ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata Wall. ex Nees
วงศ์ : Acanthaceae
ชื่ออังกฤษ :
ชื่อท้องถิ่น : ฟ้าทะลาย น้ำลายพังพอน (กรุงเทพ ฯ) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) หญ้ากันงู (สงขลา) สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง) เขยตายยายคลุม (โพธาราม) เมฆทะลาย (ยะลา)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

เป็นพืชล้มลุก ปลายกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว โคนใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อบริเวณง่ามใบและส่วนยอดของต้น มีห้ากลีบสีขาว ผล เหมือนต้อยติ่ง แต่เล็กกว่า ผลเมื่อแก่จะแตกสองซีกและดีดเหมือนต้อยติ่ง ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล การเก็บเป็นการค้า เก็บจากปลายยอดลงประมาณ 2 คืบก่อนเป็นผล ราคาจะดีกว่าใบแก่หรือมีผลแล้ว ขยายพันธุ์โดยหว่านเมล็ดในช่วงต้นฤดูฝน

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ใช้กิ่งและใบสด ล้างสะอาดสับเป็นท่อน ๆ สั้น ๆ 1 กำมือ ต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง แก้เจ็บคอ ท้องเสีย บิด แก้ไข้ ใช้ 2-3 กำมือ เนื่องจากมีรสขม มักรับประทานเป็นลูกกลอน ครั้งละ 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง หรือยาแคปซูล ใบ บดผสมน้ำมันพืชรักษาแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ หรือดองเหล้าโรง 7 วัน กินก่อนอาหาร ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ กระทรวงสาธารณสุข จัดฟ้าทะลายโจรอยู่ในกลุ่มสมุนไพรสาธารณสุขมูลฐานแก้โรคเจ็บคอ

สารสำคัญ :

 แอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) รับประทานครั้งละ 100-150 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง :

  1. ใบและลำต้นแห้งเก็บไม่เกิน 1 ปี เพราะจะเสื่อมฤทธิ์
  2. ถ้าเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนหัว ให้หยุดยา
  3. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันนาน เพราะเป็นยาเย็น ทำให้มือ เท้า อ่อนแรงได้
  4. ในรูปแบบยาเตรียม ไม่ควรเก็บนานเกิน 3 เดือน เพราะยาจะเสื่อมคุณภาพ

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cissus quadrangularis Linn. Vitis quadrangularis Wall.
วงศ์ : Vitaceae (Vitidaceae)
ชื่ออังกฤษ : Edible-stemmed vine
ชื่อท้องถิ่น : ขั่นข้อ (ราชบุรี) สันซะฆาต สันชะควด (กรุงเทพ ฯ) สามร้อยยอด (ประจวบคีรีขันธ์)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ไม้เลื้อย ลำต้น รูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ ผิวเรียบมีรอยคอดบริเวณข้อ ใบ เดี่ยวออกข้อละ 1 ใบ บริเวณปลายเถา ใบรูปสามเหลี่ยม หรือรูปไข่กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ขอบใบหยักมน เนื้อใบค่อนข้างหนา ตรงข้ามใบมีมือเกาะ ดอก เป็นดอกช่อออกตรงข้ามใบ ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกด้านนอกสีเขียวแกมเหลือง โคนกลีบมีแถบสีแดง กลีบด้านในสีขาวแกมเขียว

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ใบ ยอดอ่อน รักษาโรคลำไส้เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย มีรายงานจากอินเดียว่า ลำต้น ใช้เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้น กินแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการผิดปกติของระดู ใช้หยอดหูแก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดกำเดา

เถาสด แก้ริดสีดวงทวาร กินวันละ 1 ปล้องจนครบ 3 วัน โดยหั่นบาง ๆ ใช้เนื้อมะขามเปียกหรือเนื้อกล้วยสุกหุ้ม กลืนทั้งหมด เพราะเถาสดมีแคลเซียมออกซาเลต อาจทำให้คันคอ

สารสำคัญ :

ลำต้นมี แคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) คาโรทีน (carotene) วิตามินซี (ascorbic acid) ไตรเทอร์พีนส์ (triterpenes) และไฟโตสเตอรอล (phytosterol)

ข้อควรระวัง :

เนื่องจากมีแคลเซียมออกซาเลตสูง ถ้ากินทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในปากและลำคอ ถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดผื่นแดง

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia alata Linn.
วงศ์ : Caesalpiniaceae
ชื่ออังกฤษ : Candle bush, Ringworm bush, Acapulo, Ringworm senna
ชื่อท้องถิ่น : ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) หมากกะลิงเทศ (ภาคเหนือ) ส้มเห็ด (เชียงราย) จุมเห็ด (มหาสารคาม) ตะอีพอ (แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ไม้ทรงพุ่มสูงประมาณ 1-2 เมตร ใบ เป็นคู่ขนานกันใบยาว 30-60 ซม. มีประมาณ 8-20 คู่ ดอก เป็นช่อสีเหลืองอัดแน่น sepal สีเขียว กลีบดอกเหลือง ผล มีปีกเมล็ดใสสีดำ ขยายพันธุ์โดยเมล็ด

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

เหง้า แก้ท้องผูก กลากเกลื้อน สิว โรคผิวหนัง ปัสสาวะขัด ขับพยาธิ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ต้น แก้ท้องผูก โรคผิวหนัง ขับพยาธิ บำรุงหัวใจ ใบ โรคผิวหนัง ยาระบาย ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ บำรุงหัวใจ ดอก บำรุงผิวหนัง ยาระบาย ผัก ขับพยาธิ เมล็ด โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก ขับพยาธิ ทั้งต้น ขับพยาธิ แก้ไข้ โบราณใช้ทั้งต้น สับเป็นท่อน ตากแดด คั่วให้เกรียม ชงน้ำดื่มเป็นน้ำชา ใบสดตำละเอียดเติมน้ำเล็กน้อยแก้โรคกลาก หรือผสมกับหัวกระเทียมเท่ากัน ผสมปูนแดงทาก็ได้

แก้อาการท้องผูก

ใช้ดอกชุมเห็ดเทศสด 2-3 ช่อ ต้มรับประทานกับน้ำพริก หรือนำใบสด หั่น ตากแห้ง ใช้ต้มหรือชงน้ำดื่มครั้งละ 12 ใบ หรือใช้ใบแห้งบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 3 เม็ด ก่อนนอน หรือเมื่อมีอาการท้องผูก

รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน

ใบชุมเห็ดเทศสด ขยี้หรือตำในครกให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหัวกระเทียมปริมาณเท่า ๆ กันผสมปูนแดงที่กินกับหมากนิดหน่อย ตำผสมกัน ทาบริเวณที่เป็นกลาก โดยเอาไม้ไผ่ขูดผิวให้แดงก่อน ทาบ่อย ๆ จนหาย หายแล้วทาต่ออีก 7 วัน

รักษาฝีและแผลพุพอง

ใช้ใบชุมเห็ดเทศและก้านสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วมยา แล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 ชะล้างบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ถ้าเป็นมากให้ใช้ประมาณ 10 กำมือ ต้มอาบ

สารสำคัญ :
เมล็ด มี lectin
ใบ มี aloe-emodin, anthraquinones chrysophanol, deoxycoeluatin, emodin, rhein, kaempferol, sitosterol
ผล มี aloe-emodin, emodin, rhein 

ข้อควรระวัง :

• การใช้ใบหรือดอกชุมเห็ดเทศเป็นยาระบาย ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7 วัน หรือใช้ประจำ ลำไส้ใหญ่จะเคยชินกับยาเมื่อไม่ใช้ก็จะไม่ถ่าย
• ไม่ควรใช้กับเด็กและผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร
• ไม่ควรใช้กับหญิงมีครรภ์ให้นมบุตร มีประจำเดือน
• ถ้าเกิดไซ้ท้อง ควรรับประทานพร้อมกับยาขับลม เช่น ขิง กระวาน กานพลู
• อย่ารับประทานขนาดสูงไป จะทำให้ไตอักเสบได้

กวาวเครือจัดเป็นพืชวงศ์ถั่วพบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณมีมากทาง ภาคเหนือ ที่พบในประเทศไทยมี 4 ชนิด คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือมอ และกวาวเครือดำ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะกวาวเครือขาวซึ่งเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่กล่าว ถึงกันอย่างแพร่หลายและมีงานวิจัยออกมามากมาย

กวาวเครือขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pueraria mirifica Airy Shaw and Suvathbandhu
วงศ์ : Leguminosae
ชื่ออังกฤษ : Kwao Khreu
ชื่อท้องถิ่น : กวาวเครือขาว (ภาคเหนือ) ตามจองหอง (ชุมพร) กวาวหัว ทองกวาว กวาวเครือ ตานเครือ โมะตะถู (กระเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ทองเครือ กว๋าวเครือ จานเครือ (อีสาน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ไม้เถาเนื้อแข็ง ลักษณะ ต้น เป็นเครืออาศัยพันต้นไม้อื่น หรือ เลื้อยไปตามพื้นดิน ก้านหนึ่งมี ใบ ย่อย 3 ใบออกดอกเป็นช่อโปร่ง สีม่วง เป็นช่อยาวประมาณ 30 ซม. มี หัว ที่บริเวณราก หัวค่อนข้างกลมขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นกับสภาพดิน ดอก จะแปรเปลี่ยนเป็นฝักคล้ายฝักถั่วแบบ มีขนสั้นๆ มีเมล็ด 3-7 เมล็ดต่อฝัก เมื่อ ฝัก แก่เมล็ดภายในจะมีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว มีสีน้ำตาลลายจุด ความยาวประมาณ 3-4 มม. สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการทอดเครือส่วนที่ใช้และสรรพคุณ : ส่วนหัว จากการทดลองในคน อาสาสมัครกินได้นอนหลับ ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น เต่งตึง มีน้ำมีนวล รอยตีนกาหายไป ทรวงอกเต่งตึง สายตาและความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลีย มีกำลังดี ลดกำหนัดได้ ช่องคลอดไม่แห้ง มีประจำเดือนกลับมาอีก เส้นผมหงอกกลับดำ ผมดกขึ้น แก้ปวดเมื่อยตามตัว สำหรับผู้ชาย ถ้าเด็กหนุ่มกิน นมจะแตกพาน ตั้งเต้า ลดกำหนัด ใช้เป็นอาหาร

หัวกวาวเครืออ่อน อายุไม่เกิน 1 ปี ขนาดครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัม นำมาบริโภคได้เหมือนไม้หัวชนิดอื่น เช่น มันต่างๆ กลอย หรือ หัวบุก สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ เช่น แกงบวดกวาว กวาวแช่อิ่ม กวาวเชื่อม กวาวอบคลุกน้ำตาล ข้าวเกรียบกวาว กวาวทอด ทับทิมกรอบกวาว กวาวลอยแก้ว กวาวผัดกุ้งสด เปลือกและเถา แก้พิษงู

ตามตำราไทย ใช้หัวกวาวเครือขาวที่บดเป็นผงปั้นผสมน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 1 เม็ด เท่าเม็ดพริกไทย

สารสำคัญ :

  • สารกลุ่มโครมีน (chromene) ได้แก่ ไมโรเอสตรอล (miroestrol) เป็นสารมีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน
  • สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ตัวที่พบมาก คือ กวาคูริน (kwakhurin) และกวาคูรินไฮเดรต (kwakurin hydrate) นอกจากนี้ยังพบสารฟลาโวนอยด์ตัวอื่น เช่น ดาอิดเซอิน (daidzeine) มิริฟิซิน (mirificin) เจนิสเตอิน (genisteine) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะพบมากในถั่วเหลืองมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง และพบว่ามีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนที่น้อยมากจนถือว่าไม่มีฤทธิ์ จึงสามารถใช้เป็นอาหารได้
  • สารกลุ่มคูมารินส์ (coumarins) ได้แก่ คูเมสตรอล (coumestrol) มิริฟิคูเมสแทน (mirificoumestan) มิริฟิคูเมสแทนไกลคอล (mirificoumestan glycol) และ มิริฟิคูเมสแทนไฮเดรต (mirificoumestan hydrate)
  • สารกลุ่มสเตอรอยด์ (steroids) ที่พบ ได้แก่ บีตาซิโตสเตอรอล (b-sitosterol) สติกมาสเตอรอล (stigmasterol) และ พูราเรียมิริฟิกาสเตอรอล (pueraria mirifica sterol)
  • สารประกอบอื่นๆ เช่น ซูโครส แคลเซียมออกซาเลต ลิเทียม โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ใยอาหาร
  • สารพิษได้แก่ butanin

ข้อควรระวัง :

  1. ห้ามคนหนุ่มสาวรับประทาน
  2. ผู้ได้รับยาส่วนใหญ่มีอาการข้างเคียง ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เต้านมขยายขนาด
  3. การใช้พบว่ายังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการรับยาเกินขนาดและยังขาดข้อมูลด้านความเป็นพิษ และการศึกษาขั้นคลินิกเพื่อศึกษาผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว
  4. แพทย์พื้นบ้านแนะนำไม่ควรรับประทานมากหรือต่อเนื่องนานเกินไป จะทำให้มีอาการเต้านมโตเกินไป เต้านมดานแข็งเป็นก้อน และอาจทำให้เกิดเป็นลมสาน (เนื้องอกหรืออาจเป็นมะเร็ง) ที่เต้านมได้
  5. สำหรับผู้ชายหากรับประทานมาก จะมีเยื่อหุ้มที่อัณฑะหนาตัวขึ้นและอาจนำไปสู่การเป็นลมสาน (มะเร็ง) ที่อัณฑะได้
  6. ถ้ารับประทานมากจะทำให้เกิดอาการท้องอืดอย่างชัดเจน หมอพื้นบ้านจึงต้องให้รับประทานสมุนไพรที่มีส่วนรักษาท้องอืดร่วมด้วย เช่น ตรีกฏุก พริกไทย

7.1 หลักการทั่วไป

7.1.1 การกำหนดหลักเกณฑ์ ฯ อาศัยแนวทางจากระเบียบหลักเกณฑ์ข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียนตำรับยาจำพวก herbal medicines ของประเทศสวีเดน อังกฤษ ฝรั่งเศส และแนวทางที่องค์การอนามัยโลกจัดทำขึ้น

7.1.2 ผลจากการศึกษาระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อกำหนดที่ใช้เป็นแนวทางดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ ดังนี้

(1) ในการประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของยาจำพวก herbal medicines จะต้องให้ความสำคัญต่อประสบการณ์การใช้ที่มีมาเป็นเวลานาน และนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาด้วย โดยที่ข้อมูลดังกล่าวต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (well – document) ระบุถึงระยะเวลาที่ใช้ยา ข้อบ่งใช้ และประเทศที่มีการนำยานั้นไปใช้

(2) ถึงแม้จะมีประสบการณ์การใช้ยามายาวนาน และไม่มีข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าจะทำให้เกิดอันตราย ก็ไม่สามารถจะสรุปได้ว่ายานั้นจะมีความปลอดภัยเสมอไป เนื่องจากอันตราย หรือความเป็นพิษอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดทราบ หรือไม่มีการรายงานไว้

(3) ยาที่จะประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากข้อมูลประสบการณ์การใช้ยาจะต้องมีสูตรตำรับ (products formulation) วิธีใช้ (mode of administration) สรรพคุณ ขนาดยา และระยะเวลาการใช้ยา (short or long term) ฯลฯ ที่ไม่แตกต่างจากตำรับยาที่เคยใช้กันมาในอดีต หากยาที่ขอขึ้นทะเบียนตำรับยามีความแตกต่างในประเด็นเหล่านี้ ก็จะต้องมีข้อพิสูจน์ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยด้วยการศึกษาทางเภสัชวิทยา/พิษวิทยา และการศึกษาทางคลินิก

7.2 คำจำกัดความ

7.2.1 ยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบัน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ยาสำเร็จรูปที่ประกอบด้วยตัวยาสำคัญที่ได้จากพืช (active plant materials) ซึ่งอาจมี หรือ ไม่มีตัวยาช่วย (pharmaceutical necessities) อยู่ในสูตรตำรับ

ทั้งนี้ไม่รวมถึง

(1) ผลิตภัณฑ์ยาที่มีข้อบ่งใช้/สรรพคุณ ขนาด และวิธีใช้ตามความรู้ ความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งมีเอกสารอ้างอิงตามที่กำหนดไว้ ในหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ

(2) ผลิตภัณฑ์ยาที่ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ซึ่งอยู่ในรูปสารบริสุทธิ์ (purified substance)

7.2.2 ตัวยาสำคัญที่ได้จากพืช (active plant materials) หมายถึง ส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติของพืช หรือสารสกัดจากพืช ได้แก่

(1) ส่วนของพืช เช่นราก เปลือก ดอก ใบ ผล เมล็ด เป็นต้น หรือ

(2) exudates ตามธรรมชาติจากพืช เช่น oleoresins, gums, latex เป็นต้น หรือ

(3) สิ่งที่เตรียมได้จาก (1) หรือ (2) ด้วยกรรมวิธี การบด การคั้น การสกัด ฯลฯ เช่น extracts, fatty oils, pressed juice เป็นต้น

สารออกฤทธิ์ที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology) ไม่ถือว่าเป็นตัวยาสำคัญ ตามคำจำกัดความนี้

7.2.3 สารเทียบ (markers) หมายถึง สารที่เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติอยู่ในตัวยาสำคัญ และทราบโครงสร้างทางเคมี หรือ chromatographic pattern ซึ่งสามารถนำมาตรวจเอกลักษณ์ และคำนวณหาปริมาณ เพื่อช่วยในการควบคุมคุณภาพของตัวยาสำคัญ และผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบันที่ผลิตจากตัวยาสำคัญนั้น

7.3 การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน

7.3.1 การแสดงสูตรตำรับยา

(1) แสดงชื่อและปริมาณของตัวยาสำคัญ และตัวยาช่วยทั้งหมดที่อยู่ในสูตรตำรับ

(2) การแสดงชื่อตัวยาสำคัญ

  • ให้ระบุชื่อวิทยาศาตร์ (scientific name) ของพืชพร้อมทั้ง family
  • ให้แสดงลักษณะส่วนของพืช รูปแบบของวัตถุดิบ
  • ในกรณีที่ใช้ตัวทำละลายในการเตรียมตัวยาสำคัญจากพืชแห้ง ให้แสดงชื่อตัวทำละลาย และอัตราส่วนระหว่างส่วนของพืชกับตัวยาสำคัญที่ใช้เป็นวัตถุดิบในตำรับ เช่น Sennae folium dry: 60% ethanolic extract (8:1) เป็นต้น

(หมายเหตุ: การแสดงสูตรในฉลากไม่จำเป็นต้องระบุตัวทำละลายที่ใช้ในการสกัดไว้)

(3) การแจ้งปริมาณตัวยาสำคัญ ให้แจ้งเป็นปริมาณต่อหน่วย (unit dose) ของผลิตภัณฑ์ตามความเหมาะสม โดยใช้มาตราเมตริกแสดงน้ำหนักหรือปริมาตร หรือแจ้งเป็นร้อยละในผลิตภัณฑ์ หรือแจ้งเป็นช่วง (range) เทียบเท่ากับปริมาณสารออกฤทธิ์ (constituent of known therapeutic activity) หรือ สารเทียบ (marker) เช่น Sennae folium dry 830 – 1,000 mg, corresponding to 25 mg of hydroxyanthracene glycosides, calculated as sennoside B. เป็นต้น

7.3.2 ข้อมูลเกี่ยวกับพืช และกระบวนการเตรียมตัวยาสำคัญ

ข้อมูลที่ต้องพิจารณามีดังนี้

(1) ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name)

(2) ชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย (ถ้ามี)

(3) ลักษณะและส่วนของพืชที่นำมาใช้

(4) สารที่เป็นองค์ประกอบหลัก (main constituents) หรือ สารที่มีลักษณะเฉพาะตัว (characterizing compounds) หรือสารที่มีฤทธิ์ทางชีววิทยา หรือออกฤทธิ์ในการรักษา (active constituents) ด้วย

(5) สภาพการเก็บรักษา และวิธีที่ใช้ป้องกันลดการปนเปื้อน หรือการถูกทำลายโดยจุลชีพ แมลง หรือศัตรูพืชอื่น ๆ

(6) รูปถ่าย หรือภาพวาดของพืชและส่วนของพืชที่นำมาใช้

(7) รายละเอียดวิธีการเตรียมตัวยาสำคัญจากพืช [กระบวนการเตรียมตัวยาสำคัญ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice – GMP)]

7.3.3 ข้อกำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบ (specification of raw materials)

(1) ต้องมีข้อกำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบทุกชนิดทั้งที่เป็นตัวยาสำคัญ และตัวยาช่วย ถ้าเป็นวัตถุดิบตาม monographs ของตำรายาที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศ หรือตำรายาอื่น ๆ ที่คณะอนุกรรมการเห็นชอบก็ให้อ้างอิง monographs นั้น

(2) ถ้าเป็นวัตถุดิบที่ไม่เป็นไปตาม monographs ของตำรายา ให้ใช้ข้อกำหนดมาตรฐานที่จัดทำโดยผู้ผลิต ข้อกำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบที่เป็นตัวยาสำคัญ ต้องประกอบด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ลักษณะ (description) : macroscopic, microscopic และ sensory characteristics (organoleptic)
  • วิธีตรวจเอกลักษณ์ (identity test) : เคมี กายภาพ โครมาโทกราฟี
  • วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (main constituents) สารออกฤทธิ์ (constituents of known therapeutic activity) หรือ สารเทียบ (markers) พร้อม limits
  • limits ของ ash values, moisture content, microbial contamination และ สารปนเปื้อนอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการยากำหนด

7.3.4 วิธีการผลิตยาสำเร็จรูปโดยละเอียด (detail manufacturing procedure)

กระบวนการผลิตยาสำเร็จรูปต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice – GMP) ตามที่คณะกรรมการยากำหนด

7.3.5 ข้อกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ยาสำเร็จรูป (specification of finished products)

(1) ลักษณะ (appearance) ของผลิตภัณฑ์ และ final product

(2) วิธีการตรวจเอกลักษณ์ (identity test) – ตัวยาสำคัญ, vehicle

(3) วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (main constituents) สารออกฤทธิ์ (constituents of known therapeutic activity) หรือ สารเทียบ (markers) พร้อม limits

(4) ข้อกำหนดมาตรฐานที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (dosage form) ของผลิตภัณฑ์ : ให้ใช้ข้อกำหนดมาตรฐานตามที่กำหนดในตำรายาที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศ หรือตามที่คณะกรรมการยาที่กำหนด โดยระบุวิธีทดสอบพร้อมทั้ง limits

เช่น ยาผง : – Fineness
    – Weight/unit
    – Weight variation
  ยาเม็ด, แคปซูล – Weight/unit
    – Weight variation
    – Disintegration
  ครีม, ขี้ผึ้ง – Physical homogeneity
    – pH
    – Minimum fill เป็นต้น

(5) limit ของ microbial contamination

(6) รายละเอียดวิธีการศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการอื่นตามที่คณะกรรมการยากำหนด และระบุวันหมดอายุของยาโดยผู้ผลิต

7.4 การประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย

7.4.1 ในกรณีของยาที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้จำหน่ายในประเทศไทยมาก่อน ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ยา จากสมุนไพรแผนปัจจุบันที่นำมาขอขึ้นทะเบียนตำรับยา จะประเมินจากผลการศึกษาด้านเภสัชวิทยา พิษวิทยา และการศึกษาทางคลินิก หรือ หลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่ามีการใช้ได้ผลทางคลินิกตามที่คณะกรรมการยาเห็นชอบ

7.4.2 ผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบันต่อไปนี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งข้อมูลการศึกษาด้านพิษวิทยา

(1) ยาที่ประกอบด้วยตัวยาสำคัญที่มีหลักฐานแสดงว่าผลิต หรือเตรียมขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ไม่แตกต่างจากกรรมวิธีที่เคยใช้กันมาแต่โบราณ

(2) ยาที่ประกอบด้วยตัวยาสำคัญที่มีหลักฐานแสดงว่ามีการนำมาใช้เป็นอาหาร และมีวิธีนำยาเข้าสู่ร่างกาย (mode of administration) โดยการรับประทาน

7.4.3 ในกรณีตำรับยาที่ใช้สารสกัดจากพืชชนิดเดียวกับ ตำรับยาต้นแบบที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว จะต้องมีหลักฐานแสดงว่าสารสกัดจากพืชนั้นมีคุณภาพมาตรฐานไม่ต่ำกว่ายาต้นแบบ

7.5 ข้อมูลอื่นๆ

เช่น

– ฉลาก/เอกสารกำกับยา
  – สถานะการขึ้นทะเบียนตำรับยาในประเทศอื่น- ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิบัตร

– ใบรับรอง (Certificate) ต่าง ๆ เช่น Certificate of GMP, Certificate of Pharmaceutical Product, Certificate of Free Sale ฯลฯ

7.6 ขอบเขตของการนำหลักเกณฑ์ไปปฏิบัติ

หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบันนี้ ใช้กับตำรับยาที่ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยา ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประกาศใช้หลักเกณฑ์ตำรับยาที่มีตัวยาสำคัญและปริมาณในสูตรตำรับ เช่นเดียวกับที่เคยรับขึ้นทะเบียนไว้ก่อนแล้ว หากมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ ขนาด และวิธีใช้ไม่แตกต่างไปจากเดิม ให้ใช้หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตำรับยาสามัญในการพิจารณา

หมายเหตุ ตำรับยาที่ประกอบตัวยาสำคัญที่ได้จากสัตว์ หรือแร่ธาตุให้ประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ที่กล่าวข้างต้นตามความเหมาะสม

สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐานประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุขมีประมาณ 60 ชนิด สมุนไพรที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้มี 20 ชนิด โดยคัดเลือกจากการที่ประชาชนนิยมใช้ มีศักยภาพในการผลิต มีสรรพคุณชัดเจน โดยนำเสนอชื่อที่ใช้เรียกขานกันในภาคต่างๆ ชื่ออังกฤษ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ สารสำคัญ และข้อควรระวังในการใช้พอสมควร เพราะยาจากสมุนไพรมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ เช่นกัน

โดยทั่วไปพืชสมุนไพรแต่ละชนิดสามารถรักษาโรคได้หลายโรค เพราะสมุนไพรแต่ละชนิดมีสารสำคัญหลายชนิด ดังนั้น การรู้จักใช้พืชสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างกว้างขวางย่อมเป็นสิ่งมีประโยชน์ นักวิจัยสมุนไพรอาศัยความรู้และประสบการณ์จากแพทย์แผนโบราณเป็นแนวทาง เพื่อนำไปทดลองให้มีมาตรฐานการใช้รักษาโรคได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนหลีกเลี่ยงและระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

การใช้สมุนไพรในงานสาธารณะสุขมูลฐาน เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้สมุนไพรเดี่ยวเพื่อรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วย หรืออาการเบื้องต้นที่พบบ่อย ๆ รวม 18 โรค ได้แก่ ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ท้องเสีย (แบบไม่รุนแรง) พยาธิลำไส้ บิด คลื่นไส้ อาเจียน (เหตุจากธาตุไม่ปกติ) ไอ ขับเสมหะ ไข้ ขัดเบา (ปัสสาวะไม่สะดวก กระปริบกระปรอยแต่ไม่มีอาการบวม) โรคกลาก โรคเกลื้อน อาการนอนไม่หลับ ฝีแผลพุพอง (ภายนอก) อาการเคล็ดขัดยอก (ภายนอก) อาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เหา และชันตุ

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรมีดังนี้

6.1 อาการที่ไม่ควรรักษาด้วยตนเองโดยการใช้สมุนไพร

การใช้สมุนไพรรักษากลุ่มโรค หรือกลุ่มอาการดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ให้หยุดใช้เมื่ออาการหายไป แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือ ถ้าผู้ป่วยที่มีอาการโรคดังกล่าวที่รุนแรงต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที ไม่ควรรักษาโรคด้วยตนเอง อาการที่กล่าวถึงได้แก่

  1. ไข้สูง (ตัวร้อนจัด) ตาแดง ปวดเมื่อยมาก ซึม และเพ้อ
  2. ไข้สูง ตัวเหลือง อ่อนเพลียมาก และอาเจียน
  3. ปวดท้องอย่างแรงบริเวณสะดือ หรือบริเวณท้องด้านขวาล่าง เวลาเอามือกดเจ็บปวดมากขึ้น หน้าท้องแข็ง อาจมีอาการท้องผูก และมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ
  4. ปวดท้องรุนแรงมากอาจมีอาการตัวร้อน และคลื่นไส้ อาเจียน อาจเป็นอาการของกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ทะลุ
  5. อาเจียน หรือไอเป็นเลือด อาจเป็นโรคร้ายแรงของกระเพาะอาหาร หรือปอด
  6. ท้องเดินอย่างแรงอุจจาระเป็นน้ำ และอาจมีลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว ถ่ายติดต่อกันอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลียมาก ตาลึก ผิวหนังแห้ง ซึ่งอาจเป็นอาการของอหิวาตกโรค
  7. ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด อุจจาระเป็นน้ำ ถ่ายบ่อยมาก อาจถ่ายถึง 10 ครั้งต่อชั่วโมง เพลียมาก อาจเป็นโรคบิดรุนแรง
  8. อาการของโรคคอตีบในเด็ก โดยเฉพาะอายุไม่เกิน 12 ปี มีไข้สูง ไอมาก หายใจมีเสียงผิดปกติคล้ายมีอะไรติดในลำคอ หรือมีอาการหน้าเขียวด้วย
  9. มีอาการตกเลือดเป็นเลือดสด ๆ จากทางใดก็ตามโดยเฉพาะทางช่องคลอด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

6.2 โรคร้ายแรง โรคเรื้อรังหรือโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่า สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้

ไม่ควรใช้สมุนไพรรักษาโรคด้วยตนเอง เช่น งูพิษกัด สุนัขบ้ากัด บาดทะยัก กระดูกหัก มะเร็ง วัณโรค กามโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเรื้อน ดีซ่าน หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม (ปอดอักเสบ) อาการบวม ไทฟอยด์ โรคตาทุกชนิด ควรไปพบแพทย์ และต้องมีการตรวจโดยใช้ห้องปฏิบัติการเพื่อประกอบการรักษา

6.3 ใช้สมุนไพรให้ถูกกับโรค

จะต้องใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางยาให้ถูกต้อง เช่น ท้องผูกต้องใช้ยาระบาย อาทิ ใช้ฝักมะขามแขก ถ้าใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน อาทิ ใบฝรั่งจะยิ่งทำให้ท้องผูกมากขึ้น

6.4 ใช้สมุนไพรให้ถูกชนิด

เมื่อจะใช้สมุนไพรชนิดใด ต้องแน่ใจว่านำต้นสมุนไพรที่ถูกต้องมาใช้ เนื่องจากสมุนไพรมีชื่อพ้อง หรือชื่อซ้ำกันมาก โดยเฉพาะ ชื่อที่เรียกกันในแต่ละท้องถิ่นอาจเรียกแตกต่างกัน ทำให้เกิดความสับสน และอาจนำสมุนไพรมาผิดต้นได้ง่าย นอกจากจะไม่สามารถรักษาโรคได้แล้ว ยังอาจทำให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย การใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ (scienctific name) ซึ่งประกอบด้วยชื่อสกุล (genus) และชื่อชนิด (species) เช่น ตะไคร้แกง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus Stapf. (Stapf เป็นชื่อผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืขชนิดนี้) จะช่วยลดการใช้สมุนไพรผิดต้นได้

6.5 ใชัสมุนไพรให้ถูกส่วน

พืชมีส่วนต่าง ๆ หลายส่วน เช่น ราก ต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด เป็นต้น เนื่องจากในแต่ละส่วนของพืชมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ทางยาต่างกัน จึงใช้รักษาโรคได้แตกต่างกัน เช่น ชุมเห็ดไทย (Cassia tora Linn.) ใบใช้เป็นยาระบาย ส่วนผลใช้แก้ฟกบวม นอกจากนั้น ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับลักษณะของส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น เหง้า ตา หัว และรู้จักศัพท์เทคนิคที่ใช้เรียกส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบเพสลาด ซึ่งหมายถึง ใบที่ไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป คำว่าทุกส่วน หรือทั้งห้า หรือทั้งต้น หมายถึง ต้น ราก ใบ ดอก และผล เป็นต้น

6.6 ใช้สมุนไพรที่เก็บถูกช่วงระยะเวลา

ส่วนของสมุนไพรในส่วนเดียวกัน ถ้าเก็บต่างระยะเวลากันจะให้ผลการรักษาต่างกัน เช่น ผลฝรั่งอ่อนมีแทนนินใช้แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน แต่ถ้าผลฝรั่งสุกจะมีเพ็กตินอยู่มาก ใช้รับประทานเป็นยาระบาย หรือผลกล้วยดิบใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แต่ผลกล้วยสุกกลับมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นต้น

6.7 ใช้สมุนไพรให้ถูกขนาดตามที่กำหนดไว้

ถ้าใช้ขนาดมากหรือน้อยเกินไป อาจไม่ให้ผลในการรักษา แต่ยังอาจทำให้เกิดโทษได้ เช่น พืชจำพวกดิจิทาริสซึ่งมีสารออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ถ้าใช้ในปริมาณน้อย ๆ จะมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ถ้าใช้มากจะทำให้เกิดอันตรายได้ ไม่ควรใช้ยาเข้มข้นจนเกินไป เช่น ยาที่กำหนดให้ต้มรับประทาน ไม่ควรนำไปเคี่ยวจนแห้ง เพราะจะทำให้ยาที่ได้เข้มข้นจนเกินไป อาจทำให้เกิดพิษได้ นอกจากนั้น ขนาดที่ระบุไว้ในตำรับมักเป็นขนาดของผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าใช้กับเด็กจึงควรลดขนาดตามส่วน

6.8 วิธีชั่ง ตวง วัด ของตำราแพทย์แผนโบราณ

วิธีชั่ง ตวง วัด ของตำราแพทย์แผนโบราณยังคงใช้ตามแบบดั้งเดิม ซึ่งมีผู้ไม่เข้าใจอีกมาก แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้ง่ายขึ้น โดยนำขนาดที่ระบุในตำราแพทย์แผนโบราณ มาชั่งและตวงวัดด้วยระบบเมตริกเป็นหน่วยของ กรัม มิลลิลิตร เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและตรงกัน เช่น ยาน้ำ อาทิ ยาต้ม ยาชง หรือขนาดของตัวทำละลาย มีขนาดดังนี้

1ช้อนกาแฟหรือข้อนชา มีปริมาตร 5 มิลลิลิตร
1 ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาว มีปริมาตร 15 มิลลิลิตร
1 ถ้วยชา มีปริมาตร 75 มิลลิลิตร
1 ถ้วยตะไล มีปริมาตร 25-30 มิลลิลิตร
1 ช้อนหวาน มีปริมาตร 8 มิลลิลิตร
2 ช้อนแกง มีปริมาตร 1 ช้อนโต๊ะ

ถ้าเป็นยาสมุนไพรแห้งหนัก 1 บาทจะหนักเท่ากับ 5 กรัม

  • 1 กอบมือ หมายถึงปริมาณสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือทั้งสองข้าง กอบเข้าหากัน ให้ปลายนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยแตะกัน
  • 1 กำมือ หมายถึง ปริมาณสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือข้างเดียว ทำให้ปลายนิ้วจรดอุ้งมือโหย่งๆ
  • 1 หยิบมือ มีปริมาณเท่ากับใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลางหยิบขึ้นมา
  • 1 ฝ่ามือ มีปริมาณเท่ากับกว้าง 3 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว
  • 1 องคุลี หมายถึง ความยาว 1 ข้อแรกของนิ้วกลาง

เป็นที่น่าสังเกตว่าวิธีตวงสมุนไพรแห้งเป็นกำมือ หรือกอบมือ ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นขนาดกำมือของผู้ป่วย นั่นคือ ผู้ป่วยเด็กที่มีกำมือเล็กจะมีขนาดรับประทานน้อยกว่าผู้ใหญ่

6.9 ใช้สมุนไพรให้ถูกวิธี

การใช้สมุนไพรแต่ละชนิดรักษาโรคนั้น มีวิธีใช้แตกต่างกันออกไป เช่น พืชบางชนิดต้องใช้สด บางชนิดใช้ดองกับเหล้า บางชนิดใช้ต้ม การใช้ผิดวิธี จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล แต่อาจมีผลข้างเคียงได้

  • ข้อควรรู้เกี่ยวกับการปรุงยาไทย
  • ถ้าไม่ได้บอกว่าใช้สดหรือแห้งให้ถือว่าใช้สด
  • เมื่อใช้ภายใน ถ้าไม่ระบุวิธีใช้ ให้เข้าใจว่าใช้โดยวิธีต้มดื่ม
  • เมื่อใช้ภายนอก ถ้าไม่ระบุวิธีใช้ ให้เข้าใจว่าใช้โดยวิธีตำพอก
  • ยารับประทาน ให้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
  • ยาต้มใช้ครั้งละ 1/2-1 แก้ว (250 มิลลิลิตร)
  • ยาดองยาคั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 1/2-1 ช้อนโต๊ะ
  • ยาปั้น ยาลูกกลอน รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร)
  • ยาชงรับประทานครั้งละ 1 แก้ว

6.10 วิธีปรุงยาไทย

1 ยาต้ม

การเตรียม ปริมาณที่ใช้โดยทั่วไปใช้ 1 กำมือ คือ เอาต้นสมุนไพรมาขดมัดรวบกันเป็นท่อนกลมยาวขนาด 1 ฝ่ามือ กว้างขนาดใช้มือกำได้โดยรอบพอดี ถ้าต้นสมุนไพรนั้นแข็งนำมาขดมัดไม่ได้ ให้หั่นเป็นท่อนยาวขนาด 5-6 นิ้ว กว้าง 1/2 นิ้ว แล้วเอามารวมกันให้ได้ขนาด 1 กำมือ

การต้ม เทน้ำลงไปให้ท่วมยาเล็กน้อย (ประมาณ 3-4 แก้ว) ถ้าปริมาณยาที่ระบุไว้น้อยมาก เช่น ใช้เพียง 1 หยิบมือ ให้เทน้ำลงไป 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) ต้มให้เดือดนาน 10-30 นาที แล้วแต่ว่าต้องการเข้มข้น หรือเจือจาง กินในขณะที่ยายังอุ่น ๆ

2 ยาชง

การเตรียม ปกติใช้ยาแห้งชง เตรียมโดยหั่นยาสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ ตากแดดให้แห้ง ถ้าต้องการไม่ให้มีกลิ่นเหม็นเขียวให้เอาไปคั่วเสียก่อน จะมีกลิ่นหอม

การชง ใช้สมุนไพร 1 ส่วน เติมน้ำเดือดลงไป 10 ส่วน ปิดฝาตั้งทิ้งไว้ 15-20 นาที

3 ยาดอง

การเตรียม ปกติใช้ยาแห้งดอง โดยบดต้นสมุนไพรให้แหลกพอหยาบ ๆ ห่อด้วยผ้าขาวบางหลวม ๆ เผื่อยาพองตัวเวลาอมน้ำ

การดอง เติมเหล้าให้ท่วมห่อผ้า ตั้งทิ้งไว้ 7 วัน

4 ยาปั้นลูกกลอน

การเตรียม หั่นต้นสมุนไพรให้เป็นแว่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงในขณะที่ยายังร้อนจากการตากแดด เพราะยาจะกรอบบดง่าย

การปั้นยา ใช้ผงยา 2 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม 1 ส่วน ตั้งทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ปั้นยาเป็นยาได้ง่ายไม่ติดมือ ปั้นเป็นรูปกลม ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ปั้นเสร็จแล้วผึ่งแดดจนแห้ง จากนั้นอีก 2 สัปดาห์ นำมาผึ่งแดดอีกครั้งเพื่อกันเชื้อราขึ้น

5 ตำคั้นเอาแต่น้ำ

นำต้นสมุนไพรสดมาตำให้ละเอียดจนเหลว ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไป คั้นเอาน้ำยาที่ได้ดื่ม ส่วนยาบางชนิดให้นำไปเผาให้สุกเสียก่อนแล้วจึงตำ เช่น กระทือ กระชาย

6 ยาพอก

การเตรียมยา ใช้ต้นสมุนไพรสดตำให้แหลกพอยาเปียก แต่ถ้ายาแห้งให้เติมน้ำหรือเหล้าลงไปพอยาเปียก

การพอก พอกแล้วต้องคอยหยอดน้ำอยู่เสมอ เปลี่ยนยาวันละ 3 ครั้ง

6.11 ใช้ยาตามที่แพทย์แผนโบราณกำหนด

การใช้ยาสมุนไพรไม่ควรดัดแปลงเพื่อความสะดวกของผู้ใช้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ ควรใช้ยาตามที่แพทย์แผนโบราณกำหนด

6.12 ควรหยุดใช้ยา หากพบอาการผิดปกติ

เมื่อเริ่มใช้ยาสมุนไพรควรสังเกตอาการ หากพบอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรหยุดใช้ยา และรีบพบแพทย์แผนปัจจุบัน

6.13 ความสะอาดของพืชสมุนไพร

ควรระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของสมุนไพร ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ เพราะถ้าไม่สะอาดจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ สมุนไพรที่เก็บไว้นาน ถ้ามีราขึ้นหรือมีแมลงไม่ควรนำมาใช้ เพราะสารสำคัญอาจเปลี่ยนแปลงไปทำให้ใช้ไม่ได้ผล และยังอาจได้รับพิษจากแมลงหรือเชื้อราได้อีกด้วย

6.14 ควรรู้ข้อห้ามใช้ยาสมุนไพร

ควรรู้พิษของยาก่อนใช้ รู้ข้อห้ามใช้ เพราะยาบางชนิดมีข้อห้ามใช้กับคนบางคน บางโรค เมื่อรู้สิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้การใช้ยาปลอดภัยมากขึ้น

6.15 ไม่ควรใช้ยาตัวเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน

ไม่ควรกินยาตัวเดียวทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่จำเป็น โดยทั่วไปไม่ควรกินยาอะไรติดต่อกันนาน 1 เดือน เพราะจะทำให้เกิดพิษสะสมได้

6.16 ห้ามใช้ยาในขนาดมากในบุคคลบางประเภท

คนที่อ่อนเพลียมาก เด็กอ่อน และคนชรา ห้ามใช้ยาในขนาดมาก เพราะคนเหล่านี้มีกำลังต้านทานน้อยจะทำให้ยาเกิดพิษได้ง่าย

ในกลุ่มสารสำคัญทางยาในพืชสมุนไพร บางชนิดอาจเป็นโทษหรือมีฤทธิ์ ทำให้ถึงตายได้ถ้าเราใช้ในปริมาณที่สูงเกินไปหรือใช้ผิดวิธี สารพิษที่อยู่ในพืชมักประกอบด้วยสารเหล่านี้

5.1 แอลคาลอยด์ (alkaloid)

แอลคาลอยด์บางชนิดไม่เป็นพิษ แต่บางชนิดก็เป็นพิษมาก พืชที่มีแอลคาลอยด์อยู่มีรสขม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์มากิน แอลคาลอยด์ที่เป็นพิษมาก ได้แก่ มอร์ฟีนจากยางของผลฝิ่น นิโคตินจากใบยาสูบ สารพวกโทรเปนแอลคาลอยด์ในต้นลำโพงมีฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการอ่อนเพลียตามด้วยการหลับประมาณ 5-8 ชม. ในขนาดที่สูงมากทำให้เกิดอาการเพ้อฝัน ตื่นเต้น สตริกนีนในเมล็ดแสลงใจมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทไขสันหลัง เกิดความรู้สึกไวกว่าปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้อแข็งไม่ยืดหยุ่น กล้ามเนื้อบิดตัวเกิดการชักกระตุกมาก ในยุโรปมีผู้นำเมล็ดแสลงใจไปใช้ในการเบื่อสุนัขและหนู

5.2 ไกลโคไซด์ (glycosides)

คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ในยี่โถ เมล็ดรำเพย เมล็ดตีนเป็ดน้ำ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเต้นอ่อน และเต้นไม่เป็นจังหวะ ม่านตาขยาย หมดสติ ไกลโคไซด์ในเมล็ดมาสตาร์ดดำ และมาสตาร์ดขาวทำให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนัง

5.3 ซาโปนิน (saponin)

ซาโปนินมีรสขม และกลิ่นฉุน ถ้าอยู่ในรูปผงแห้งจะทำความระคายเคืองแก่เยื่อบุจมูก นอกจากนี้ ซาโปนินยังเป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็น เช่น ปลา กบ แมลง สัตว์เลือดอุ่น ถ้ากินสารนี้จะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร อาเจียนและท้องร่วงได้ ถ้าสารนี้เข้าทางกระแสโลหิตทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ ตัวอย่างเช่น ซาโปนินในผลมะคำดีควาย ในผลมะระที่สุกเต็มที่

5.4 น้ำมันหอมระเหย (essential oil)

เป็นสารที่มีกลิ่น สารพวกนี้มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ไล่แมลง และฆ่าแมลง มีฤทธิ์ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเยื่อเมือก ถ้าขนาดมากทำให้เกิดความระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาเจียนและท้องร่วง ตัวอย่างเช่น น้ำมันหอมระเหยใน ผักชีฝรั่ง จันทน์เทศ พืชจำพวกโกฎจุฬาลำพา

5.5 กรดอินทรีย์ (organic acid)

กรดอินทรีย์ที่เป็นพิษ คือ กรดออกซาลิก (oxalic acid) พบในพืชหลายชนิด อยู่ในรูป แคลเซียมออกซาเลต โซเดียมออกซาเลต และโพแทสเซียมออกซาเลต ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุปากและลำคอ เช่น แคลเซียมออกซาเลตในใบบอน ว่านหมื่นปี และเพชรสังฆาต

การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้สามารถสกัด และแยกสารเคมีบริสุทธิ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยาในพืชสมุนไพร และได้สารสำคัญจำแนกได้ดังนี้

4.1 คาร์โบไฮเดรต (carbohydrates)

เป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถูกสร้างขึ้นจากการสังเคราะห์แสงของพืช คาร์โบไฮเดรตนอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนำมาใช้ประโยชน์ทางยา เช่น

4.1.1 แป้ง ใช้เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณ (diluent) ในการแตกตัวของเม็ดยา (disintegrating agent)

4.1.2 กัม (gum) เป็นสารที่ต้นไม้สร้างขึ้นเมื่อได้รับอันตราย หรือเป็นแผล ใช้ประโยชน์เป็นสารช่วยแขวนตะกอน (suspending agent) และสารช่วยยึดเกาะในยาเม็ด (binding agent) และสารที่ทำให้ชุ่มคอ (demulcent)

4.1.3 วุ้น (agar) เป็นสารที่สกัดได้จากสาหร่ายสีแดง วุ้นใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย เป็นสารช่วยเพิ่มความคงตัวของผลิตภัณฑ์ และสารช่วยในการเตรียมอีมัลชัน

4.1.4 น้ำตาลทราย (sucrose) พบมากในอ้อย และในปาล์มชนิดต่างๆ เข่น มะพร้าว ตาล น้ำตาลทราย ใช้เป็นสารแต่งรสหวาน (sweetening agent) และใช้เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณในยาอม

4.1.5 แมนนิทอล (mannitol) เป็นชูการ์แอลกอฮอล์ (sugar alcohol) ที่ได้จากสาหร่ายสีน้ำตาล ใช้ประโยชน์เป็นสารแต่งรสหวานในผลิตภัณฑ์ยา ใช้เป็นอาหารผู้ป่วยโรคเบาหวานและเป็นยาระบายสำหรับเด็ก

4.1.6 ซอร์บิทอล (sorbitol) เป็นชูการ์แอลกอฮอล์ ที่พบในผลไม้ทั่วไป ใช้ประโยชน์เป็นสารแต่งรสหวานในผลิตภัณฑ์ยาและเป็นอาหารผู้ป่วยโรคเบาหวาน

4.1.7 เซลลูโลส (cellulose) เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์พืช เซลลูโลสที่ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ได้แก่ สำลีที่ได้จากขนหุ้มเมล็ดฝ้าย อนุพันธ์ของเซลลูโลสที่ใช้ประโยชน์ในทางเภสัชกรรม ได้แก่ เมทิลเซลลูโลส (methyl cellulose) และคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (carboxymethyl cellulose) อนุพันธ์ทั้งสองชนิดนี้จะพองตัวเมื่อถูกน้ำ ใช้ประโยชน์เป็นยาระบายชนิดช่วยเพิ่มกาก (bulk laxative) และใช้เป็นสารช่วยแขวนตะกอน

4.1.8 วิตามินซี (ascorbic acide) เป็นชูการ์แอซิด (sugar acid) ใช้ประโยชน์ข่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

4.2 น้ำมันหอมระเหย (essential oil)

น้ำมันหอมระเหย เป็นสารประกอบที่สลับซับซ้อน และระเหยได้ในอุณหภูมิห้อง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า volatile oil พบได้ในส่วนต่างๆของพืช เช่น ดอก ใบ ผล กลีบเลี้ยง เปลือกไม้ ราก สามารถสกัดน้ำมันหอมระเหยออกจากส่วนต่างๆ ของพืชได้หลายวิธี เช่น การกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) การกลั่นด้วยการต้ม (water distillation) การกลั่นด้วยการใช้ตัวทำละลาย (solvent extraction) และการใช้ไขมันดูดกลิ่นหอมแล้วนำไปกลั่นด้วยตัวทำละลาย (enfleurage) น้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นรสเฉพาะตัว มีทั้งเบาและหนักกว่าน้ำ มักเป็นส่วนประกอบของพืชสมุนไพรที่เป็นเครื่องเทศ ในด้านคุณสมบัติทางด้านเภสัชวิทยา มักเป็นด้านขับลมและฆ่าเชื้อรา พบในพืชสมุนไพร เช่น กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด ไพล ขมิ้น เป็นต้น

4.3 แอลคาลอยด์ (alkaloid)

เป็นกลุ่มสารที่พบในพืชชั้นสูง พบบ้างในพืชชั้นต่ำ ในสัตว์และในจุลินทรีย์ แอลคาลอยด์เป็นสารอินทรีย์ที่มีรสขมไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ มักจะมีสมบัติทางเภสัชวิทยาที่เด่นชัด ตัวอย่าง เช่น สารควินิน (quinine) ในเปลือกต้นซิงโคนา (cinchona) มีสรรพคุณรักษาโรค มาลาเรีย เรเซอร์ปีน (reserpine) ในราก ระย่อม มีสรรพคุณลดความดันเลือด มอร์ฟีน (morphine) ในยางของผลฝิ่นมีสรรพคุณระงับอาการปวด เป็นต้น

4.4 ไกลโคไซด์ (glycoside)

เป็นสารประกอบที่พบมากในพืชสมุนไพร มีโครงสร้างแบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นน้ำตาลกับส่วนที่ไม่ได้เป็นน้ำตาลที่เรียกว่า อะไกลโคน (aglycone) หรือ เจนิน (genin) ส่วนที่ไม่ใช่น้ำตาลมีโครงสร้างแตกต่างกันไปหลายประเภท ดังนั้น ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารประกอบในกลุ่มนี้จึงมีได้กว้างขวางแตกต่างกันออกไป ส่วนที่เป็นน้ำตาลไม่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา แต่เป็นส่วนช่วยทำให้การละลายและการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายดีขึ้น อาจจำแนกไกลโคไซด์ตามสูตรโครงสร้างของอะไกลโคน (เนื่องจากเป็นส่วนที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา) ได้ดังนี้

4.4.1 คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (cardiac glycoside) มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อหัวใจ และระบบการไหลเวียนของโลหิต เช่น สารในยี่โถ

4.4.2 แอนทราควิโนนไกลโคไซด์ (anthraquinone glycoside) มีฤทธิ์เป็นยาระบาย สารนี้มีในชุมเห็ดเทศ ใบขี้เหล็ก ใบมะขามแขก เป็นต้น

4.4.3 ซาโปนินไกลโคไซด์ (saponin glycoside) เมื่อเขย่ากับน้ำจะได้ฟองคล้ายสบู่ มักใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาประเภทสเตอรอยด์ เช่น สารในลูกมะคำดีควาย

4.4.4 ฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ (flavonoid glycoside) เป็นสีที่พบในดอกและผลของพืช ทำเป็นสีย้อมหรือสีแต่งอาหาร เช่น สารสีในดอกอัญชัน

4.4.5 ไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (cyanogenic glycoside) เป็นไกลโคไซด์ เมื่อถูกไฮโดรไลส์ด้วยเอนไซม์ กรดหรือด่างจะให้ไฮโดรไซยานิกแอซิด (hydrocyanic acid) ซึ่งเป็นสารพิษต่อมนุษย์และสัตว์

4.4.6 แทนนิน (tannin) เป็นกลุ่มสารที่พบได้ทั่วไปในพืชเกือบทุกชนิด เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่ และโครงสร้างซับซ้อน มีรสฝาด มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน และสามารถตกตะกอนโปรตีนได้ มีฤทธิ์ฝาดสมานและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พบในใบฝรั่ง เนื้อของกล้วยน้ำว้าดิบ

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 11 ซม. ปากเรียวยาวและโค้งลง นกตัวผู้และนกตัวเมียมีสีต่างกัน นก ตัวผู้มีขนด้านบนลำตัวเป็นสีเขียวมะกอก คาง ใต้คอ และอกตอนบนสีดำเหลือบม่วง มีแถบสีน้ำเงินเหลือบเป็นขอบ อกตอนล่างและท้องสีเหลือง นกตัวเมียมีขนด้านล่างเป็นสีเหลืองโดยตลอด

เขตแพร่กระจาย :

พม่า ไทย อินโดจีน จีนตอนใต้ ไหหลำ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ อินโดนิเซีย นิวกินี ออสเตรเลีย

ที่อยู่อาศัย :

พบได้ทั่วไป บนต้นไม้ที่มีดอก

อุปนิสัย :

หากินอยู่บนต้นไม้ กินน้ำหวานดอกไม้ แมงมุม แมลงขนาดเล็ก ๆ ผสมพันธุ์เกือบตลอดทั้งปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กันยายน ช่วงที่ทำรังมากที่สุดอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ใช้เวลาในการฟักไข่นาน 14 วัน

สถานภาพ :

นกประจำถิ่น ที่พบบ่อย

Characteristics :

Size 11 cm. A small bird with a slender, decurved bill. Both sexes are different in plumage colour, A male has olive-green upperpart and yellow underpart; also possessing a purple-glossed black neck patch that extending down to its upper breast, sometimes bordered outwardly by a bluish band. A female has no such a black neck patch.

Distribution :

Myanmar, Thailand, Indo-China, southern China, Hainan, the Philippines, Malaysia, the Andamans, the Nicobars, Indonesia, New Guinea, and Australia

Habitat :

Ubiquitously found on most flowering plants.

Habit :

Hunting for small insects and spiders among the foliage, and sucking nectar from a wide array of flowering plants. Breeding almost all the year round, from November-September, with a peak between January- May. Two is a normal clutch, which will require an incubation period of about 14 days.

Status :

A quite common resident.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 21 ซม. นกตัวผู้มีหางคู่กลางยื่นยาวกว่าหางเส้นอื่นประมาณ 23 ซม. นกชนิดนี้มี 2 รูปแบบ แบบแรกเรียกว่านกแซวสวรรค์ขาว เป็นนกที่ขาวทั้งตัว ยกเว้นบริเวณหัวเป็นสีดำมัน แบบที่ 2 เรียกว่านกแซวสวรรค์แดง มีขนบริเวณหลัง ปีกและหางเป็นสีน้ำตาลแดง นกตัวเมียเหมือนนกแซวสวรรค์แดง แต่หางสั้น

เขตแพร่กระจาย :

เตอร์กีสถาน อาฟกานิสถาน แมนจูเรีย จีน หมู่เกาะซุนดา หมู่เกาะนิโคบาร์ หมู่เกาะอันดามัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่อาศัย : ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น

อุปนิสัย :

หากินตัวเดียวหรือเป็นคู่ ชอบเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ บินจับแมลงในอากาศ ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง

สถานภาพ :

มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ พบน้อย

Characteristics :

Size 21 cm. A male bird has a conspicuous middle tail feathers that extending about 23 cm. longer than other tail feathers. Two colour morphs are known: the pale or white morph is almost all white, except the shiny black hood; and the reddish-brown morph which is reddish brown throughout the upperpart of the body and tail. A female is similar to a male of reddish brown morph, but having a shorter tail.

Distribution :

Turkistan, Afghanistan, Manchuria, China, the Sundas, the Nicobars, the Andamans, and through SE Asia.

Habitat :

Dry evergreen forest, dipterocarp forest and secondary growth.

Habit :

Forages solitarily or in pairs. Preferring to perch motionless on a twig and sallying after a passing insect. Breeding time falls between March-June, when a female will deposit a clutch of 2-3 eggs.

Status :

Both an uncommon resident and migrant.