เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล

เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายได้ผ่านการย่อยจนเป็น สารอาหารที่ร่างกายพร้อมจะนำไปใช้ สารอาหารต่างๆ ก็จะถูกลำเลียงไปใช้โดยผ่านกระบวนการดังนี้

1. กระบวนการดูดซึมสารอาหาร พบว่าสารอาหารชนิดต่างๆ ที่ได้จากกระบวนการย่อยจะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์บุผิวทางเดินอาหารในส่วนของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เข้าสู่กระแสเลือดทางหลอดเลือดดำ พอร์ทัล (portal vein) ผ่านตับและผ่านทางท่อน้ำเหลืองโดยตรง กระบวนการดูดซึมสารอาหารนี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

  • การดูดซึมแบบธรรมดา (passive transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังที่ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าการ เคลื่อนที่ของน้ำในกระบวนการออสโมซิส และการเคลื่อนที่ของสารชนิดหนึ่งแลกเปลี่ยนกับสารอีกชนิดหนึ่งโดยที่ไม่มีการใช้พลังงาน
  • การดูดซึมแบบใช้ตัวพา (facilitated transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าไปยังที่ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าโดยมีตัวพา (carrier) ในเยื่อหุ้มเซลล์ด้านหน้าเป็นตัวช่วยในการเคลื่อนที่ ทำให้การเคลื่อนที่แบบนี้เร็วกว่าแบบธรรมดาและไม่ต้องใช้พลังงานช่วยในการเคลื่อนที่
  • การดูดซึมแบบที่ต้องอาศัยพลังงาน (active transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นต่ำไปยังที่ที่มีความเข้มข้นสูงกว่า โดยมีทั้งตัวพาและพลังงานในรูปของ ATP (adenosine triphosphate) เป็นตัวช่วยในการเคลื่อนที่

2. การขนส่งสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อสารอาหารถูกดูดซึม ผ่านเข้าเซลล์ก็จะเข้าสู่กระแสเลือด สารอาหารส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลูโคส (glucose) กาแล็กโทส (galactose) และฟรักโทส (fructose) กรดอะมิโน (amino acid) วิตามินและเกลือแร่จะถูกลำเลียงไปทางหลอดเลือดฝอย หลอดเลือดดำเล็กและหลอดเลือดดำใหญ่พอร์ทัลเข้าสู่ตับ จากนั้นจึงเข้า สู่หัวใจและถูกลำเลียงไปยังอวัยวะต่างๆ โดยการไหลเวียนของเลือด

สำหรับอาหารพวกไขมัน และวิตามินที่ละลายในไขมันจะถูกส่งผ่านไปตามท่อน้ำเหลือง (thoracic duct) โดยไม่ผ่านตับและจะเข้าสู่กระแสเลือดที่หัวใจโดยตรง และถูกลำเลียงไปสู่อวัยวะต่างๆ จากกระบวนการดังกล่าวจึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ตามความต้องการ เพื่อการเจริญเติบโตของ ร่างกายต่อไป

เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล

การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ อาจเกิดได้ทุกตำแหน่งในทางเดินอาหารตั้งแต่ ต้นทางจนถึงปลายทาง สำหรับสาเหตุพยาธิสภาพ และกลไกของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป โดยมี ทั้งที่เกิดขึ้นเองภายในระบบทางเดินอาหารและสาเหตุที่เกี่ยวโยงจากความผิดปกติของ ส่วนอื่น เช่น อาการเมารถ (motion sickness) เป็นต้น ตัวอย่างของการผิดปกติที่พบได้บ่อยมีดังนี้ คือ

 

  1. อาการกลืนลำบาก (dysphagia) เป็นอาการที่กลืนอาหารและน้ำไม่ค่อยลง ทำให้เกิดอาการสำลัก สาเหตุอาจเนื่องจากกล้ามเนื้อหลอดอาหารไม่บีบตัว หรือหลอดอาหารอักเสบ
  2. อาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย (dyspepsis) มักจะพบร่วมกับโรคกระเพาะอาหารชนิด peptic ulcer
  3. กล้ามเนื้อที่ผนังกระเพาะอาหารทำงานน้อยกว่าปกต(gastroparesis) สาเหตุอาจเกิดภายหลังการผ่าตัดเส้นประสาท vagus ที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร
  4. Dumping syndrome เป็นกลุ่มอาการที่พบในผู้ป่วย ภายหลังทำการผ่าตัดเอาส่วนปลายกระเพาะอาหารออก ทำให้กระเพาะมีปริมาตรน้อย จึงส่งอาหารผ่านไปยังลำไส้เร็วเกินไป
  5. การอาเจียน (vomiting) เป็นอาการที่อาหารมีการเคลื่อนที่ย้อนทาง อาจจะมีสาเหตุจากความผิดปกติทางจิตใจ สมองหรือในทางเดินอาหาร
  6. ลำไส้อุดตัน (intestinal obstruction) เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุมากมายจากผนังลำไส้ โพรงลำไส้หรือถูกกดบีบจากภายนอก เกิดได้ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่
  7. ท้องเดิน (diarrhea) หมายถึงการมีอุจจาระเหลวมากและถ่ายบ่อย อาจจะพบร่วมกับอาการปวดท้อง อาเจียนหรือมีไข้ สาเหตุของการเกิดมีทั้งจากการติดเชื้อและจากสาเหตุอื่น เช่น ได้รับยาระบายมากเกินไป เป็นต้น
  8. ท้องผูก (constipation) หมายถึงอาการไม่ถ่ายอุจจาระติดต่อกัน 3–4 วัน สาเหตุมีมากมาย เช่น กลั้นอุจจาระบ่อย ลำไส้มีการอุดตัน สูญเสียความสามารถในการเบ่งถ่ายอุจจาระ เป็นต้น

ผลของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในทางเดินอาหาร อาจก่อให้เกิดความผิดปกติทางสรีรวิทยาได้ไม่มากก็น้อย ดังนี้

  1. การเสียน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็นของร่างกาย
  2. การเสียดุลกรด–ด่าง
  3. ได้รับอาหารและแคลอรีไม่เพียงพอ
  4. ทำให้กรดจากกระเพาะหรือน้ำดี และด่างมีการคั่งค้างหรืออยู่ผิดที่
  5. การอาเจียนที่รุนแรง อาจทำให้สำลักเข้าทางเดินหายใจได้

ดังนั้นหากท่านมีอาการดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม การแก้ไขก็จะต้องขึ้นกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดปกตินั้น ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อยควรปรึกษาเภสัชกร แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นก็ควรจะรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้หายก่อนที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรัง


นายฉาดเฉลียว บุนนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านดับเพลิงและผจญเพลิง ได้ให้ความรู้ว่า การเผายางรถยนต์ส่งผลกระทบในเรื่องสภาพอากาศอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเผาไหม้ของยางรถยนต์จะใช้เวลาในการเผานานกว่าเชื้อเพลิงอย่างอื่นหลายเท่า อีกทั้งเขม่าควันจากยางรถยนต์จะเห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มควันสีดำลอยไปตามอากาศ ซึ่งหากสูดดมเข้าไปย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากการเผา (Carbon monoxide : CO) เมื่อหายใจเอาก๊าซดังกล่าวเข้าไปแล้ว ก๊าซจะรวมตัวกับฮีโมโกลบิน (Haemoglobin) ในเม็ดเลือดแดงได้มากกว่าออกซิเจนถึง 200-250 เท่า เกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบิน (Carboxyhaemoglobin : CoHb) ซึ่งลดความสามารถของเลือดในการเป็นตัวนำออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย หรือทำให้ออกซิเจนในเลือดน้อยลง ส่งผลให้ผู้ที่หายใจเข้าไปมีอาการหายใจขัดและอึดอัดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ดังนั้น ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจึงควรหลีกเลี่ยงการสูดดมเขม่าควันดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ควรอยู่ใต้ลม

ทั้งนี้วิธีป้องกันของประชาชนคือ หากอยู่ในจุดที่ดับไฟจากการเผายางได้ แนะนำให้ใช้วิธีเขี่ยยางที่สุมกันอยู่หลายวงออกมาทีละเส้น ให้วางยางในลักษณะแนวราบ จากนั้นใช้น้ำดับโดยราดน้ำไปรอบๆ ยางเพียงไม่กี่ขันก็สามารถดับไฟได้ หรือใช้โฟมฉีดไปรอบๆ ยางรถยนต์ก็ดับไฟได้เช่นกัน

ด้าน รศ.ดร.ศิริรัตน์ จิตการค้า วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาให้ความรู้ถึงอันตรายจากการเผายางรถยนต์ว่า ยางรถยนต์ มีไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบประเภทเดียวกับสารประกอบในน้ำมันนั้น เป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 50-60% ซึ่งแฝงตัวอยู่ในรูปของยางที่เป็นวัตถุดิบ จึงถือเป็นแหล่งพลังงานแหล่งใหญ่เลยทีเดียว

“การเผายางรถยนต์ 1 เส้น จะให้ความร้อนออกมามากกว่าการเผาน้ำมันทั่วไปที่มีน้ำหนักเท่ากันถึง 1.25 เท่า พูดง่ายๆ คือ น้ำมันติดไฟง่ายกว่า แต่ปลดปล่อยความร้อนออกมาน้อยกว่า แต่น้ำมันลุกลามได้ไวกว่า เนื่องจากน้ำมันมีความหนาแน่นน้อยกว่า จึงไหม้อย่างรวดเร็วกว่าแต่ดับได้ง่ายกว่า ในขณะที่ยางรถยนต์ มีเนื้อยางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ติดไฟยากกว่า แต่เมื่อจุดติดแล้ว จะให้ความร้อนสูงมากกว่า และดับได้ยากกว่า มีอำนาจและเวลาในการทำลายล้างมากกว่า” รศ.ดร.ศิริรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ส่วนประกอบสำคัญหลักๆ ของยางรถยนต์ ไม่ได้มีแค่ยางสังเคราะห์ และ ยางธรรมชาติ แต่ยังมี ผงถ่านคาร์บอน(carbon black) น้ำมัน (Extender oil) ลวด และสารเคมี เช่น ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide: ZnO) และ ซัลเฟอร์ (Sulfur : S) เป็นองค์ประกอบ

ดังนั้น เมื่อยางรถยนต์เกิดการเผาไหม้จึงไม่ได้ปล่อยแค่เขม่าควัน ฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ แต่ยังปล่อยสารพิษอีกมากมาย เช่น ก๊าซที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง อีกทั้งก๊าซชนิดนี้ยังมีภาวะเป็นกรด เมื่อสูดหายใจเข้าร่างกายอาจก่อให้เกิดการกัดกร่อนเนื้อเยื่อที่บริเวณทางเดินหายใจได้

อีกทั้งยางสังเคราะห์ที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นยางชนิด สไตรีน-บิวทาไดอีน (Styrene-Butadiene Rubber : SBR) เมื่อเผาไหม้จะเกิดก๊าซพิษสไตรีนออกไซด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหารอีกด้วยจึงนับว่าเป็นอันตรายมาก

————————————-
ตัดตอน เรียบเรียงจาก:
ผู้เชี่ยวชาญชี้เผายางรถยนต์สร้างก๊าซพิษ-เลือดรับออกซิเจนน้อยลง
ข่าววิทยาศาสตร์ – โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2553 17:40 น.
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000068779

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 52 ผู้เขียนได้นำเสนอ วิธีการใช้หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น 2 ด้าน อย่างถูกต้อง เพื่อให้ปลอดภัยขึ้นจากการติดโรค แต่แล้วผู้เขียนก็ได้ประสบกับปัญหาโลกแตกเมื่อพบเพื่อนร่วมงานมีวิธีการใช้หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้นที่แตกต่างจากที่ผู้เขียนได้นำเสนออย่างสิ้นเชิง โดยผู้เขียนได้รับคำแนะนำให้เอาด้านสีขาวออก แต่เพื่อนได้รับคำแนะนำให้เอาด้านสีเขียวออก แต่ละคนก็มีแหล่งข้อมูล (แพทย์) ที่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น จึงเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกิดขึ้นว่าวิธีไหนที่ถูกต้อง สุดท้ายผู้เขียนนึกอะไรไม่ออกจึงได้ไปขอคำปรึกษาจากคุณอาซึ่งทำงานอยู่ที่สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ ท่านได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากดังนี้

วิธีใช้หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง

  • เนื่องจากปัจจุบัน แต่ละบริษัทต่างก็ผลิตออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรตัดการสังเกตุจากเรื่องสีของแต่ละด้าน แต่ให้ดูจากคำแนะนำในการใช้งานแทน
  • ในกรณีที่ไม่มีคำแนะนำให้สังเกตุจากการติดสายคล้องหูแทน  โดยดูว่าสายคล้องหูแปะอยู่ที่ด้านใด ให้เอาด้านนั้นสัมผัสกับใบหน้าของเรา นั่นก็คือ เมื่อเวลาสวมใส่ ผู้ที่พบเห็นเราจะเห็นหน้ากากอนามัยอยู่ข้างหน้าบังทับสายคล้องหู
  • ให้เอาด้านตามแนวขวางของหน้ากาก ที่มีลวดอยู่ข้างในขอบ ไว้ด้านบนเสมอ โดยจัดให้แนบตามรูปจมูกของผู้สวมใส่

ประเภทของหน้ากากอนามัย

  1. หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น สามารถกรองฝุ่น ป้องกันของเหลวซึมผ่าน ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากการไอหรือจาม ป้องกันผู้สวมใส่จากเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อรา สำหรับเชื้อไวรัสซึ่งมีอนุภาคเล็กมากในระดับไมครอน อาจไม่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ เมื่อใช้แล้วควรทิ้งเปลี่ยนใหม่
  2. หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากผ้าฝ้าย ป้องกันฝุ่นละออง และการกระจายของน้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอจาม ไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้ สามารถซักทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  3. หน้ากากอนามัยชนิด N95 สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีเพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน มีอายุการใช้งานนานประมาณ 3 สัปดาห์ แต่อาจรู้สึกอึดอัดเวลาสวมใส่ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการกรองอากาศมีความละเอียดมาก

อย่างไรก็ตามวิธีที่สามารถปลอดภัยจากการติดเชื้อไข้หวัดที่ดีคือ ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือเป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ที่มา:

Safety Health and Environment

อาหารที่ให้พลังงาน 1200 กิโลแคลอรี่/วัน ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต:โปรตีน:ไขมัน เท่ากับ 55:15:30

นั่นคือ

กลุ่มอาหาร

หน่วย

มื้อเช้า

มื้อกลางวัน

มื้อเย็น

กลุ่มข้าวแป้ง

ทัพพี

1.5

2

2

ผัก

ทัพพี

2

2

2

ผลไม้

ส่วน

1

1

1

เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน/หนัง

ช้อนโต๊ะ (ช้อนกินข้าว)

2

2

2

นมพร่องมันเนย

แก้ว (กล่องละ 250 ซีซี)

1

ไขมัน/น้ำมัน

ช้อนชา

1.5

2

2

โดย

  • กลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ 1 ทัพพี ให้พลังาน 80 กิโลแคลอรี่
  • เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน/หนัง 1 ส่วน = 2 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 55 กิโลแคลอรี่
  • ผลไม้ 1 ส่วน ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี่
  • นมพร่องมันเนย 1 ส่วน = 250 ซีซี ให้พลังงาน 125 กิโลแคลอรี่
  • ผักใบต่าง ๆ เป็นผักที่ไม่ให้พลังงาน
  • ผักอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากผักใบเป็นผักที่ให้พลังงาน 1 ทัพพี ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่
  • กลุ่มไขมัน/น้ำมัน 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี่

ตัวอย่างเมนูอาหาร 1200 กิโลแคลอรี่ ใน 1 วัน

  • มื้อเช้า ข้าวต้มข้าวกล้อง ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ส้ม 1 ผล ให้พลังงาน 450 กิโลแคลอรี่

โดยสามารถดัดแปลงปรับเปลี่ยนได้ดังตาราง

 

ประเภทอาหาร

ตามเมนู

ปรับเปลี่ยน/ทดแทน

ข้าวต้มข้าวกล้อง

3 ทัพพี

กลุ่มข้าวแป้ง 1.5 ทัพพี

ผัดผักบุ้งไฟแดง

 

 (67.5 กิโลแคลอรี่)

          ผักบุ้งจีน

1.5 ทัพพี

กลุ่มผัก 1.5 ทัพพี

          น้ำมันถั่วเหลือง

1.5 ช้อนชา

กลุ่มไขมัน 1.5 ช้อนชา

ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง

 

 (87.5 กิโลแคลอรี่)

          ไข่ไก่

1 ฟอง

กลุ่มเนื้อสัตว์ ไขมันปานกลาง 2 ช้อนกินข้าว = 75 กิโลแคลอรี่

          แครอท ฟักทอง ยอดตำลึง

0.5 ทัพพี

กลุ่มผัก 0.5 ทัพพี

นมถั่วเหลือง สูตรน้ำตาลต่ำ

1 แก้ว

กลุ่มนม 1 แก้ว

ส้มสายน้ำผึ้ง

1 ผล

กลุ่มผลไม้ 1 ส่วน

  • มื้อกลางวัน ข้าวคลุกกะปิ หมูทอด แกงจืดผักกาดขาว ลูกชิ้นปลา มะละกอสุก ให้พลังงาน 377.5 กิโลแคลอรี่

โดยสามารถดัดแปลงปรับเปลี่ยนได้ดังตาราง

ประเภทอาหาร

ตามเมนู

ปรับเปลี่ยน/ทดแทน

ข้าวกล้องสุก

2 ทัพพี

กลุ่มข้าวแป้ง 2 ทัพพี

หอมแดงซอย มะม่วงดิบ

0.5 ทัพพี

กลุ่มผัก 0.5 ทัพพี

เนื้อหมูไม่ติดมัน

1 ช้อนโต๊ะ

กลุ่มเนื้อสัตว์ 1 ช้อนโต๊ะ (ช้อนกินข้าว)

น้ำมันถั่วเหลือง

2 ช้อนชา

กลุ่มไขมัน 2 ช้อนชา

แกงจืดผักกาดขาว ลูกชิ้นปลา

 

(27.5 กิโลแคลอรี่)

          ผักกาดขาว

1 ทัพพี

กลุ่มผัก 1 ทัพพี

          แครอท เห็ดฟาง

0.5 ทัพพี

กลุ่มผัก 0.5 ทัพพี

          ลูกชิ้นปลา

1 ช้อนโต๊ะ

กลุ่มเนื้อสัตว์ 1 ช้อนกินข้าว

มะละกอสุก

6-8 ชิ้นพอคำ

กลุ่มผลไม้ 1 ส่วน

  • มื้อเย็น ข้าวกล้อง แกงส้มมะละกอกุ้ง ผัดผักรวมมิตร เงาะ 4 ผล ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี่

โดยสามารถดัดแปลงปรับเปลี่ยนได้ดังตาราง

 

ประเภทอาหาร

ตามเมนู

ปรับเปลี่ยน/ทดแทน

ข้าวกล้องสุก

2 ทัพพี

กลุ่มข้าวแป้ง 3.5 ทัพพี

แกงส้มมะละกอกุ้ง

 

(55.5 กิโลแคลอรี่)

          มะละกอดิบ

1 ทัพพี

กลุ่มผัก 1 ทัพพี

          กุ้ง

4 ตัว

กลุ่มเนื้อสัตว์ 1 ช้อนกินข้าว

ผัดผักรวมมิตร

 

(142.5 กิโลแคลอรี่)

          ผักตามฤดูกาล

1 ทัพพี

กลุ่มผัก 1 ทัพพี

          น้ำมันถั่วเหลือง

2 ช้อนชา

กลุ่มไขมัน 2 ช้อนชา

          เนื้อหมูไม่ติดมัน

1 ช้อนโต๊ะ

กลุ่มเนื้อสัตว์ 1 ช้อนกินข้าว

เงาะ

4 ผล

กลุ่มผลไม้ 1 ส่วน

ที่มา

เอกสารอาหารควบคุมน้ำหนัก พลังงาน 1200 กิโลแคลอรี่/วัน โดย คณะกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ กองอายุรกรรม ร่วมกับ ฝ่ายเกียกกาย (ฝ่ายโภชนาการ) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

คนที่เล่นคอมพิวเตอร์เป็นประจำมักจะเกิดโรค CTS หรือ โรค Carpal Tunnel Syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเกิดจากการที่เพิ่มหนาขึ้นของพังผืดบริเวณช่องเส้นเอ็นตรงข้อมือ (ปกติตรงข้อมือของคนเราจะมีเส้นเอ็นข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน) เนื่องจากการใช้เมาส์โดยใช้ข้อมือเป็นจุดหมุน  หรือการกดคีย์บอร์ด 

โรค CTS หรือ โรค Carpal Tunnel Syndrome

เกิดจากการที่เส้นประสาทที่วิ่งผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังข้อมือได้รับแรงกดซ้ำ ๆ หรือ เกิดจากการเพิ่มหนาขึ้นของพังผืดที่บริเวณอุโมงค์ข้อมือกดทับเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขนและมือ และเป็นเส้นประสาทที่รับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง  เส้นประสาทนี้จะเดินทางตั้งแต่บริเวณต้นคอจนถึงปลายนิ้วมือ

ลักษณะผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค

  1. ผู้ที่ใช้ข้อมือทำงานในท่าเดิมๆ 
  2. ผู้ที่ต้องใช้มือหรือข้อมือมากๆในชีวิตประจำวัน
  3. ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อปลายประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ
  4. หญิงตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอด
  5. ผู้ที่ใช้มือและข้อมือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แม้จะเป็นงานเบาๆ
  6. ผู้ที่ใช้ข้อมือกระดกขึ้นลงบ่อยๆ หรือทำงานที่มีการสั่นสะเทือนของมือและแขนอยู่เป็นเวลานาน 

อาการของโรค CTS

  • ชาหรือปวดบริเวณมือ ในบางรายอาจมีอาการได้ทั้งฝ่ามือ มักมีอาการชัดในมือข้างที่ถนัด บางรายอาจเป็นทั้ง 2 ข้าง ส่วนมากมักเป็นเวลากลางคืน หลังจากนอนหลับบางครั้งอาจตื่นขึ้นมาจากอาการปวด แต่เมื่อสะบัดมือแล้วอาการจะดีขึ้นชั่วคราว
  • ถ้าเส้นประสาทถูกกดทับมากขึ้น จะทำให้อาการอ่อนแรงของมือ หยิบจับของลำบาก หรือถือของหล่นบ่อยๆ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือลีบลง
  • จะพบได้บ่อยสำหรับเพศหญิง มากว่าเพศชาย
  • อายุที่พบบ่อย ประมาณ 35-40 ปี
  • มักพบในผู้ที่มีข้อมือค่อนข้างกลม

การรักษา

  1. หลีกเลี่ยงการกระดกข้อมือขึ้นลงในกิจวัตรประจำวัน โดยการเปลี่ยนมาใช้ข้อศอกหรือข้อไหล่ในการทำกิจกรรม เพื่อลดอาการอักเสบบริเวณข้อมือ
  2. การทำกายภาพบำบัด การบริหารมือ ซึ่งจะได้ผลดีในผู้ที่เริ่มต้นมีอาการไม่มาก
  3. การใส่เครื่องช่วยพยุงมือในเวลากลางคืน   จะช่วยจัดท่าของข้อมือให้อยู่ในท่าที่ดีที่สุดเวลานอน เพื่อช่วยลดอาการปวดและเป็นการเตือนผู้ป่วยไม่ให้กระดกข้อมือมากเกินไป
  4. แบบให้ยา ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นอาจจะกินยาแก้ปวดแล้วก็พักข้อมือหยุดการเคลื่อนไหวอาการก็อาจทุเลาและหายไปได้เองโดยตรง
  5. การผ่าตัด  พิจารณาในผู้ที่มีอาการค่อนข้างมากได้ผลดี  หลังผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลยและหลังจากที่แผลหายดีแล้ว    ควรจะมีการฝึกการบริหารมือและข้อมือ   เพื่อให้เส้นเอ็น     และเส้นประสาทของมือเคลื่อนไหวได้สะดวก   ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัด  ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการทำกายภาพบำบัด เช่น การนวดหรือลูบเบาๆ บริเวณแผล การใช้ความร้อน  ความเย็น

ที่มาข้อมูล

โรงพยาบาลลาดพร้าว แพทย์เฉพาะทางเวศศาสตร์ฟื้นฟู

จับฉ่ายดอทคอม

กระทรวงสาธารณสุขได้เตือนถึงปัญหาสุขภาพที่จะเกิดกับคนไทยที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ เนื่องจากปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น การที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์และทำงานที่นั่งอยู่กับที่เช่นนี้ ส่งผลให้คนไทยออกกำลังกายน้อยลง  จนเกิดปัญหาโรคอ้วน สำหรับในเด็กนั้น นอกจากขาดการออกกำลังกายจนเกิดปัญหาโรคอ้วนแล้ว การเล่นคอมพิวเตอร์นาน ๆ ยังส่งผลให้ขาดทักษะในการเข้าสังคมอีกด้วย
นอกจากนี้ปัญหาที่พบบ่อย ๆ เมื่อต้องนั่งปฏิบัติงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็คือ ปัญหาความล้าของสายตา ซึ่งเกิดจากการมองทั้งจอภาพ แป้นพิมพ์ และเอกสารสลับกันไปมา รวมทั้งระยะความห่างที่แตกต่างกันในการมองเห็น ทำให้สายตาต้องปรับโฟกัสตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดความล้าของสายตา นอกจากนี้การใช้สายตาเพ่งนาน ๆ ยังอาจทำให้ตาแห้งและเกิดระคายเคืองตาได้ อีกทั้งยังจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคต้อหิน
ปัจจุบันมีปัญหาทางสุขภาพใหม่ ๆ ที่สามารถเกิดกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ ได้อีก ดังนี้
  • อาการ Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) เป็นอาการสึกหรอสะสมของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ เส้นประสาทรับรู้ กระดูก และข้อต่อ อันเป็นผลที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บ ปวด เหน็บชา รู้สึกร้อนวูบวาบ เคลื่อนไหวได้จำกัด หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น
  • โรค Hurry Sickness (โรคทนรอไม่ได้)  มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต โดยจะมีอาการเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้
  • โรคภูมิแพ้ เกิดจากการแพ้สารที่ชื่อว่า Triphenyl  Phosphate ซึ่งมีการใช้สารนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวีดีโอ และจอคอมพิวเตอร์ โดยพบว่าเมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะเกิดการปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ นอกจากนี้หากสภาพภายในห้องทำงานมีเนื้อที่จำกัด อากาศไม่มีการไหลเวียนที่ดีเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

การป้องกัน

  • ติดแผ่นกรองแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ วิธีนี้สามารถลดระดับปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาจากจอภาพลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถลดลงได้ทั้งหมด วิธีนี้ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความสบายใจ คลายความกังวลลงได้บ้าง นอกจากนี้ยังช่วยลดแสงจ้า แสงสะท้อนเข้าสู่ตา และไฟฟ้าสถิตย์ได้ระดับหนึ่ง ทำให้ดวงตามีอาการล้าลดลง
  • ควรพักสายตาประมาณ 10 นาทีต่อชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาที ต่อ 2 ชั่วโมง เช่น หลับตา มองไปไกลๆ มองวิวธรรมชาติ พวกใบไม้ ดอกไม้ หรือเปลี่ยนอิริยาบทโดยการเดิน การแข่วงแขนไปมาประมาณ 5-10 นาที หรือดูสิ่งพิมพ์ตัวโตๆ โดยควรทำงานกับจอภาพไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง

ข้อมูลที่มา       

  • นิตยสาร Health Today
  • โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อำนวยการกองเวชศาสตร์ฟื้นฟู
  • การจัดการความรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์.
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

เวลาที่เราเห็นคนที่มีความพิการที่มือ เท้า ใบหน้า และใบหู เรามักจะสงสัยว่าเขาเป็นโรคอะไร โดยเฉพาะในสมัยโบราณมีผู้เชื่อว่าคนที่เป็นโรคติดต่อชนิดนี้เป็นผู้ที่ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ขัดต่อข้อห้ามทางศาสนาหรือประเพณีต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วถือว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับโรคนี้กันดีกว่า โรคนี้เรียกว่า โรคเรื้อน

โรคเรื้อน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ ไมโคแบคทีเรีย เลแปร (Mycobacterium lepreae) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับ วัณโรค แต่อาการจะไม่รุนแรงเฉียบพลันจนทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้ ตรงกันข้ามกลับมีอาการลุกลามอย่างช้า ๆ จนในระยะหลังทำให้เกิดความพิการที่มือ เท้า ใบหน้า และใบหู ซึ่งหากมารับการรักษาเสียแต่ในระยะเริ่มแรก ก็สามารถหายได้ง่าย และไม่ก่อเกิดความพิการดังกล่าว

อาการของโรค

เชื้อโรคเรื้อน ก่อให้เกิดอาการของโรคที่ผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลาย การอักเสบของเส้นประสาทส่วนปลายจะทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมด้วยเส้นประสาทเส้นนั้นฝ่อลีบไป ทำให้มือเท้าหงิกและกุดได้ในระยะท้ายของโรค

โดยในระยะแรกของโรคมักจะมีผื่นจำนวนเล็กน้อย ผื่นมักจะมีลักษณะเป็นวงด่างขาวจาง ๆ ตรงตำแหน่งที่มีผื่น ไม่มีเหงื่อออก และขนร่วง บางรายมีผื่นเพียงแห่งเดียว หากได้รับการรักษาตั้งแต่ในระยะนี้ก็จะหายสนิท และไม่เกิดความพิการใด ๆ เหลืออยู่

แต่หากปล่อยทิ้งเนิ่งนานเป็นเดือน เป็นปี หรือหลาย ๆ ปี โรคจะลุกลามอย่างช้า ๆ มีผื่นจำนวนมากขึ้น ซึ่งระยะนี้ผื่นจะมีสีแดงก่ำ ผิวเป็นมัน ขนคิ้วร่วง จมูกยุบ ใบหูหนาและบิดรูป ซึ่งในระยะนี้แม้จะรักษาจนหายจากโรคแต่จะไม่สามารถแก้ไขความพิการดังกล่าวได้

การรักษา

รับประทานยาตามแบบแผนที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลกตามความรุนแรงของโรค โดยผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกที่มีอาการน้อย จะต้องรับประทานยานาน 6 เดือน ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการมาก จะต้องรับประทานยานาน 2 ปี

ซึ่งผู้ป่วยที่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ก็จะหายจากโรคและไม่แพร่เชื้อไปติดต่อกับผู้อื่น

เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค และไม่มียาป้องกันการเกิดโรค ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคเรื้อน จึงควรสำรวจผื่นผิวหนังตามร่างกาย หากมีผื่นที่สงสัยว่าจะเป็นโรคเรื้อนในระยะเริ่มแรก ซึ่งมักมีลักษณะเป็นวงด่างขาวจาง ๆ ตรงตำแหน่งที่มีผื่น จะไม่มีเหงื่อออกและขนร่วง ให้รีบไปปรึกษาแพทย์

ดังนั้นหากไม่แน่ใจ เมื่อเกิดผื่นที่มีลักษณะเป็นวงด่างขาวจาง ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจ ดีกว่าไปหาซื้อยามาทาเอง

ที่มา : สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 กทม. และ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะนำวิธีป้องกันอัคคีภัยเบื้องต้น ผู้อาศัยในแต่ละบ้าน ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟฟ้า ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย และติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงไว้ภายในบ้าน ไม่ควรจุดธูปเทียนทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูแล ปิดสวิตซ์ และถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังเลิกใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า ป้องกันการเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้

สำหรับบ้านหรือห้องที่ติดตั้งเหล็กดัดกันขโมยตามประตู หรือหน้าต่าง ควรทำช่องที่สามารถเปิดออกด้วยการไขกุญแจอย่างน้อย 1 บาน และควรเก็บกุญแจไขเปิดไว้ในที่ซึ่งสามารถหยิบใช้ได้ง่าย

ส่วนผู้ที่เข้าไปในอาคารที่ไม่คุ้นเคย ควรสังเกตทางหนีไฟที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างน้อย 2 แห่ง พร้อมกับมองหาตำแหน่งของอุปกรณ์ดับเพลิง

กรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ควรต้องสติ ไม่ตื่นตระหนก และปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้

  1. ตะโกนหรือส่งสัญญาณแจ้งเหตุให้ผู้อื่นทราบทันที
  2. รีบออกจากอาคารอย่างเป็นระเบียบโดยเร็วที่สุด และไม่ควรกลับเข้าไปในอาคารอีก
  3. หากต้องอพยพออกจากห้อง ควรใช้มือสัมผัสบริเวณผนังหรืออังใกล้ ๆ ลูกบิดประตู ถ้ามีความร้อนสูง แสดงว่าเกิดเพลิงไหม้บริเวณใกล้ ๆ ห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด
  4. ควรหนีไฟลงด้านล่างของอาคาร โดยใช้บันไดหนีไฟด้านนอกอาคาร เนื่องจากลักษณะบันไดภายในอาคารเป็นเหมือนช่อง โพรง ที่เสริมให้เปลวไฟพุ่งขึ้น และลุกลามอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าลงทางบันไดไม่ได้ ให้ลงทางหน้าต่าง โดยใช้เชือก หรือผ้ายาวผูกตัวแล้วโหนลงมา ส่วนการกระโดดลงจากอาคาร ควรมีเบาะหรือฟูกที่นอนรองรับ
  5. ห้ามใช้ลิฟท์ เพราะขณะเกิดเพลิงไหม้ ไฟฟ้าจะดับ ทำให้ลิฟท์ค้าง จะทำให้ด้านในของตัวลิฟท์ไม่มีอากาศ
  6. หากเส้นทางหนีไฟเต็มไปด้วยกลุ่มควันให้ใช้ผ้าชุบน้ำมาคลุมตัว และปิดจมูก ป้องกันการสำลักควัน แล้วหมอบคลานเนื่องจากอากาศบริสุทธิ์จะอยู่ด้านล่าง(เหนือพื้น)
  7. ไม่ควรหนีไฟเข้าไปหลบในห้องต่าง ๆ ที่เป็นจุดอับภายในอาคาร เช่น ห้องน้ำ ที่แม้ในช่วงแรกจะปลอดภัย แต่เมื่อไฟลุกลาม น้ำที่อยู่ในห้องอาจไม่เพียงพอสำหรับดับไฟ และความร้อนของไฟจะส่งผลให้น้ำมีความร้อนสูงขึ้นจนสามารถลวกให้เสียชีวิตได้
  8. กรณีติดอยู่ในห้องที่ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ ให้ปิดประตูหน้าต่าง ใช้ผ้าชุบน้ำอุดตามช่องว่างทั้งหมดป้องกันควันลอยเข้าไป และรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เช่น โทรศัพท์ โบกผ้า หรือเป่านกหวีด
  9. หากถูกไฟไหม้ติดตัว อย่าใช้มือตบไฟ เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น ให้ถอดเสื้อผ้าออกทันที แล้วล้อมตัวลงที่พื้น กลิ้งตัวไปมาเพื่อดับไฟ กรณีที่ไฟไหม้ร่างกายผู้อื่น ให้ใช้ผ้าห่มพันตัวหลาย ๆ ชั้น จนกว่าไฟจะดับ แล้วใช้น้ำราดตัว แล้วห่มด้วยผ้าแห้ง
  10. ถ้าจำเป็นต้องวิ่งฝ่าเปลวไฟให้ใช้ผ้าชุบน้ำจนเปียกคลุมตัวก่อนวิ่งฝ่าออกไป

ทั้งนี้ จงอย่าลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการหนีรอดจากเหตุอัคคีภัย คือ การมีสติเป็นอันดับแรก เพราะจะทำให้คุณสามารถหนีเอาตัวรอด และช่วยเหลือผู้ร่วมชะตากรรมให้ออกมาจากบริเวณดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย

ที่มา: เดลินิวส์

“ไฟคนละแบบ วิธีดับ…วิธีจัดการก็คนละอย่าง”
ฉาดเฉลียว และ ฉานฉลาด บุนนาค สองพี่น้องผู้เชี่ยวชาญการผจญเพลิงภายในอาคาร บริษัท ดี.ดี.ไฟร์ แอนด์ เซฟตี้ บอก

 

เพลิงไหม้แยกได้เป็น 4 ประเภท

 • ประเภท A ไฟไหม้วัสดุที่ใช้น้ำดับได้ เช่น ไม้ ผ้า พลาสติก กระดาษ โฟม
• ประเภท B ไฟไหม้ของเหลวและแก๊สที่ติดไฟ เช่น น้ำมัน แอลกอฮอล์ เหล้า ทินเนอร์
• ประเภท C ไฟไหม้จากกระแสไฟฟ้า เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติให้ระวังตัวขณะปฏิบัติงาน
• ประเภท D ไฟไหม้โลหะติดไฟ เช่น แมกนีเซียม โซเดียม โปแตสเซียม

 

เพลิงไหม้ยังอาจแยกช่วงออกเป็น 4 เฟส…

เฟสที่ 1: ธรรมชาติไฟอาคาร จุดเริ่มเฟสแรกอาจมีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส วัดที่อุณหภูมิห้อง ช่วงเริ่มนี้ ไฟไม่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยน แต่มีกลุ่มควันเกิดขึ้นเยอะแบบฟุ้งๆ …ช่วงไฟไหม้เฟสแรก ยังมี 4 ปัจจัยหลักสนับสนุน…

Read more »