คนที่เล่นคอมพิวเตอร์เป็นประจำมักจะเกิดโรค CTS หรือ โรค Carpal Tunnel Syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเกิดจากการที่เพิ่มหนาขึ้นของพังผืดบริเวณช่องเส้นเอ็นตรงข้อมือ (ปกติตรงข้อมือของคนเราจะมีเส้นเอ็นข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน) เนื่องจากการใช้เมาส์โดยใช้ข้อมือเป็นจุดหมุน  หรือการกดคีย์บอร์ด 

โรค CTS หรือ โรค Carpal Tunnel Syndrome

เกิดจากการที่เส้นประสาทที่วิ่งผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังข้อมือได้รับแรงกดซ้ำ ๆ หรือ เกิดจากการเพิ่มหนาขึ้นของพังผืดที่บริเวณอุโมงค์ข้อมือกดทับเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขนและมือ และเป็นเส้นประสาทที่รับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง  เส้นประสาทนี้จะเดินทางตั้งแต่บริเวณต้นคอจนถึงปลายนิ้วมือ

ลักษณะผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค

  1. ผู้ที่ใช้ข้อมือทำงานในท่าเดิมๆ 
  2. ผู้ที่ต้องใช้มือหรือข้อมือมากๆในชีวิตประจำวัน
  3. ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อปลายประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ
  4. หญิงตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอด
  5. ผู้ที่ใช้มือและข้อมือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แม้จะเป็นงานเบาๆ
  6. ผู้ที่ใช้ข้อมือกระดกขึ้นลงบ่อยๆ หรือทำงานที่มีการสั่นสะเทือนของมือและแขนอยู่เป็นเวลานาน 

อาการของโรค CTS

  • ชาหรือปวดบริเวณมือ ในบางรายอาจมีอาการได้ทั้งฝ่ามือ มักมีอาการชัดในมือข้างที่ถนัด บางรายอาจเป็นทั้ง 2 ข้าง ส่วนมากมักเป็นเวลากลางคืน หลังจากนอนหลับบางครั้งอาจตื่นขึ้นมาจากอาการปวด แต่เมื่อสะบัดมือแล้วอาการจะดีขึ้นชั่วคราว
  • ถ้าเส้นประสาทถูกกดทับมากขึ้น จะทำให้อาการอ่อนแรงของมือ หยิบจับของลำบาก หรือถือของหล่นบ่อยๆ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือลีบลง
  • จะพบได้บ่อยสำหรับเพศหญิง มากว่าเพศชาย
  • อายุที่พบบ่อย ประมาณ 35-40 ปี
  • มักพบในผู้ที่มีข้อมือค่อนข้างกลม

การรักษา

  1. หลีกเลี่ยงการกระดกข้อมือขึ้นลงในกิจวัตรประจำวัน โดยการเปลี่ยนมาใช้ข้อศอกหรือข้อไหล่ในการทำกิจกรรม เพื่อลดอาการอักเสบบริเวณข้อมือ
  2. การทำกายภาพบำบัด การบริหารมือ ซึ่งจะได้ผลดีในผู้ที่เริ่มต้นมีอาการไม่มาก
  3. การใส่เครื่องช่วยพยุงมือในเวลากลางคืน   จะช่วยจัดท่าของข้อมือให้อยู่ในท่าที่ดีที่สุดเวลานอน เพื่อช่วยลดอาการปวดและเป็นการเตือนผู้ป่วยไม่ให้กระดกข้อมือมากเกินไป
  4. แบบให้ยา ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นอาจจะกินยาแก้ปวดแล้วก็พักข้อมือหยุดการเคลื่อนไหวอาการก็อาจทุเลาและหายไปได้เองโดยตรง
  5. การผ่าตัด  พิจารณาในผู้ที่มีอาการค่อนข้างมากได้ผลดี  หลังผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลยและหลังจากที่แผลหายดีแล้ว    ควรจะมีการฝึกการบริหารมือและข้อมือ   เพื่อให้เส้นเอ็น     และเส้นประสาทของมือเคลื่อนไหวได้สะดวก   ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัด  ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการทำกายภาพบำบัด เช่น การนวดหรือลูบเบาๆ บริเวณแผล การใช้ความร้อน  ความเย็น

ที่มาข้อมูล

โรงพยาบาลลาดพร้าว แพทย์เฉพาะทางเวศศาสตร์ฟื้นฟู

จับฉ่ายดอทคอม