกกลายเป็นดัชนีชีวภาพ (Bio-indicator) ชนิดหนึ่งที่บ่งชี้ถึงคุณภาพของน้ำได้เป็นอย่างดี (BULANKOVA 1997)  และถึงแม้ว่ายังไม่พบการวิจัยเกี่ยวกับประชากรของแมลงปอเข็มน้ำตกนี้อย่างชัดเจน แต่ก็นับว่าเป็นแมลงอีกชนิด ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ในการมาเยือนตามแหล่งน้ำลำธารครั้งหน้าของทุกคน ลองมองหาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่แสนสวยงามนี้ให้ดี โดยเฉพาะตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมลำธารหรือโขดหิน อาศัยความอุตสาหะอีกสักเล็กน้อย คุณก็จะได้พบกับอัญมณีแห่งลำธารที่คุ้มค่ากับการเฝ้าชม

damse_0l4

เอกสารอ้างอิง

BULANKOVA, E., 1997. Dragonflies (Odonata) as bioindicators of environment quality. Biologia, Bratislava, 52(2), pp.177–180.