การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในทางเดินอาหาร
เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ อาจเกิดได้ทุกตำแหน่งในทางเดินอาหารตั้งแต่ ต้นทางจนถึงปลายทาง สำหรับสาเหตุพยาธิสภาพ และกลไกของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป โดยมี ทั้งที่เกิดขึ้นเองภายในระบบทางเดินอาหารและสาเหตุที่เกี่ยวโยงจากความผิดปกติของ ส่วนอื่น เช่น อาการเมารถ (motion sickness) เป็นต้น ตัวอย่างของการผิดปกติที่พบได้บ่อยมีดังนี้ คือ
- อาการกลืนลำบาก (dysphagia) เป็นอาการที่กลืนอาหารและน้ำไม่ค่อยลง ทำให้เกิดอาการสำลัก สาเหตุอาจเนื่องจากกล้ามเนื้อหลอดอาหารไม่บีบตัว หรือหลอดอาหารอักเสบ
- อาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย (dyspepsis) มักจะพบร่วมกับโรคกระเพาะอาหารชนิด peptic ulcer
- กล้ามเนื้อที่ผนังกระเพาะอาหารทำงานน้อยกว่าปกติ (gastroparesis) สาเหตุอาจเกิดภายหลังการผ่าตัดเส้นประสาท vagus ที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร
- Dumping syndrome เป็นกลุ่มอาการที่พบในผู้ป่วย ภายหลังทำการผ่าตัดเอาส่วนปลายกระเพาะอาหารออก ทำให้กระเพาะมีปริมาตรน้อย จึงส่งอาหารผ่านไปยังลำไส้เร็วเกินไป
- การอาเจียน (vomiting) เป็นอาการที่อาหารมีการเคลื่อนที่ย้อนทาง อาจจะมีสาเหตุจากความผิดปกติทางจิตใจ สมองหรือในทางเดินอาหาร
- ลำไส้อุดตัน (intestinal obstruction) เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุมากมายจากผนังลำไส้ โพรงลำไส้หรือถูกกดบีบจากภายนอก เกิดได้ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่
- ท้องเดิน (diarrhea) หมายถึงการมีอุจจาระเหลวมากและถ่ายบ่อย อาจจะพบร่วมกับอาการปวดท้อง อาเจียนหรือมีไข้ สาเหตุของการเกิดมีทั้งจากการติดเชื้อและจากสาเหตุอื่น เช่น ได้รับยาระบายมากเกินไป เป็นต้น
- ท้องผูก (constipation) หมายถึงอาการไม่ถ่ายอุจจาระติดต่อกัน 3–4 วัน สาเหตุมีมากมาย เช่น กลั้นอุจจาระบ่อย ลำไส้มีการอุดตัน สูญเสียความสามารถในการเบ่งถ่ายอุจจาระ เป็นต้น
ผลของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในทางเดินอาหาร อาจก่อให้เกิดความผิดปกติทางสรีรวิทยาได้ไม่มากก็น้อย ดังนี้
- การเสียน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็นของร่างกาย
- การเสียดุลกรด–ด่าง
- ได้รับอาหารและแคลอรีไม่เพียงพอ
- ทำให้กรดจากกระเพาะหรือน้ำดี และด่างมีการคั่งค้างหรืออยู่ผิดที่
- การอาเจียนที่รุนแรง อาจทำให้สำลักเข้าทางเดินหายใจได้
ดังนั้นหากท่านมีอาการดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม การแก้ไขก็จะต้องขึ้นกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดปกตินั้น ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อยควรปรึกษาเภสัชกร แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นก็ควรจะรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้หายก่อนที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรัง
Leave a Reply