พรีไบโอติกและโพรไบโอติก
คลิกเล่นที่ พรีไบโอติกและโพรไบโอติก เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพรีไบโอติกและโพรไบโอติกไปกับทีม KM ของ วว. กันค่ะ
คลิกเล่นที่ พรีไบโอติกและโพรไบโอติก เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพรีไบโอติกและโพรไบโอติกไปกับทีม KM ของ วว. กันค่ะ
ดร. ปฐมสุดา อินทุประภา
กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร
เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา SOE Digital Transformation for Thailand 4.0 ที่จัดขึ้นโดยชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ในฐานะคนนอกวงการ IT เพราะส่วนใหญ่บุคลากรที่มีโอกาสได้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นคนในแวดวง IT ไม่ว่าจะเป็น Programmer, System analyst และ Network engineer ซึ่งแต่ละคนก็จะมีการใช้คำพูดด้วยคำศัพท์ที่เป็น Technical terms ที่ผู้เขียนไม่ค่อยคุ้นหู และไม่เข้าใจความหมายเท่าไรนัก เพราะผู้เขียนเป็นแค่ End user หรือผู้ใช้ระบบที่เขาเหล่านั้นได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะ End user ที่เข้าร่วมในการสัมมนาในครั้งนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่านับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้เขียนได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยที่มุ่งมั่นจะพัฒนาระบบ Infrastructures, program และบุคลากร เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ
ในงานสัมมนา ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดและได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง SOE Digital Transformation for Thailand 4.0 ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวข้ามผ่านความล้าหลังแล้ว และกลุ่มรัฐวิสาหกิจของไทยก็มีศักยภาพทั้งในเรื่องเงินทุน กำลังคน และเทคโนโลยีที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่ 4.0 และหากกลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยสามารถวางเป้าหมายร่วมกันได้ ท่านก็เชื่อว่ากลุ่มรัฐวิสาหกิจไทยจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประเทศไทยความเป็นสู่ 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ท่านยังเน้นย้ำว่าทุกรัฐวิสาหกิจควรที่จะตั้งเป้าร่วมกันคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดยต้องไม่ลืมถึงความมั่นคงปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการคมนาคม ระบบ logistic และการทำธุรกรรมการเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในส่วนของรัฐบาลเองก็กำลังดำเนินการอยู่ 5 เรื่องหลักๆ เพื่อการขับเคลื่อน Digital 4.0 ซึ่ง ก็คือ SIGMA แปลว่า S = Security (ความปลอดภัย), I = Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน), G = Government (รัฐบาล), M = Manpower (กำลังคน) และ A = Application (การประยุกต์ใช้) โดยทั้งหมดนี้ก็หมายความถึง การคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการในโลกออนไลน์และความมีเสถียรภาพของระบบต่างๆ การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายให้ครอบคลุม การทำระบบ e-government เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ของรัฐบาลได้อย่างทั่วถึง การพัฒนากำลังคนหรือบุคลากรที่จำเป็นเพื่อใช้พัฒนา วิเคราะห์ และวางระบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเอาระบบต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในแต่ละภูมิภาค ซึ่งเหล่านี้ก็เชื่อมโยงกับการเสวนาของ คุณเทวินทร์ วงวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คุณชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และคุณมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้งสามท่านได้กล่าวถึง ความพร้อมในด้าน Manpower และ Infrastructure ของหน่วยงาน นอกจากนี้ท่านทั้งสามยังยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ รวมไปถึงการเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ การเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยบนระบบเครือข่ายความเร็วสูงที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศ
นอกจากนี้ในการเสวนาช่วงบ่ายของ ดร. ณัฐพล นิมมานพัชริทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล และ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ผู้ก่อตั้ง RISE และ CEO บริษัท MCFIVA ทั้งสองท่านยังได้เน้นย้ำถึงการเตรียมความพร้อมของบุคลากรของภาครัฐให้มีความเป็นนักนวัตกร (Innovator) คือ การที่บุคลากรภาครัฐสามารถนำเอาผลงานวิจัยมาต่อยอดหรือสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้นี้ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนวิถีชิวิตของผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สร้างความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา หรือประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น นวัตกรจำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงมุมมองของนักลงทุนและสามารถสื่อสารกับนักลงทุนให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่มีความแปลกใหม่และตอบสนองชีวิตในยุค digital 4.0 ได้ ซึ่งบุคลากรภาครัฐควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทัศนคติ รวมถึงแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ และหลุดออกจากกรอบความคิดเดิมๆ เพื่อสร้างสรรค์งานที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่สังคม
สำหรับในเรื่องของ Security นั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ก็ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ Cyber Security for New Generation ซึ่งในการบรรยายท่านก็ได้เน้นย้ำถึง การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายของทั้งภาครัฐและเอกชนที่จำเป็นจะต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายในการปฏิรูปธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานของระบบจำเป็นต้องเข้มแข็ง และสามารถตรวจจับเครือข่ายแปลกปลอมต่างๆ ที่แทรกซึมเข้ามาในระบบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เรื่องนี้นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างยิ่งของการพัฒนาสู่ Thailand 4.0 อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงท้ายของงานซึ่งเป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง Challenging to change in digital era โดย พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ทำให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง ดังนั้นในยุคที่ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา บุคลากรภาครัฐจึงจำเป็นต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแลงที่รวดเร็วเช่นนี้ เพราะคลื่นลูกใหม่แห่งความเปลี่ยนแปลงอาจจะถาโถมลงมาได้อีกในไม่กี่ปีข้างหน้า
ท้ายสุดนี้ ข้อคิดที่ได้จากเข้าร่วมสัมมนาในฐานะ End user ผู้เขียนได้ตระหนักถึงสิ่งที่ End user ต้องเตรียมรับมือเพื่อก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ Digital literacy หรือความตระหนักรู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้เราสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา
(กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร)
การสื่อสารเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ เรามีการสื่อสารกันทุกวันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การพูด การเขียน การแสดงสีหน้า ท่าทางต่างๆ มนุษย์เราสื่อสารกันก็เพราะต้องการสื่อความหมาย ต้องการอธิบายสิ่งต่างๆ ต้องการให้ความรู้ ต้องการโน้มน้าว ต้องการพูดคุยเพื่อความบันเทิง หรือเพียงแค่ต้องการบอกความรู้สึก การสื่อสารนั้นประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ คือ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและมีความสำคัญในชีวิตมนุษย์มาก และเราก็มักจะใช้การสื่อสารเพื่อพูดคุยเรื่องทั่วไปๆ ในชีวิตประจำวัน แต่การสื่อสารส่วนใหญ่ของเรามักจะไม่พาดพิงไปในแวดวงวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ยาก และอาจดูห่างไกลจากชีวิตประจำวันของประชาชานทั่วไป แต่ในความเป็นจริงวิทยาศาสตร์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตของเรา เนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงทำให้เรามีอายุยืนยาวขึ้น และทำให้เราสามารถสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรมให้แก่ประเทศต่างๆ ในโลกได้ ดังนั้นการช่วยให้ประชาชนรู้จักใกล้ชิดกับวิทยาศาสตร์มากขึ้น จึงควรเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ไม่ควรละเลยที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ตัวอย่างของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ง่ายๆ และใกล้ตัว ก็คือ การที่หมออธิบายผู้ปกครองถึงความจำเป็นของการฉีดวัคซีนในเด็ก การที่หมอให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันตัวเมื่อเกิดโรคไข้หวัดระบาด การที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับกำจัดยุงลายป้องกันไข้เลือดออก เรื่องต่างๆ เหล่านี้ คือการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่มานานในสังคมไทย เนื่องจากหมอหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขนั้นทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและจำเป็นต้องสื่อสารองค์ความรู้ที่จำเป็นทางด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน ในทางกลับกันนักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่น ที่ไม่ได้ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การสื่อสารวิทยาศาสตร์มากนัก การเผยแพร่ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนก็จะเป็นเพียงการสัมมนาเชิงวิชาการและการเขียนบทความวิชาการลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเฉพาะทางเท่านั้น ภาษาที่ใช้สื่อสารในงานสัมมนาและการเขียนบทความก็จะเป็นภาษาเชิงวิชาการและมีศัพท์ทางเทคนิคมากมายที่ประชาชนทั่วไปยากที่จะเข้าใจ ทำให้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ดังนั้นช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับประชาชนทั่วไปจึงเกิดขึ้น และเมื่อช่องว่างนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่ตามมาก็คือ ประชาชนจะไม่เข้าใจกระบวนการและแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ ส่งผลเสียต่อความร่วมมือกันระหว่างประชาชนกับนักวิทยาศาสตร์ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น กรณีการพบบ่อน้ำสีดำที่จังหวัดนาราธิวาส ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ ด้วยการดื่มหรืออาบ แต่แท้จริงแล้วบ่อน้ำดังกล่าวมีเชื้อโรคและอุจจาระปนเปื้อน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้นักวิทยาศาสตร์จะออกมายืนยันถึงผลการทดสอบสารปนเปื้อนของน้ำในบ่อดังกล่าว แต่เนื่องจากช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์และประชาชนมีมาก อีกทั้งประชาชนบางส่วนยังขาดหลักการวิเคราะห์ตามกระบวนการและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ประชาชนหลายคนยังคงเลือกที่จะดื่มและอาบน้ำจากบ่อน้ำดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นมาดูแลในส่วนนี้
อีกตัวอย่างหนึ่งของปัญหาช่องว่างของนักวิทยาศาสตร์กับประชาชนทั่วไปก็คือ การสื่อสารเรื่องภาวะโลกร้อน แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะมีการพยายามสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงปัญหาของภาวะโลกร้อน แต่ด้วยภาษาที่ใช้สื่อสารนั้นเข้าใจยาก ทำให้ประชาชนหลายคนก็ยังมีความรู้สึกว่า ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัว และไม่สนใจที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหา ทำให้รัฐบาลต้องพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณและออกมาตรการเพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้า แต่ในทางกลับกันหากนักวิทยาศาสตร์สามารถช่วยสื่อสารด้วยภาษาที่ง่ายขึ้น และสามารถทำให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนและผลกระทบใกล้ตัวที่จะตามมา เช่น ผลกระทบในเชิงสังคม เศรษฐกิจ อุตสาหกรมการท่องเที่ยว ต่างๆ เหล่านี้ ก็จะทำให้ประชาชนเข้าใจและใส่ใจที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วยตนเอง รัฐบาลจึงอาจไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณไปในเรื่องนี้มากเกินความจำเป็น
จากที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลดช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วไป ด้วยการสื่อสารวิทยาศาสตร์นั้น จะส่งผลกระทบในเชิงบวกแก่ประเทศอย่างเป็นองค์รวม เพราะหากประชาชนทั่วไปมีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง มีกระบวนการคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ รู้จักคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ประเทศชาติก็จะสามารถพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ดีขึ้น ดังเช่นประเทศในแถบเอเชียที่พัฒนาแล้ว อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้นับได้ว่า เป็นประเทศต้นแบบในเอเชียที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศมีกระบวนการทางความคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ ทำให้มีความพร้อมในการปรับตัวและประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ
สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับประชาชนนั้น ยังคงมีอยู่มาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ของไทย ยังไม่เห็นถึงความจำเป็นในการสื่อสารวิทยาศาสตร์ และอาจคิดว่า เรื่องการสื่อสารเป็นเรื่องของนักสื่อสารมวลชน ซึ่งเรื่องนี้ถือได้ว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ผู้ถ่ายทอดสารหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จึงจำเป็นต้องรู้จริงเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองต้องการจะสื่อสาร เพราะไม่เช่นนั้นข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดออกไปจะไม่ครบถ้วน หรืออาจผิดพลาด คลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากสารที่นักสื่อสารมวลชนเลือกที่จะนำเสนอนั้น อาจแตกต่างไปจากสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการจะสื่อ เพราะต้องไม่ลืมว่า นักสื่อสารมวลชนต้องการนำเสนอข่าวที่มีสีสัน น่าตื่นเต้น เพื่อสร้างจุดขายของข่าวสารที่จะนำเสนอ นอกจากนี้ในโลกปัจจุบันข้อมูลที่ถูกแชร์กันในสื่อออนไลน์นั้น มีทั้งจริงและเท็จ หรือไม่ครบถ้วน เช่น การโฆษณาสรรพคุณผลิตภัณฑ์บางอย่างเกินจริงใน Facebook ที่สามารถพบเห็นได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งผลเสียอันเกิดจากการแพ้สารเคมีบางอย่างที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ก็มีให้เห็นกันอยู่เสมอๆ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงไม่ควรที่จะละเลยถึงปัญหาเช่นนี้ในสังคม และหันมาให้ความสนใจในการสื่อสารเพื่อให้ความรู้ประชาชนให้มากขึ้น
การสื่อสารวิทยาศาสตร์นั้น นอกจากจะมีประโยชน์ในการให้ความรู้กับสังคมแล้ว ยังมีประโยชน์กับตัวนักวิทยาศาสตร์เองด้วยเช่นกัน เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนในการทำวิจัย หรือต่อยอดผลงานวิจัย ทำให้บางครั้งนักวิทยาศาสตร์มีความจำเป็นต้องไปนำเสนอผลงานวิจัยให้แก่นักลงทุนเพื่อให้เกิดการร่วมทุน หรือแม้แต่การซื้อผลงานไปผลิตในเชิงพาณิชย์ (pitch) ซึ่งการนำเสนองานในรูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที เท่านั้น โดยผู้นำเสนอแต่ละคนจะมีโอกาสนำเสนองานต่อหน้าผู้ฟังหรือนักลงทุนตามเวลาที่กำหนดไว้ จากนั้นจะมีเวลาให้อีก 2-3 นาที เพื่อตอบคำถาม ซึ่งนักวิทยาศาสตร์อาจจะไม่มีความคุ้นเคยในการนำเสนองานรูปแบบนี้ เพราะมันจะมีความแตกต่างจากการนำเสนองานผลงานวิชาการในงานสัมมนาเชิงวิชาการอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มีเวลาจำกัดในการรับฟัง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการนำเสนองาน โดยมุ่งไปที่ประเด็นสำคัญของความสำคัญของงานวิจัยของตนว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาอะไร หรือตอบโจทย์อะไรในสังคม นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลที่นักลงทุนต้องการจะทราบ และพูดเฉพาะในประเด็นนั้นๆ ส่วนเรื่องของขั้นตอนวิจัยต่างๆ อาจจะกล่าวเพียงสั้นๆ เท่านั้น เทคนิคต่างๆ เช่น การเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ การใช้การเปรียบเทียบ ต่างเหล่านี้ๆ จะทำให้การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ประสบผลสำเร็จมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการระดมทุนจากภาคธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ก็จะมีแหล่งเงินทุนที่จะมาต่อยอดงานวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้
ในต่างประเทศที่มีการระดมทุนระหว่างภาคธุรกิจกับนักวิทยาศาสตร์นั้น การสื่อสารวิทยาศาสตร์ถูกจัดให้เป็น professional skill ที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ควรจะมี ในมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย เริ่มมีการฝึกนักศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ให้ฝึกนำเสนองานวิจัย (thesis) ของตนในระยะเวลาที่กำหนดราวๆ 3-7 นาที ด้วยภาษาที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย โดยมหาวิทยาลัยต่างๆ เหล่านี้จะจัดประกวด การนำเสนอ thesis ของนักศึกษาที่หอประชุมใหญ่เป็นประจำทุกปี นอกจากการนำเสนองานวิจัยแล้ว ยังมีโครงการที่เกี่ยวกับการสื่อสารวิทยาศาสตร์อีกโครงการหนึ่งของต่างประเทศที่น่าสนใจคือ โครงการ FameLab ซึ่งก็คือ การแข่งขันการนำเสนอทางด้านวิทยาศาสตร์ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วทุกมุมโลก และได้สร้างทักษะการสื่อสารงานวิจัยที่เป็นประโยชน์แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จำนวนมาก โครงการ FameLab นี้จัดขึ้นในรูปแบบของการแข่งขันการบอกเล่าเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันได้ใช้เวลา 3 นาทีในการบอกเล่าเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน ถูกต้อง กระชับและได้ใจความ ต่อหน้าคณะกรรมการและผู้ฟัง โดยผู้เข้าแข่งขันจะมีโอกาสเป็นตัวแทนการแข่งขันในระดับนานาชาติและสร้างเครือข่ายจากคนในแวดวงการสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์ ผู้ชนะเลิศการประกวดในระดับนานาชาติจะมีโอกาสได้เข้าฝึกงานในสถานีวิจัยหรือห้อง lab ชั้นนำของโลกอีกด้วย ซึ่งโครงการนี้มีนักศึกษาและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าร่วมประกวดมากมาย เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ ในส่วนของประเทศไทยนั้น การจัดกิจกรรม FameLab นี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดร่วมกับ British Council และหน่วยงานภาคเอกชน ร่วมกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งนับได้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นใหม่ให้สามารถสื่อสารกับประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เหล่านี้ก็จะสามารถช่วยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนักลงทุนกับนักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศ และยังอาจสามารถช่วยให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายแก่ผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศวางนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เวทีการประกวดการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในไทยก็ยังมีน้อยและยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะสำหรับในประเทศไทยนั้น การสื่อสารวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงของการศึกษา เราสื่อสารวิทยาศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเท่านั้น เช่น การจัดนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์ การสร้างสื่อการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ คนไทยส่วนใหญ่จึงมักมองการสื่อสารวิทยาศาสตร์เป็นเพียงเรื่องของการสอนวิทยาศาสตร์แก่เยาวชน ซึ่งการมองเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะการสื่อสารวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยผ่านกระบวนการขั้นตอนและเทคนิคต่างๆ แต่การสื่อสารวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า การสื่อสารวิทยาศาสตร์คือ สิ่งที่จะช่วยลดช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับประชาชน ช่วยให้ประชาชนมีความเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีหลักคิดตามแนววิทยาศาสตร์ รู้จักตั้งคำถาม คิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานเบื้องต้นของพลเมืองในประเทศที่พัฒนาแล้ว และบุคลากรที่จะช่วยให้ประชาชนในประเทศไทยมีคุณสมบัติเหล่านั้นได้ก็คือ นักสื่อสารวิทยาศสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์นั้นเอง ดังนั้นในยุคนี้ ยุคที่ทุกคนให้ความสำคัญกับการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลในโลกออนไลน์ นักวิทยาศาสตร์จึงต้องปรับตัวและตระหนักถึงบทบาทใหม่ในการสื่อสารองค์ความรู้และงานวิจัยของตนเอง เพื่อช่วยในการพัฒนาคุณภาพของประชาชนในประเทศ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถเริ่มต้นทำได้ง่ายๆ โดยการใช้ social media อย่าง Facebook และ Twitter เผยแพร่องค์ความรู้หรืองานวิจัยของตน หรืออาจจะเป็นการเขียนบันทึกความรู้ลงใน Blog ส่วนตัว หรืออาจจะพูดผ่าน Podcasts หรือ Youtube ก็ได้ การเริ่มต้นสื่อสารวิทยาศาสตร์ด้วยช่องทางต่างๆ เหล่านี้ นอกจากนักวิทยาศาสตร์จะได้ฝึกทักษะด้านการสื่อสารให้แก่ตนเองแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่ประชาชนอีกด้วย ถือเป็นการได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เป็น win-win situation ซึ่งทำให้ประเทศชาติสามารถขับเคลื่อนไปด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง และเติบโตได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
ปฐมสุดา อินทุประภา
Pitch ในพจนานุกรมของ Cambridge มีหลายความหมาย แต่หากพูดถึงในด้านการนำเสนองานนั้น คำว่า Pitch จะหมายถึง a speech or act that attempts to persuade someone to buy or do something หรือแปลว่า การกระทำหรือคำพูดที่โน้มน้าวใจผู้ฟังให้ซื้อสินค้า บริการ หรือทำตามที่เราต้องการ ซึ่งการนำเสนองานในรูปแบบนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที เท่านั้น โดยผู้นำเสนอแต่ละคนจะมีโอกาสนำเสนองานต่อหน้าผู้ฟังหรือนักลงทุนตามเวลาที่กำหนดไว้ จากนั้นจะมีเวลาให้อีก 2-3 นาที เพื่อตอบคำถาม
ในปัจจุบันการนำเสนองานในลักษณะนี้ มักจะเกิดขึ้นในธุรกิจ Startup ที่ต้องการผู้ร่วมลงทุน เหล่านักธุรกิจหน้าใหม่ (entrepreneur) จะต้องนำเสนอผลงานหรือไอเดียธุรกิจให้แก่นักลงทุนเพื่อให้เกิดการร่วมทุน หรือแม้แต่การซื้อผลงานไปผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่ง Pitch Presentation นั้น ผู้นำเสนอจำเป็นต้องมีทักษะในการดึงดูดผู้ฟังให้สนใจงานของตนให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้ยังต้องมีการฝึกซ้อมการนำเสนอให้เกิดความชำนาญ เพื่อการนำเสนอที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ และสามารถลดความรู้สึกตื่นเต้นหรือประหม่าลง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการนำเสนองานในรูปแบบนี้ที่พบเห็นได้บ่อยๆ คือ การเลือกข้อมูลที่เหมาะสม เนื่องจากผู้นำเสนอมีข้อมูลจำนวนมากที่อยากจะนำเสนอ จึงอาจทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า ข้อมูลที่เหมาะสมต่อการนำเสนอควรจะเน้นไปในเชิงใด ดังนั้นในบทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยวางแผนในการเลือกข้อมูลที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้
การเริ่มต้นนำเสนอข้อมูลจากปัญหา
ผู้นำเสนอควรจะชี้แจงถึงความสำคัญของผลงานวิจัยหรือธุรกิจของตนเองว่า สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไร ตอบโจทย์อะไรในสังคม โดยข้อมูลที่เลือกมานำเสนอนั้นจำเป็นจะต้องมีความกระชับ เข้าใจง่าย ถูกต้อง ครบถ้วน และน่าสนใจ เพราะการเริ่มต้นที่น่าประทับใจ (hook) จะทำให้ผู้ฟังสนใจและติดตามฟังไปจนจบ
ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์มีการทำงานอย่างไร
ในส่วนนี้ผู้นำเสนอควรจะพูดถึงลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจว่าเป็นอย่างไร มีการทำงานอย่างไร มีความแตกต่างจากธุรกิจอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันอย่างไร วัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์หรือลักษณะการดำเนินการธุรกิจเป็นอย่างไร มีการบริหารจัดการอย่างไร โดยอาจมีการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ซึ่งสามารถทำให้น่าสนได้โดยการร้อยเรียงเรียงราวในลักษณะการเล่าเรื่อง (story telling) หรืออาจยกตัวอย่างในสิ่งที่ใกล้ตัวผู้ฟัง เพื่อช่วยให้ผู้ฟังเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์
ผู้นำเสนอจะต้องไม่ลืมที่จะกล่าวถึงกลุ่มเป้าหมายที่คาดหวังว่าจะมาใช้ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจบริการ โดยอาจระบุไปอย่างละเอียดถึง เพศ อายุ อาชีพ ของกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงวิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว และหากเป็นไปได้ผู้นำเสนอควรจะมีการวิเคราะห์ส่วนแบ่งการทางการตลาดเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน
การรับมือกับความเสี่ยง
การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนั้นผู้นำเสนอจึงควรนำเสนอแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแก่นักลงทุน ซึ่งอาจทำได้โดยการยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมโรงงานผลิต หรือการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองต่างๆ ที่มีผลต่อการดำเนินการธุรกิจหรือการผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลที่มีความจำเป็นในการตัดสินใจของนักลงทุน ซึ่งหากผู้นำเสนอสามารถที่จะผูกเรื่องเป็นเรื่องราวให้น่าสนใจได้ และนำเสนอในลักษณะของการบอกเล่าเรื่อง ไม่ใช้ลักษณะของการบรรยาย ใช้โทนเสียงที่มีความสูงต่ำ ยิ้มแย้ม และมีการสบตาผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้นำเสนอสามารถดึงดูดผู้ฟังได้ไม่ยาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อม ดังคำกล่าวที่ว่า practice makes perfect
อ้างอิง
http://researchpark.illinois.edu/resources/how-make-pitch-presentation
http://mashable.com/2011/06/24/startup-pitch-presentation/#buOYzxpRskqf
http://www.forbes.com/sites/carminegallo/2013/07/31/5-must-have-presentation-tips-for-pitching-to-angel-investors/#17dfce173822
โดย ปฐมสุดา อินทุประภาและวัชรีวรรณ ทรัพย์รุ่งเรือง
โลกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะโลกร้อน การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์บางชนิด การเสียสมดุลของระบบนิเวศ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ดำเนินการจัดทำโครงการค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล เรียนรู้การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด รวมถึงมีความรู้ความเข้าใจในระบบนิเวศวิทยา ซึ่งจะทำให้เยาวชนมีความรู้และทัศนคติเพื่อนำไปพัฒนาตนเองและสังคมได้ในอนาคต ซึ่งการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวดำเนินการในรูปแบบของค่ายวิทยาศาสตร์โดยใช้ห้องเรียนธรรมชาติ ซึ่งก็คือ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานีวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาของ วว. รวมทั้งยังเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลหรือพื้นที่สงวนชีวาลัย (UNESCO Biosphere Reserves) แห่งหนึ่งของโลก ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสำหรับการศึกษาระบบนิเวศวิทยาป่าเขตร้อน (ป่าดิบแล้งและป่าเต็งรัง)
สำหรับกิจกรรมในค่ายนั้น ทาง วว. ด้านแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และด้านการอนุรักษ์ โดยกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพธรรมชาติของป่าสะแกราช การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เปรียบเทียบลักษณะของป่าดิบแล้งและป่าเต็งรัง การศึกษาทรัพยากรป่าไม้ และปัจจัยแวดล้อม โดยการนำเยาวชนเดินป่าตามเส้นทางเดินป่าในสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช เพื่อให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ความสมบูรณ์ของป่า การอาศัยพึ่งพากันของป่า พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิต คน รวมไปถึงการศึกษาชีวิตสัตว์ ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศวิทยา เช่น นก แมลง สัตว์ป่าต่าง ๆ เป็นต้น โดยศึกษาการดูนกอย่างถูกวิธีกับนักดูนกมืออาชีพ ศึกษาเรียนรู้การใช้กล้อง Binoculars, Telescope ศึกษาการใช้คู่มือดูนกสากล เช่น หนังสือ A Guide To The Birds of Thailand ของ Dr. Boonsong Lekagul และ Philip D. Round และเรียนรู้มารยาทในการดูนก นอกจากนี้ยังมีเรียนรู้เรื่องดวงดาวบนท้องฟ้า เรียนรู้เรื่องการเขียนแผนที่ดูดาวอย่างง่ายด้วยตัวเอง ศึกษาการใช้กล้อง Telescope สำหรับดูดาว เรียนรู้ถึงประโยชน์ของดวงดาวบนท้องฟ้า การโคจรของดวงดาว ดวงดาวที่สำคัญ การบอกทิศจากการดูดาว ในส่วนของกิจกรรมทางด้านการอนุรักษ์จะเน้นไปที่กิจกรรมการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติให้กับเยาวชน โดยใช้วิธีการบรรยาย สาธิต และฝึกปฏิบัติ เรื่องวิธีการที่เยาวชนจะสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติใกล้ตัวได้ และจะนำกลับไปปฏิบัติต่อที่บ้าน สังคม โรงเรียน ชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการจุดประกายการอนุรักษ์ให้เยาวชนเกิดความตระหนัก รัก และหวงแหนสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่จะส่งผลกระทบไปถึงสิ่งแวดล้อมรอบโลก
โครงการค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนนี้ ทาง วว. ได้มีดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยมีการคัดเลือกเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 6 เข้าร่วมโครงการ ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่ง วว. เล็งเห็นว่าโครงการนี้สามารถพัฒนาเป็นต้นแบบของการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ (Environmental Education) ได้ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการส่งเสริมการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์อย่างจริงจังเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างใน อังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา การสร้างต้นแบบโดยใช้ค่ายวิทยาศาสตร์ของโครงการนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและเหมาะสมอย่างยิ่งในประเทศไทย และ วว. ก็มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนไทย
ปัจจุบันการสื่อสารสามารถทำได้หลายวิธี การสื่อสารด้วยการเขียนบทความก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ ยิ่งมีความจำเป็นในการเขียนบทความเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยของตนและของหน่วยงาน ซึ่งการเขียนบทความเชิงวิชาการมีความแตกต่างกับบทความทั่วไป เพราะข้อมูลที่นำมาเขียนจะต้องเป็นข้อเท็จจริง และภาษาที่ใช้ควรจะเป็นภาษาเชิงวิชาการ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องมีการหาข้อมูลและมีการฝึกฝนทักษะอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการฝึกฝนทักษะดังกล่าวสามารถเริ่มได้โดยใช้เทคนิคง่ายๆ 3 ข้อ ดังนี้
การเขียนบทความเชิงวิชาการจำเป็นต้องมีการวางแผนการเขียน โดยอาจทำโดยการใช้ mind map หรือ การวาง layout ของสิ่งที่ต้องการจะเขียนก่อน เพื่อตีกรอบให้เรื่องที่จะเขียนอยู่ในประเด็นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
การกำหนดโครงเรื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการเขียนบทความเชิงวิชาการ ซึ่งโครงเรื่องจะต้องประกอบด้วย บทเกริ่นนำ (overview) ตัวเรื่อง (body) และบทสรุป (conclusion) โดยทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความต่อเนื่อง สอดคล้อง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
เมื่อผู้เขียนเสร็จสิ้นการเขียนบทความแล้ว ผู้เขียนควรมีการทวนแก้ไข โดยตรวจทานในเรื่องของการใช้ภาษาที่ฟุ่มเฟือย การสะกดคำ และการใช้วรรคตอนที่ถูกต้องตามหลักภาษา นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบเอกสารอ้างอิงว่ามีครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ เพราะบทความวิจัยและบทความเชิงวิชาการนั้น จำเป็นต้องมีการอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้บทความมีความน่าเชื่อถือ ไม่หลักลอย
เทคนิคง่ายๆ 3 ข้อนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อฝึกฝน เพิ่มพูนทักษะการเขียนบทความเชิงวิชาการได้ และเมื่อมีการฝึกฝนบ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ ผู้เขียนก็จะสามารถเขียนบทความให้มีความเป็นเอกภาพ ต่อเนื่อง กระชับ และมีความน่าอ่านได้ต่อไป ดังคำกล่าวที่ว่า “Practice makes perfect.”
เอกสารอ้างอิง
ธนกิจวนิชย์, เอก. 2559. เทคนิคการเขียนบทความวิจัย บทความวิชาการ และวารสารวิชาการ. ใน: เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่อง เทคนิคการเขียนบทความวิจัย บทความวิชาการ และวารสารวิชาการ วันที่ 25 สิงหาคม 2559. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, หน้า 1-15.
ทุกวันนี้การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นสิ่งขับเคลื่อนให้ธุรกิจและการดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรอาจประสบปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทำให้องค์กรไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ตามความคาดหวังของผู้บริหารระดับสูง ทั้งนี้ปัญหาที่ข้องเกี่ยวกับการสื่อสารนี้อาจมาจากการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กรก็ได้ ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้โดยตรงก็คือ บุคลากรภายในองค์กรขาดทักษะในการสื่อสารและไม่เข้าใจถึงหลักจิตวิทยาในการสื่อสาร ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกันเองภายใน หรือติดต่อประสานงานกับหน่วยงานภายนอกได้สำเร็จ ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจในหลักจิตวิทยาพื้นฐานของการสื่อสาร เพื่อให้การสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์ของบุคลากรใน องค์กรมีความราบรื่นอันจะนำไปสู่ความสำเร็จของงาน เพราะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้น ขึ้นอยู่กับการคิดวิเคราะห์ในระดับจิตใต้ สำนึกเกี่ยวกับประโยชน์หรือผลเสียที่จะได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งการคิดวิเคราะห์นี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วบุคคลจะเลือกกระทำพฤติกรรมที่ประเมินแล้วว่า ตนเองจะไม่เสียผลประโยชน์ หรือได้รับผลเสียจากการเลือกกระทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ในการประชุมหากมีการขอความคิดเห็นในการแก้ปัญหาเรื่องใดเรื่องที่องค์กรกำลังประสบอยู่ แต่ไม่มีบุคคลใดเสนอความคิดเห็น ซึ่งนี่ก็อาจไม่ได้เป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นไม่มีแนวความคิดในการแก้ไขปัญหา แต่อาจเป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นได้ประเมินแล้วว่า การเสนอแนวความคิดในการแก้ปัญหาออกไปจะเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับตนเอง เพราะผู้บังคับบัญชาอาจโยนความรับผิดชอบให้ตนเองเพียงผู้เดียว เป็นต้น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักจิตวิทยาในการสื่อสาร เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นบวก (positive) ในการมีปฏิสัมพันธ์กันของบุคลากรในองค์กร ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรมีความก้าวหน้าและเติบโต ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
พื้นฐานของหลักจิตวิทยาในการสื่อสารเบื้องต้นนั้น สามารถสรุปได้สั้นๆ คือ การสื่อสารด้วยการสร้างแรงจูงใจด้วยความสนุก เป็นกันเอง มีความเห็นอกเห็นใจ และให้เกียรติ นอกจากนี้ตัวสารหรือข้อความที่ต้องการจะสื่อออกไปนั้นต้องกระชับ เข้าใจง่าย และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นข้อความในเชิงบวกเท่านั้น ลักษณะการพูดในเชิงการออกคำสั่ง การขู่บังคับ การพูดตัดพ้อ หรือการพูดเหน็บแนม ประชดประชัน เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งในการสื่อสารภายในองค์กร เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งอันจะส่งผลเสียระยะยาวต่อองค์กรได้ การสื่อสารด้วยการสร้างแรงจูงใจ ด้วยความสนุก เป็นกันเอง เห็นอกเห็นใจและให้เกียรตินี้ เป็นการประยุกต์มาจากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ของ Maslow’s hierarchy of needs ซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสารด้านจิตวิทยามาตั้งแต่ปี 1943 และถูกใช้อ้างอิงอย่างกว้างจนมาถึงปัจจุบัน ตามหลักทฤษฎีของ Maslow ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์นั้น มีความต้องการเป็นลำดับ 5 ขั้นพีระมิด ดังนี้
ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ตามทฤษฎีของ Maslow นี้เริ่มตั้งแต่ฐานพีระมิดไปจนถึงยอดพีระมิด Maslow เชื่อว่า หากมนุษย์ได้รับความต้องพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่แล้ว ก็จะเริ่มต้องการความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิต จากนั้นจึงจะต้องการความรักและความรู้สึกร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือองค์กรที่ตนเองสังกัด จากนั้นจึงจะเริ่มต้องการการให้เกียรติและการได้รับความเคารพจากบุคคลอื่น และเมื่อได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น มนุษย์ก็จะมีความต้องการที่จะตระหนักถึงศักยภาพของตนเอง ซึ่งอาจหมายถึงความต้องการพัฒนาศักยภาพ และการเรียนรู้จักผิดชอบชั่วดี การให้เกียรติคนอื่น และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของความต้องการของมนุษย์ ซึ่งความต้องการสุดท้ายนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากความต้องการพื้นฐานด้านล่างของพีระมิดยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
ดังนั้น หลักจิตวิทยาในการสื่อสารจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงหลักทฤษฎีความต้องการนี้โดยใช้วิธีการสื่อสารที่สร้างแรงจูงใจมีความสนุก เป็นกันเอง เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ และให้เกียรติ ซึ่งทำได้โดยการเลือกใช้ภาษา ถ้อย คำ หรือน้ำเสียงที่เป็นไปในเชิงบวก เช่น การพูดชมเชย การพูดในเชิงขอความร่วมมือแทนการออกคำสั่งและชี้แจงให้ทราบถึงเหตุผลหรือความจำเป็นในการขอความร่วมมือ โดยอาจชี้แจงถึงผลกระทบในภาพรวม หากไม่ได้รับความร่วมมือ ซึ่งควรพูดในเชิงขอความเห็นใจไม่ใช่การขู่ถึงผลที่จะตามมา นอกจากนี้หากจำเป็นต้องมีการติเตียน ควรจะสื่อสารในลักษณะที่เป็นไปในเชิงบวก เช่น การให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแทนการต่อว่า เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ฟังไม่เกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกดูถูกเหยียดหยามหรือไม่ได้รับความเคารพหรือนั่นเอง
นอกจากนี้การสื่อสารที่มีความสนุกและเป็นกันเองนั้น ยังช่วยให้ผู้ฟังมีทัศนคติที่เป็นไปในเชิงบวกต่อผู้พูด ซึ่งส่งผลให้ผู้ฟังมีความตั้งใจที่จะฟังผู้พูด และไม่เกิดอคติแก่ผู้พูด ทำให้ไม่เกิดการแปลความหมายของข้อความที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสารผิดเพี้ยนไป และอาจส่งผลให้ผู้ฟังคล้อยตามผู้พูดอีกด้วย เทคนิคการสื่อสารที่มีบรรยากาศของความสนุกสนานเป็นกันเองนั้น โดยส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสื่อสารกับคนหมู่มาก เช่น การปาฐกถา การบรรยายต่างๆ ซึ่งเทคนิคการสื่อสารในลักษณะนี้ ผู้สื่อสารจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงลักษณะอารมณ์ต่างๆ ของผู้ฟัง หรือรู้ทันอารมณ์ของผู้ฟัง สามารถประเมินอารมณ์ของผู้ฟังได้โดยอาจสังเกตจากสีหน้าและภาษากายของผู้ฟัง ซึ่งความสามารถการประเมินอารมณ์ของผู้ฟังนี้จะช่วยให้ผู้พูดสามารถปรับวิธีการสื่อสารและรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี โดยเฉพาะในกรณีการสื่อสารกับลูกค้าภายนอกองค์กร
การสื่อสารที่สร้างแรงจูงใจ มีความสนุกเป็นกันเอง เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นในนั้น เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน และตัวผู้สื่อสารเองจำเป็นต้องมีความตระหนักรู้ถึงอารมณ์ตนเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ และมีความใจกว้าง เห็นอกเห็นใจ และรับฟังความเห็นผู้อื่นอย่างเป็นธรรม เพื่อให้สารที่ส่งออกไปสามารถโน้มน้าวผู้ฟังให้เชื่อ ยินยอมทำตาม หรือแม้แต่นำสารที่เราสื่อออกไปกลับไปคิดพิจารณา ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การเรียนรู้หลักจิตวิทยาในการสื่อสารไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องทำความเข้าใจผู้ฟังฝ่ายเดียว ผู้สื่อสารเองก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจและรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองด้วย เพื่อให้สารที่ส่งไปยังผู้พูดไม่เป็นข้อความในเชิงลบ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ความหวาดกลัว หรือความตื่นตระหนัก ส่งผลการสื่อสารนั้นล้มเหลว จากข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอมานี้ จึงกล่าวได้ว่า จิตวิทยาในการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาในหลายๆ ด้านขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น การบริหารงานภายในองค์การ การถ่ายทอดองค์ความรู้ภายในองค์กร หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ขององค์กรต่อสาธารณะ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การพยายามสร้างบุคลากรที่มีทักษะในการสื่อสารที่ดีเรียนรู้จิตวิทยาในการสื่อสารจึงนับเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรไม่ควรจะละเลย
บรรณานุกรม
Harré, N. (2011). Psychology for a better world. Lulu. com.
Maslow, A. H. (1943). A theory of human motivation. Psychological review,50(4), 370.
Tannenbaum, A. (2013). Social psychology of the work organization. Routledge.
โดย ปฐมสุดา อินทุประภา
Citizen science เป็นคำที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยังไม่แพร่หลายนักในเมืองไทยแต่ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย Citizen science ถือได้ว่าเป็นเรื่องแพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งครู นักเรียน และนักศึกษาในประเทศต่างๆ เหล่านั้น ก็จะมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการ Citizen science อยู่เสมอ แล้ว Citizen science นี่มันคืออะไรล่ะ
Citizen science เป็นคำที่ถูกนิยามขึ้นมาครั้งแรกประมาณกลางทศวรรษที่ 1990 โดย Rick Bonney ชาวอเมริกัน และ Alan Irwin ชาวอังกฤษ ซึ่งความหมายของ Citizen science ก็คือ การที่ประชาชนทั่วไปมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยวิทยาศาสตร์เช่น การสำรวจ การเก็บตัวอย่างข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยอยู่ภายใต้การควบคุมและดูแลจากนักวิทยาศาสตร์โดยตรง ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทำให้เข้าใจถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รวมไปถึงผลกระทบและผลลัพธ์ของโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตนได้มีส่วนร่วม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว โครงการที่เป็น Citizen science ในต่างประเทศจะเป็นโครงการวิทยาศาสตร์ที่มีผลกระทบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งนี้นอกจากประชาชนทั่วไปจะได้รับความรู้แล้ว ในส่วนของนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังอาจได้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มขึ้นจากเหล่า Citizen science ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่วิจัยอีกด้วย
โครงการ Citizen science นั้น แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
– ประเภทสนับสนุน (contributory) คือ ประชาชนจะมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนโครงการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์โดยการเป็นอาสาสมัครช่วยเก็บข้อมูลเท่านั้น
– ประเภทมีส่วนร่วม (collaborative) คือ ประชาชนจะมีส่วนช่วยทั้งในด้านการเก็บข้อมูล สำรวจ และวิเคราะห์ผล
– ประเภทช่วยออกแบบโครงการ (co-created) คือ ประชาชนจะมีช่วยนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่การออกแบบโครงการวิจัยบนพื้นฐานความต้องการของแต่ละชุมชน เพื่อเป็นการแก้ไขหรือหาคำตอบให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน โดยประชาชนจะมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
ตัวอย่างของโครงการ Citizen science หนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากในประเทศออสเตรเลีย คือ โครงการ Marine Debris ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียกับกลุ่มภาคเอกชนในประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ครูเกี่ยวกับเรื่องขยะบนชายหาด ซึ่งโครงการนี้เป็น Citizen science ประเภทมีส่วนร่วม (collaborative) คือ ให้ครูจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทำการสำรวจขยะบนชายหาดในเมืองของตนว่า มีซากสัตว์และขยะประเภทใดบ้างที่ถูกทิ้งไว้บนชายหาด
จากนั้นครูก็จะต้องทำการแยกประเภทขยะ จัดทำสถิติ และหากมีซากสัตว์ที่ ตายครูก็จะต้องทำการผ่าพิสูจน์ซาก เพื่อหาสาเหตุการตายของสัตว์ดังกล่าวว่ามาจากการกินเศษขยะที่ตกค้างบนชายหาดเข้าไปหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยนักวิทยาศาสตร์ โครงการนี้ทำให้ครูตระหนักถึงผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และเข้าใจกระบวนการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ครูที่เข้าร่วมโครงการนี้เตรียมที่จะประยุกต์โครงการนี้ ไปใช้ในการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนในสังกัดของตนอีกด้วย
Citizen science จึงนับได้ว่า เป็นโครงการที่น่าสนใจและเหมาะสมที่จะมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนไทยคุ้นเคยกับหลักวิธีการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดทัศนคติที่ดีกับวิทยาศาสตร์ และสนใจเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น
บรรณานุกรม
Fletcher, J., 2013. Not Just a Load of Rubbish: Impact of Participation in Marine Debris Citizen Science Program on Primary and Secondary School Teachers. MSc. The University of Western Australia.
Roy, H. E., Pocock, M. J. O., Preston, C. D., Roy, D. B., Savage, J., Tweddle, J. C., & Robinson, L. D., 2012. Understanding Citizen Science & Environmental Monitoring. Final Report on behalf of UK-EOF: NERC Centre for Ecology & Hydrology and Natural History Museum, pp.1-170.
Trumbull, D. J., Bonney, R., Bascom, D., & Cabral, A., 2000. Thinking scientifically during participation in a citizen-science project. Science Education, 84 (2), pp.265-275.