การประชุมวิชาการระดับประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ National Conference on Information Technology : NCIT มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี โดยความร่วมมือของสถาบันการศึกษาที่มีการเปิดสอนหลักสูตรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 9 สถาบัน ซึ่งในครั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รับเป็นเจ้าภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการวิจัยตลอดจนความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้กว้างขวางแพร่หลายยิ่งขึ้น

โดยในปีนี้ การประชุมวิชาการระดับประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 3 (The 3rd National Conference on Information Technology: NCIT2010) จะจัดขึ้นในวันที่ 28-29 ตุลาคม 2553 ที่โรงแรม เดอะแกรนด์ อยุธยา บางกอก กรุงเทพมหานคร

ผู้ที่สนใจส่งบทความวิจัย ซึ่งบทความที่คัดเลือกส่วนหนึ่ง จะได้รับการเสนอให้ปรับปรุงเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาการสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Science and Information Technology Journal) หรือสนใจในรายละเอียดของการประชุมเพิ่มเติม สามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ncit.in.th/

โครงการจับคู่ธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดงานอบรมหัวข้อ การจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า และการจัดการประสบการณ์ลูกค้าในสถานการณ์จริง (CRM & CEM in Action) ซึ่งงานกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 9 มิถุนายน 2553  เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้อง Board Room 4 ชั้น 3 Zone C ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สนใจดูรายละเอียด กำหนดการและใบสมัคร คลิกที่นี่ หรือ ติดต่อสอบถาม / สำรองที่นั่งได้ที่คุณวาสนา โทร. 02-345-1120 มือถือ 086-3291977 คุณอธิษฐาน โทร. 02-345-1118 มือถือ 084-0281418 Email : wassanak@off.fti.or.th, wassanak@windowslive.com, atidthank@off.fti.or.th

สมัคร 4 ท่านแถมฟรี 1 ท่าน/หลักสูตร หรือ สมัคร 4 หลักสูตร/บริษัท แถมฟรี 1 หลักสูตร รับจำนวนจำกัด โดย** ค่าใช้จ่ายในการอบรมสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 200% ตามประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 437 **

(ดูหลักสูตรอบรมทั้งหมดได้ที่ http://www.ftimatching.com/)

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ การแปลงแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 ไปสู่การปฏิบัติ ขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งพอสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

การประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความคิดเห็น อันจะนำมาซึ่งการแปลงแผนแม่บทฯ ประเทศ 52-56 ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ การนำไปสู่แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทฯ  รวมทั้งเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป  โดยวิทยากรได้แนะนำวิธีการ และเครื่องมือที่ช่วยให้หน่วยงานสามารถนำไปใช้ในการแปลงแผน ซึ่งหน่วยงานสามารถไป download ไฟล์เอกสารตามกรอบการทำงาน  (Template) จาก Website ของโครงการได้

ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า กลไกการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ จำเป็นต้องประกอบด้วย

  • หน่วยงานหรือเจ้าภาพ ดำเนินการจัดทำหรือปรับแผนแม่บทฯและแผนปฏิบัติการหน่วยงาน
  • สำนักงบประมาณหรือสำนักงาน ก.พ. หรือกระทรวง หรือกรม หรือหน่วยงาน ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนในการดำเนินงาน
  • กระทรวงหรือกรม ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมตามแผนแม่บทฯ และแผนปฏิบัติการหน่วยงาน
  • กระทรวง ICT ดำเนินการและประสาน กระทรวงหรือกรม เพื่อติดตามและประเมินผล

โดยมีหลักการสำคัญสำหรับแนวทางการแปลงแผนดังนี้

  • ทุกภาคส่วนต้องมีความเข้าใจในแผนแม่บทฯ ของประเทศ มีส่วนร่วมในกระบวนการแปลงแผนทุกขั้นตอน และคอยติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในทุกระดับ
  • มีกลไกและกระบวนการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการของหน่วยงานปฏิบัติในทุกระดับ ทั้งระดับกระทรวง ระดับพื้นที่ ระดับท้องถิ่น และระดับชุมชน
  • สร้างเครื่องชี้วัดผลสำเร็จการพัฒนาตามแผนได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่องเป็นระบบ
  • มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน เน้นการบูรณาการ มุ่งภารกิจร่วมกัน และระดมพลังร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน

และมีกระบวนการแปลงแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ ดังนี้

  1. หน่วยงานสร้างนิยาม เป้าหมายเชิงปฏิบัติการ งานที่ต้องทำ และรายละเอียดของงาน
  2. หน่วยงานกำหนดเจ้าภาพ เจ้าภาพร่วม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
  3. หน่วยงานทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วยเอกสารตามกรอบการทำงาน (Template) ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำหนด
  4. หน่วยงานมีการสอบทานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแผนทุกไตรมาส
  5. ชมเชยและให้รางวัล เมื่อประสบผลตามเป้าหมาย ภายใต้เวลาและงบประมาณที่กำหนด

สำหรับหน่วยงานซึ่งได้มีการจัดทำแผนแม่บทฯ และแผนปฏิบัติการของหน่วยงานเรียบร้อยแล้ว กระบวนการแปลงแผนแม่บทฯ ของหน่วยงาน ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนแม่บทฯ ของประเทศนั้น สามารถดำเนินการได้โดยเริ่มจาก

  • พิจารณาแผนแม่บทฯ ประเทศ ทั้งในส่วนของเงื่อนไขที่จำเป็น ( อันประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนากำลังคน ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT ยุทธศาสตร์ที่ 3 บริหารจัดการ ICT ของประเทศอย่างมีธรรมาภิบาล ยุทธศาสตร์ที่ 4 ใช้ ICT เพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารและการบริการของรัฐ ) และจุดมุ่งหมายหลัก ( อันประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรม ICT ยุทธศาสตร์ที่ 6 ใช้ ICT เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ) เพื่อให้เข้าใจและทราบถึงจุดมุ่งหมายในการดำเนินงาน
  • พิจารณาสถานภาพของปัจจัยที่มีส่วนในการดำเนินงาน อาทิ คน โครงข่ายสื่อสาร ระบบ เครื่องมือ วัฒนธรรมและลักษณะในการใช้งาน เป็นต้น เพื่อนำมาวิเคราะห์หากลยุทธ์ที่เหมาะสมในการดำเนินงาน รวมทั้งหาแนวทางหรือวิธีการในการดำเนินงาน อันจะนำมาซึ่งการได้มาของโครงการในการดำเนินงาน และแผนปฏิบัติการ
  • พิจารณาแผนปฏิบัติการ ว่า มีแผนงานหรือโครงการหรือกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละยุทธศาสตร์ ใครเป็นหน่วยงานหลักหรือเจ้าภาพ องค์ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารใดบ้างที่จำเป็น สิ่งอำนวยความสะดวกหรือเครื่องมือใดบ้างที่ต้องการ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานเท่าไหร่ หน่วยงานเราสามารถสนับสนุนในฐานะหน่วยงานหลักหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือหน่วยงานสนับสนุนได้หรือไม่
  • หากมีโครงการที่สอดคล้องกับโครงการที่หน่วยงานต้องการดำเนินงานอยู่แล้ว ให้พิจารณาว่าสามารถดำเนินการร่วมกันได้หรือไม่อย่างไร เพื่อกำหนดเป็นโครงการที่หน่วยงานมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้โครงการดังกล่าว ในฐานะหน่วยงานสนับสนุน
  • ในกรณีที่ยังไม่มีโครงการที่สอดคล้อง ให้ระบุโครงการไว้ในแผน โดยกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในการดำเนินงานของแต่ละโครงการ เพื่อใช้สำหรับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานภายหลัง

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ควรตระหนัก คือ เมื่อหน่วยงานได้นำเสนอโครงการในแผนแม่บทฯ ของหน่วยงาน โดยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันเป็นผลมาจากการแปลงแผนแม่บทฯ ประเทศไปสู่การปฏิบัติ ต่อ ครม. และ กทสช. แล้ว   โครงการดังกล่าวได้รับการพิจารณาว่ามีความสอดคล้อง และสำคัญต่อการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ ตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่กำหนด จนผ่านการอนุมัติของ ครม. ให้นำไปบรรจุไว้ในแผนของประเทศ  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าหน่วยงานจะได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินสนับสนุนทุกโครงการที่นำเสนอ  หน่วยงานยังคงต้องไปดำเนินการต่อเพื่อให้ได้งบประมาณมาสนับสนุนการดำเนินการตามโครงการที่ได้เสนอไว้

ที่มา : เอกสาร แนวทางการแปลงแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 ไปสู่การปฏิบัติ โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา : กรกช มีชำนาญ, สำนักรับรองระบบคุณภาพ, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อน และสาเหตุที่สำคัญอันดับหนึ่งก็คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ฯลฯ ซึ่งก๊าซมลพิษเหล่านี้จะถูกแปลง (Transfer) ให้อยู่บนพื้นฐานของคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ จึงได้ประชุมและตกลงร่วมกันใน พิธีสารเกียวโต ในการที่ประเทศพัฒนาแล้ว (Annex 1) เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น เป็นต้น จะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ให้ต่ำกว่าระดับก๊าซที่เป็นมลพิษในปี 2533 โดยเฉลี่ย 5.2% ระหว่างปี 2551-2555 เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วจะประสบปัญหาในการลดปริมาณก๊าซดังกล่าว พิธีสารจึงกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดแก่ประเทศกำลังพัฒนา (Non-Annex 1) ได้ด้วยการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศเหล่านั้น หรืออีกทางหนึ่ง ประเทศพัฒนาแล้ว อาจซื้อโควต้าคาร์บอนจากผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนาโดยตรง เพื่อนำปริมาณคาร์บอนที่ยังไม่ได้ใช้ไปหักลบกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนเอง จึงมีการดำเนินการในเรื่องของการซื้อขายมลพิษ หรือ คาร์บอนเครดิต เกิดขึ้น

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับคำว่า “คาร์บอนเครดิต” ก็คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ ที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า CDM (Clean Development Mechanism) โครงการพัฒนาที่สะอาดตามพิธีสารเกียวโต ซึ่งมีสิทธิ์ขายคาร์บอนเครดิต ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน การผลิตพลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนเชื้อเพลิง การกักเก็บและการเผาทำลายก๊าซมีเทน การปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ การจัดการน้ำเสียและขยะ และการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม เป็นต้น ผู้ดำเนินโครงการ จะต้องนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นและลดลงในทุกกิจกรรมมาคำนวณคาร์บอนเครดิต ผู้ที่ต้องการค้าคาร์บอนเครดิต ต้องดำเนินการตาม 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. ผู้ดำเนินโครงการต้องออกแบบโครงการและจัดทำเอกสารประกอบโครงการ โดยต้องกำหนดขอบเขตของโครงการ วิธีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วิธีการติดตามผลการลดก๊าซ และการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  2. ตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการ โดยส่วนใหญ่ จะทำการจ้างหน่วยงานกลาง (Designated Operational Entity) ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการ แทนคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM Executive Board) ที่มีสำนักงานอยู่ที่กรุงบอนน์ ประเทศสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนี นอกจากนั้น ผู้ดำเนินโครงการต้องได้รับหนังสือเห็นชอบจากองค์กรระดับชาติ ซึ่งในประเทศไทย คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งแต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 จะพิจารณาและออกใบรับรองแก่โครงการ
  3. การขึ้นทะเบียนโครงการต่อคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด ซึ่งจะมี 4 ขั้นตอนย่อย ก่อนการออกใบรับรองสิทธิ์การค้าก๊าซเรือนกระจก คือ การติดตามการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การยืนยันการลดก๊าซ การรับรองการลดก๊าซ และการอนุมัติคาร์บอนเครดิต หรือการออกใบรับรองการลดก๊าซเรือนกระจก (Certified Emission Reductions ; CER)  โดยคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด

สำนักรับรองระบบคุณภาพ (สรร.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)  เป็นหน่วยรับรอง (Certification Body; CB) ให้บริการการตรวจประเมินและรับรองระบบบริหารจัดการตามมาตรฐานสากล เช่น ระบบบริหารจัดการคุณภาพ (ISO 9001), ระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001), ระบบบริหาร    จัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (มอก. 18001 หรือ OHSAS 18001), ระบบบริหารจัดการความปลอดภัยทางด้านอาหาร (ISO 22000) และระบบ GMP & HACCP  สรร. เห็นความสำคัญในการเป็นองค์กรที่สนับสนุนช่วยเหลือภาครัฐและเอกชน ในอนาคต สรร. อาจจะขยายขอบข่ายการให้บริการ หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลาง ในการพัฒนาโครงการให้กับภาคเอกชน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างหน่วยงานกลางที่ปัจจุบันเป็นบริษัทต่างชาติเกือบทั้งหมด  สรร. ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชน หันมาให้ความสนใจ ในการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด และพัฒนาไปสู่ผู้ผลิตคาร์บอนเครดิตในอนาคต อย่างน้อยมีการเพิ่มการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาเทคโนโลยีทีสะอาดเพิ่มขึ้น และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อย เท่านี้ก็เป็นการช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง :

  1. http://www.meawatch.org
  2. http:// www.tlcthai.com
  3. http:// www.oknation.net
  4. http:// www.tgo.or.th

เชิญเข้าร่วมการสัมมนาเพื่อพัฒนาวิชาชีพด้านทรัพย์สินทางปัญญา ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ

  • หัวข้อ เทคนิคการร่างสิทธิบัตร: สาขาเคมี ยา และเทคโนโลยีชีวภาพ วันที่ 23 เม.ย. 53
  • หัวข้อ เทคนิคการร่างสิทธิบัตร: สาขาวิศวการ อิเล็กทรอนิคส์ และการออกแบบ วันที่ 11 พ.ค. 53

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียน online ได้ที่ www.nia.or.th หรือ โทร. 02-644-6000

ที่มา : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, http:www.nia.or.th

โครงการจับคู่ธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดงานอบรมหัวข้อ การเตรียมตัวเข้าสู่ตลาด Modern Trade & กลยุทธ์การทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ในวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2553 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้อง Board Room 4 โซน C ชั้น 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สนใจติดต่อสอบถาม / สำรองที่นั่งได้ที่

  • คุณวาสนา โทร. 02-345-1120 มือถือ 086-3291977 Email : wassanak@off.fti.or.th
  • คุณอธิษฐาน โทร. 02-345-1118 มือถือ 084-0281418 Email : atidthank@off.fti.or.th 

ที่มา: โครงการจับคู่ธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, http://www.fti.or.th, http://www.ftimatching.com

สำหรับหน่วยงานราชการ หน่วยงานกำกับของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ ที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการสนับสนุนให้การดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนงบประมาณประจำปี และจำเป็นต้องรับทราบถึงเกณฑ์ราคามาตรฐานครุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ มีกรอบในการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ อันนำมาซึ่งความคุ้มค่าในการลงทุน และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันทางราคา จึงมีการกำหนดเกณฑ์ราคามาตรฐานของครุภัณฑ์ขึ้น ซึ่งเกณฑ์ราคามาตรฐานล่าสุดต่าง ๆ มีดังนี้

ประกาศ กทช. ว่าด้วย มาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ จำนวน 3 เรื่อง  ดังนี้

1. ประกาศ กทช. ว่าด้วยมาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ เรื่อง เครื่องวิทยุคมนาคมในกิจการเคลื่อนที่ทางทะเล ย่านความถี่วิทยุ MF/HF

2. ประกาศ กทช. ว่าด้วยมาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ เรื่อง เครื่องวิทยุคมนาคมในกิจการเคลื่อนที่ทางบก ย่านความถี่ VHF/UHF สำหรับการสื่อสารประเภทเสียงพูด และ/หรือ ข้อมูล

3. ประกาศ กทช. ว่าด้วยมาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ เรื่อง เครื่องวิทยุคมนาคมในกิจการเคลื่อนที่ทางการบิน ย่านความถี่วิทยุ VHF สำหรับการสื่อสารข้อมูล ระบบ VHF Air-Ground Digital Link (VDL)

ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 183 ง ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2552

ที่มา :

  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (www.ntc.or.th)
  • ราชกิจจานุเบกษา  (www.ratchakitcha.soc.go.th)

เอกสารการแถลงข่าวเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2552 ทั้งปี 2552 และแนวโน้มปี 2553

1. Economic Outlook : ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2552 และแนวโน้มปี 2553 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

2. การประมวลผลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 4/2552 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เว็บไซต์ : www.nesdb.go.th

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553

เนื่องจากชีวิตประจำวันถ้าไม่ประชุม ไม่ขับรถเดินทาง ก็มักจะนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาช่องทางในการติดต่อสื่อสารที่สามารถติดต่อได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา และสามารถสื่อสารได้พร้อม ๆ กันหลายคน ก่อนหน้านี้นิยมใช้งานเอ็มเอสเอ็น (MSN Messenger) หรือ ไลฟ์แมสเซนเจอร์ (Windows Live Messenger) เป็นอันมาก จนกระทั่งช่วงปีที่แล้วประสบปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ทุกที่อันเป็นผลมาจากระบบเครือข่ายสื่อสาร (Network) ทำให้ต้องหาทางติดต่อสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายด้วยสื่ออื่น ๆ ครั้นจะไปใช้สไคพ์ (Skype) หรือไอซีคิว (ICQ) ก็ติดตรงที่เพื่อนฝูงไม่นิยมใช้ ประกอบกับกระแสของการใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) และเฟสบุค (Facebook) ที่มาแรง ทำให้ผู้เขียนเปลี่ยนวิธีการติดต่อสื่อสารหันไปใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) และเฟสบุค (Facebook) แทน

สำหรับ สไคฟ์ นั้นเป็น โปรแกรมที่มีลักษณะการใช้งานเหมือนเอ็มเอสเอ็น และเด่นในเรื่องการใช้เว็บคอนเฟอเรนซ์ (Web Conference) เนื่องจากกินทรัพยากรเครื่อง (resource) น้อย

ทวิตเตอร์  มีลักษณะการทำงานเหมือนการส่งเอสเอ็มเอส (SMS) ออนไลน์ เราสามารถพิมพ์ข้อความ แนบรูปภาพ หรือ แนบ URL ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้คนที่เราให้สิทธิในการเข้าถึงได้รับรู้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ร่วมกับเรา ซึ่งในแต่ละครั้งจะสามารถพิมพ์ข้อความได้ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร

ส่วน เฟสบุค นั้น จะมีลักษณะการทำงานเหมือนกับพวกไฮไฟว์ (Hi5) หรือ มายสเปซ (mySpace) เพียงแต่หน้าตาสะอาดสะอ้าน และเด่นในเรื่องของแอพพลิเคชั่นและเกมส์ออนไลน์ ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความเติบโตอย่างรวดเร็วของสังคมเครือข่ายเฟสบุค นั่นคือ ยิ่งเพื่อนมาก ก็ยิ่งทำให้ระดับในการเล่นเกมส์สูงขึ้น ได้เงินและสิ่งของที่ใช้ในเกมส์เพิ่มขึ้น

ซึ่งหลังจากลองเล่นได้สักพัก ก็ประสบปัญหาความไม่สะดวกในการใช้ทวิตเตอร์และเฟสบุคผ่านทางหน้าเว็บ ก็ได้คำแนะนำจากกูรูต่าง ๆ ผ่านทวิตเตอร์ ให้ลองใช้โปรแกรมหรือเครื่องมือช่วยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ซึ่งหลังจากการทดสอบการใช้งานสามารถสรุปจุดเด่นและจุดด้อยได้ดังนี้

เครื่องมือ

จุดเด่น

จุดด้อย

Tweetdeck

http://www.tweetdeck.com/

สะดวกในการใช้งานและเรียกดูข้อมูล เพราะแสดงผลในลักษณะของคอลัมน์ ทำให้สามารถเรียกดูและปรับปรุงข้อมูลจากทวิตเตอร์ เฟสบุค และมายสเปซ ได้ในเวลาเดียวกัน รองรับการ Retweet การปรับแต่งแก้ไขข้อมูลเวลา Retweet และการเรียกดู DM (Direct Message) และ List ของทวิตเตอร์ ใช้ทรัพยากรในการประมวลผลเยอะ เพราะต้องเปิดหน้าต่างเต็มหน้าจอ
Twhirl

http://www.twhirl.org/

สามารถเปิดใช้งานทวิตเตอร์ได้พร้อม ๆ กันหลายบัญชีรายชื่อ โดยแต่ละรายชื่อจะแสดงผลในลักษณะหน้าต่างเล็ก ๆ แยกจากกัน ไม่รองรับการเรียกดู  List ของทวิตเตอร์
Echofon

http://echofon.com/(ทำงานบนเว็บเบราว์เซอร์ไฟร์ฟอกซ์ (Firefox))

สามารถเรียกดูและปรับปรุงข้อมูลจากทวิตเตอร์ ได้หลายบัญชีรายชื่อ แต่ทำงานในลักษณะสลับไปมา ไม่รองรับการ Retweet และการเรียกดู DM (Direct Message) และ List ของทวิตเตอร์
Yoono

http://yoono.com/(ทำงานบนเว็บเบราว์เซอร์ไฟร์ฟอกซ์ (Firefox))

สามารถเรียกดูและปรับปรุงข้อมูลจากทวิตเตอร์ เฟสบุค มายสเปซ เอ็มเอสเอ็น และอื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน รองรับการ Retweet และการเรียกดู DM (Direct Message) และ List ของทวิตเตอร์ การทำงานจะช้ากว่าการทำงานโดยใช้โปรแกรม Echofon ไม่รองรับการใช้งานหลายบัญชีรายชื่อ และไม่รองรับการปรับแต่งแก้ไขข้อมูลเวลา Retweet

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ใช้ต้องตระหนักถึงในการใช้พวกเครือข่ายสังคม (Social Network) ก็คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลนั้น หากเราไม่กำหนดให้เป็นส่วนตัว หรือ private แล้ว ทุกคนจากทุกมุมโลกที่เข้าใจภาษาที่เราพิมพ์จะสามารถเห็น รับทราบ และนำข้อมูลของเราที่ได้เผยแพร่ออกไปนั้น ไปใช้หรืออ้างอิงได้ตามความต้องการของเขาได้โดยที่เราไม่รู้ตัว