เรียบเรียงโดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา

พออายุแตะเลข 3 หลายคนอาจเริ่มสังเกตว่าผิวของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งความหมองคล้ำที่มาไว ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่แอบโผล่มา หรือความแห้งกร้านที่ทำให้แต่งหน้าไม่ติดเหมือนก่อน แต่หากเราดูแลถูกวิธี ผิวก็ยังสวยและดูอ่อนกว่าวัยได้แน่นอน ซึ่งเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและเลือกสิ่งที่ปลอดภัยกับผิวจริง ๆ  โดยสาวๆ ควรทำตามขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้

  1. ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน เลี่ยงโฟมหรือสบู่ที่ทำให้ผิวตึง
  2. บำรุงด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะวิตามินซีและสารสกัดธรรมชาติ ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ
  3. ทากันแดดทุกวัน ต่อให้ไม่ออกกลางแจ้ง รังสียูวีก็ทำร้ายผิวได้
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง
  5. ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเติมความชุ่มชื้นจากภายใน
  6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวเปล่งปลั่งและมีชีวิตชีวา

นอกจากทั้ง  6 กล่าวมานี้ การเลือกสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวก็จำเป็นเช่นกัน และในบรรดาสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิว “มะขามป้อม” ถือว่าเป็นดาวเด่นที่น่าสนใจ เพราะมีวิตามินซีสูงมากและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ผิวดูสม่ำเสมอ ที่สำคัญยังอ่อนโยนต่อผิว เหมาะกับการใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์สำหรับสาววัย 30+

และนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมสมุนไพร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ทำการวิจัยและพัฒนา ครีมบำรุงผิวจากสารสกัดมะขามป้อม จนได้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ “ทิสทร้า เอ็มบลิก้า เรเดียนท์ ครีม” (TISTR Emblica Radiant Cream)

ครีมตัวนี้มีเนื้อบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ อ่อนโยนต่อผิว และที่พิเศษคือใช้วัตถุดิบมะขามป้อมคุณภาพจากในประเทศ 100% ทำให้ช่วยลดต้นทุนและไม่ต้องพึ่งวัตถุดิบนำเข้า แถมยังผ่านการทดสอบความปลอดภัยและความคงตัวของคุณภาพอย่างครบถ้วน

จุดเด่นของทิสทร้า เอ็มบลิก้า เรเดียนท์ ครีม

  • สารสกัดมะขามป้อมช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ปลอดภัย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองในอาสาสมัคร
  • ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ลดต้นทุนและสนับสนุนเกษตรกรไทย
  • ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ

สำหรับสาววัย 30+ การใช้ครีมที่ผสานพลังธรรมชาติเข้ากับงานวิจัยวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้การดูแลผิวของคุณมั่นใจและเห็นผลยิ่งขึ้น และนี่คือเหตุผลที่มะขามป้อมไม่ใช่แค่สมุนไพรในครัว แต่เป็น “เพื่อนคู่ใจ” ของผิวสวยในทุกช่วงวัย

หากใครสนใจต่อยอดธุรกิจความงาม วว. ก็พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเชิงพาณิชย์และให้คำปรึกษา สนใจโทร. 0 2577 9000 หรือใช้บริการ “วว. JUMP” ได้เลย

สวยอย่างปลอดภัย สนับสนุนสมุนไพรไทย และมั่นใจได้ด้วยงานวิจัยจาก วว.

การทดสอบในสัตว์ทดลอง (in vivo) เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อ ประเมินความปลอดภัย (Safety) และประสิทธิภาพ (Efficacy) ของผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะนำไปใช้กับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการศึกษาพรีคลินิก (Preclinical studies) ซึ่งเป็นข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วโลก เช่น อย., FDA, EMA

กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่จำเป็นต้องทดสอบในสัตว์ทดลอง:

  • ยาและวัคซีน (Pharmaceuticals & Vaccines): กลุ่มที่จำเป็นที่สุด เพื่อทดสอบฤทธิ์การรักษาและประเมินความเป็นพิษในทุกมิติ ก่อนเข้าสู่การทดลองในมนุษย์
  • เครื่องมือแพทย์และวัสดุชีวภาพ (Medical Devices & Biomaterials): โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องฝังหรือสัมผัสร่างกายโดยตรง เช่น ข้อเข่าเทียม รากฟันเทียม เพื่อทดสอบความเข้ากันได้ทางชีวภาพและการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
  • ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและอาหารเสริมชนิดใหม่ (Herbal Products & Novel Foods): โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างสรรพคุณเชิงรักษา หรือใช้ส่วนประกอบใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ
  • สารเคมีในอุตสาหกรรมและการเกษตร (Chemicals & Industrial Substances): เพื่อประเมินความเป็นพิษต่อมนุษย์จากการสัมผัสและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • สารออกฤทธิ์ใหม่และนาโนเทคโนโลยี (New Active Ingredients & Nanotechnology): สารที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีข้อมูลความปลอดภัยครบถ้วน

ตัวอย่างการทดสอบที่ใช้สัตว์

  • การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute Toxicity Test): ประเมินผลกระทบจากการได้รับสารในปริมาณสูงเพียงครั้งเดียว
  • การทดสอบความเป็นพิษเรื้อรัง (Sub-chronic / Chronic Toxicity Test): ประเมินผลกระทบจากการได้รับสารซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน
    • กึ่งเรื้อรัง (Sub-chronic): โดยทั่วไป 28–90 วัน
    • เรื้อรัง (Chronic): มากกว่า 90 วัน
  • การทดสอบผลต่อระบบสืบพันธุ์และพัฒนาการของตัวอ่อน (Reproductive and Developmental Toxicity Test): ประเมินผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์ของพ่อแม่ และพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์
  • การทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological Activity Test): ประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น:
    • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory Test)
    • ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic Test)
    • ฤทธิ์ต้านมะเร็ง (Anticancer Test)
  • การทดสอบทางพิษวิทยาเฉพาะทาง (Specialized Toxicological Tests): ประเมินความปลอดภัยในมิติที่เฉพาะเจาะจง เช่น
    • การก่อภูมิแพ้ที่ผิวหนัง (Skin Sensitization Test)
    • การระคายเคืองต่อผิวหนังหรือดวงตา (Irritation Test)
    • ความเป็นพิษต่อระบบภูมิคุ้มกัน (Immunotoxicity Test)

หากคุณต้องการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้านเภสัชและพิษวิทยา (Pharmacology & Toxicology) ซึ่งมักจำเป็นต้องมีการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ โดยมีดำเนินการภายใต้แนวทางจริยธรรมที่เข้มงวด และเป็นไปตามหลักการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) หรือ Thailand institute of Scientific and Technological Research (TISTR) ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร (InnoHerb) ของ วว. ให้บริการและวิจัยทั้งในระดับเซลล์ในหลอดทดลอง (in vitro) และในสัตว์ (in vivo) ณ อาคารเภสัชวิทยาและพิษวิทยา ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดอยู่ภายใต้แนวทางด้านจริยธรรมและสวัสดิภาพสัตว์ทดลองอย่างเคร่งครัด พร้อมการรับรองมาตรฐานระดับสากล ได้แก่

  • AAALAC International: การรับรองระบบการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มั่นใจในกระบวนการที่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณการใช้สัตว์
  • OECD GLP: การรับรองหลักการปฏิบัติที่ดีในห้องปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และผลการทดสอบที่น่าเชื่อถือ

สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดร.ศรัญญา เหล่าวิทยางค์กูร โทร 0 2577 9012 หรือ E-mail : tox_service@tistr.or.th

หรืออ่านรายละเอียดการให้บริการเพิ่มเติมของ InnoHERB Testing ที่ https://www.tistr.or.th/Bio-Industries/rdb/herbalproducts/129/

กิจกรรมชี้แจง “การวิจัยในสัตว์และการขออนุญาตใช้สัตว์”
โดย ดร.กฤติยา ทิสยากร
คณะกรรมการกำกับดูแลการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (คกส.วว.)

8