โดย มนฑิณี กมลธรรม
ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
การยืดอายุการเก็บรักษากล้วยหอมทองโดยใช้สารดูดซับเอทิลีน
ปัญหาที่สำคัญในการส่งออกผลไม้สดของไทย ได้แก่การเน่าเสีย การสูญเสียคุณภาพของผลิตผลก่อนที่จะส่งถึงตลาดปลายทางและระหว่างการตลาดในประเทศผู้นำเข้า ซึ่งปัญหานี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตลาดของผลิตผลสดหลังการเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้เวลาในการขนส่งนานๆในตู้เรือปรับอากาศไปยังประเทศต่างๆที่ห่างไกล ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มักอาศัยอายุการเก็บเกียวผลไม้มาใช้ในการเก็บรักษา
การยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้มีหลายวิธี เช่น การเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำ การใช้สารเคลือบผิว การเก็บรักษาในสภาพบรรยากาศดัดแปลง (modified atmosphere) และการใช้สารดูดซับเอทิลีน เนื่องจากตัวการที่ทำให้ผลไม้เกิดกระบวนการสุกแก่คือเอทิลีน ทำให้ดอกไม้เหี่ยวเร็วขึ้นและทำให้เกิดการหลุดร่วงของใบ เอทิลีนเป็นฮอร์โมนพืชชนิดเดียวที่เป็นแก๊ส มีสูตรทางเคมีคือ C2H4 เกิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึมของพืช การใช้สารดูดซํบเอทิลีนในการยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้เหมาะกับผลไม้ประเภท climacteric ซึ่งจะมีอัตราการหายใจสูงขึ้นและมีการผลิตเอทิลีนสูงในระยะที่กำลังสุก เช่น กล้วย ทุเรียน มะม่วง เป็นต้น
เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้สดเพื่อการส่งออก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสารดูดซับเอทิลีน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการส่งออก จากผลการศึกษาวิจัย ทำให้สามารถผลิตสารดูดซับเอทิลีนได้ในต้นทุนที่ต่ำและมีประสิทธิภาพดีไม่แตกต่างจากสารดูดซับเอทิลีนทางการค้า สามารถผลิตได้ง่าย เพื่อให้เหมาะสมในการใช้ในเชิงพาณิชย์ และลดการนำเข้าสารดูดซับเอทิลีนที่ผลิตจากต่างประเทศและสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตผลสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การยืดอายุการเก็บรักษากล้วยหอมทองเพื่อการส่งออกโดยใช้สารดูดซับเอทิลีนน้ำหนัก 10 กรัม (1 ซอง) บรรจุร่วมกับกล้วยหอมทองหนัก 12 กิโลกรัม โดยใส่ในถุง Polyethylene มัดปากถุงให้แน่นแล้วใส่ในกล่อง จากนั้นนำไปเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียล สามารถเก็บรักษากล้วยหอมทองได้นานถึง 10 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับกล้วยหอมทองที่เก็บรักษาโดยไม่ใช้สารดูดซับเอทิลีนสามารถเก็บได้เพียง 4 สัปดาห์ โดยปริมาณแก๊สเอทิลีนในถุงที่ใช้สารดูดซับเอทิลีนร่วมในการเก็บกล้วยหอมทองจะอยู่ที่ 0.01-0.03 ppm ตลอดระยะการเก็บรักษา 10 สัปดาห์ แต่ในกลุ่มควบคุมปริมาณแก๊สเอทิลีนจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 0.29 ppm ในสัปดาห์ที่ 5 ของการเก็บรักษาคือกล้วยหอมทองสุกและเริ่มเน่าเสีย

โดย มนฑิณี กมลธรรม

ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ปัญหาที่สำคัญในการส่งออกผลไม้สดของไทย ได้แก่การเน่าเสีย การสูญเสียคุณภาพของผลิตผลก่อนที่จะส่งถึงตลาดปลายทางและระหว่างการตลาดในประเทศผู้นำเข้า ซึ่งปัญหานี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตลาดของผลิตผลสดหลังการเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้เวลาในการขนส่งนานๆในตู้เรือปรับอากาศไปยังประเทศต่างๆที่ห่างไกล ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มักอาศัยอายุการเก็บเกียวผลไม้มาใช้ในการเก็บรักษา

การยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้มีหลายวิธี เช่น การเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำ การใช้สารเคลือบผิว การเก็บรักษาในสภาพบรรยากาศดัดแปลง (modified atmosphere) และการใช้สารดูดซับเอทิลีน

เนื่องจากตัวการที่ทำให้ผลไม้เกิดกระบวนการสุกแก่ คือ เอทิลีน ทำให้ดอกไม้เหี่ยวเร็วขึ้นและทำให้เกิดการหลุดร่วงของใบ

เอทิลีน เป็นฮอร์โมนพืชชนิดเดียวที่เป็นแก๊ส มีสูตรทางเคมีคือ C2H4 เกิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึมของพืช การใช้สารดูดซับเอทิลีนในการยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้เหมาะกับผลไม้ประเภท climacteric ซึ่งจะมีอัตราการหายใจสูงขึ้นและมีการผลิตเอทิลีนสูงในระยะที่กำลังสุก เช่น กล้วย ทุเรียน มะม่วง เป็นต้น

เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้สดเพื่อการส่งออก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสารดูดซับเอทิลีน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการส่งออก จากผลการศึกษาวิจัย ทำให้สามารถผลิตสารดูดซับเอทิลีนได้ในต้นทุนที่ต่ำและมีประสิทธิภาพดีไม่แตกต่างจากสารดูดซับเอทิลีนทางการค้า สามารถผลิตได้ง่าย เพื่อให้เหมาะสมในการใช้ในเชิงพาณิชย์ และลดการนำเข้าสารดูดซับเอทิลีนที่ผลิตจากต่างประเทศและสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตผลสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การยืดอายุการเก็บรักษากล้วยหอมทองเพื่อการส่งออกโดยใช้สารดูดซับเอทิลีนน้ำหนัก 10 กรัม (1 ซอง) บรรจุร่วมกับกล้วยหอมทองหนัก 12 กิโลกรัม โดยใส่ในถุง Polyethylene มัดปากถุงให้แน่นแล้วใส่ในกล่อง จากนั้นนำไปเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียล สามารถเก็บรักษากล้วยหอมทองได้นานถึง 10 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับกล้วยหอมทองที่เก็บรักษาโดยไม่ใช้สารดูดซับเอทิลีนสามารถเก็บได้เพียง 4 สัปดาห์ โดยปริมาณแก๊สเอทิลีนในถุงที่ใช้สารดูดซับเอทิลีนร่วมในการเก็บกล้วยหอมทองจะอยู่ที่ 0.01-0.03 ppm ตลอดระยะการเก็บรักษา 10 สัปดาห์ แต่ในกลุ่มควบคุมปริมาณแก๊สเอทิลีนจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 0.29 ppm ในสัปดาห์ที่ 5 ของการเก็บรักษาคือกล้วยหอมทองสุกและเริ่มเน่าเสีย

sample2_title_top

The 10th Biomass-Asia Workshop : “Biomass Refinery to Community and Industrial Applications” with Asia Biomass Office Conference will held on August 5 – 6, 2013 at Centara Grand at Central World Hotel, Bangkok, Thailand. The program will be in English and the registration fee is free.

2nd_Circular_01
Website : http://www.biomass-asia-workshop.jp

การใช้โปรไบโอติกเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในแม่สุกรอุมทองและแมสุกรเลี้ยงลูก

UTILIZATION OF PROBIOTIC TO INCREASE PRODUCTIVITY

AND SUBSTITUTE THE USE OF ANTIBIOTIC IN SOWS AND

FARROWING PIGS

จํารูญ มณีวรรณ มงคล ถิรบุญยานนท์ กิตติพงษ์ ทิพยะ

บทคัดย่

การศึกษาการใช้โปรไบโอติกเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในแม่สุกรอุ้มท้องและแม่สุกรเลี้ยงลูก เป็นการศึกษาผลการป้อนบาซิลลัส ซับติลิส MP ต่อประสิทธิภาพการผลิต และจุลินทรีย์ในมูลของลูกสุกรดูดนม โดยทําการศึกษาในลูกสุกรพันธุ์ผสม 3 สายพันธุ์ (Large White x Landrace x Duroc ) ตั้งแต่อายุ 3 วัน จนถึงหย่านมที่อายุ 28 วัน จํานวน 80 ตัว แบ่งการทดลองออกเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 20 ซ้ำ ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์(Completely Randomized Design; CRD) โดยกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมได้รับการป้อน PBS(Phosphate Buffer Saline), กลุ่มที่ 2 ได้รับการป้อนบาซิลลัส ซับติลิส MP 9 จํานวน 10 มิลลิลิตร/ตัว โดยให้วันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 7 วัน กลุ่มที่ 3 ได้รับการป้อนบาซิลลัส ซับติลิส MP 10 จํานวน 10 มิลลิลิตร/ตัว โดยให้วันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 7 วัน และกลุ่มที่ 4 ได้รับการป้ายลิ้นด้วยยาปฏิชีวนะชนิด Chlortetracycline จํานวน 1 กรั ม/ตัว ติดต่อกัน 3 วัน ผลการวิจัยพบว่าน้ำหนักของลูกสุกรที่อายุ 14 และ 21 วันของกลุ่มที่ได้รับการเสริม MP 9 และMP 10 สูงกว่ากลุ่มควบคุม (P<0.05) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับการเสริมยาปฏิชีวนะ ส่วนน้ำหนักของลูกสุกรที่อายุ 28 วัน ลูกสุกรกลุ่มที่ได้รับการเสริม MP 9 และMP 10 สูงกว่ากลุ่มควบคุม (P<0.01) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับการเสริมยาปฏิชีวนะ สําหรับอัตราการเจริญเติบโตต่อวันของลูกสุกรกลุ่มที่ได้รับการเสริม MP 9 และ MP 10 สูงกว่ากลุ่มควบคุม(P<0.05) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับการเสริมยาปฏิชีวนะทางด้านจํานวนวันที่ลูกสุกรแสดงอาการท้องเสียจนหายเป็นปกติของกลุ่มที่ได้รับการเสริม MP 9 , MP 10 และกลุ่มที่ได้รับการเสริมยาปฏิชีวนะมีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (P<0.05) สําหรับจํานวนเชื้อ อี. โค ไล และ ซัลโมเนลล่า ในมูลที่อายุ 7 และ 11 วัน มีค่าต่ํากว่ากลุ่มควบคุมในขณะที่จํานวนเชื้อแลคโตบาซิลลัส และบาซิลลัส ซับติลิสในมูลมีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P<0.01)

วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากสารต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้าน ผลไม้และวัสดุเหลือจากอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศ (วว.)  โดยความร่วมมือวิจัยของฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (ฝภผ.) และ ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร (ฝทอ.) ได้ดำเนินโครงการวิจัยนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านและผลไม้ไทยอย่างครบวงจร.  เริ่มตั้งแต่กระบวนการสกัดและตรวจควบคุมคุณภาพองค์ประกอบทางเคมี, โดยเน้นกลุ่มสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ.  ทำการตรวจพิสูจน์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีการทดสอบต่าง ๆ ทางเภสัชวิทยาทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง เช่น DPPH assay (ปฏิกิริยาต้านออกซิเดชัน), photochemiluminescence assay (การกำจัดอนุมูลอิสระของออกซิเจนชนิดซูเปอร์ออกไซด์), anti-hemolytic assay (ปฏิกิริยาออกซิเดชันจากการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดแง) และ comet assay (การต้านฤทธิ์ลาย DNA จากอนุมูลอิสระออกซิเจน).  ข้อมูลจากผลการทดสอบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผักเชียงดาและผักหวานบ้านมีศักยภาพสูงในการต้านอนุมูลอิสระ,  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สัมพันธ์กับภาวะการณ์เกิดเบาหวานด้วย.  ดังนั้น วว. จึงได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพในรูปของเครื่องดื่มผักพื้นบ้านจากผักเชียงดาและผักหวาน ซึ่งมีทั้งหมด 5 ผลิตภัณฑ์,  โดยผ่านการทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์, การประเมินความปลอดภัยในระดับเซลล์และในสัตว์ทดลอง  และผ่านการทดสอบประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคด้วย.  ผลิตภัณฑ์ยังได้รับการออกแบบ โดยศูนย์การบรรจุหีบห่อไทยให้มีลักษณะจำเพาะเพื่อรักษาความคงตัวของสารต้านอนุมูลอิสระในผลิตภัณฑ์.  กระบวนการวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผักพื้นบ้านดำเนินการเสร็จสมบูรณ์อย่างครบวงจรและพร้อมสำหรับการผลิตจำหน่ายภายหลังการถ่ายทอดเทคโนโลยี.

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  โดยความร่วมมือในการวิจัยของฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร  (ฝทอ.)  และฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  (ฝภผ.)  ได้ดำเนินโครงการวิจัยนี้,  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากวัตถุดิบผักพื้นบ้าน.  จากข้อมูลผลการทดสอบสมบัติการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีการทดสอบต่างๆ ทางเภสัชวิทยาทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง  พบว่า  ผักหวานบ้านและผักเชียงดามีศักยภาพสูงในการต้านอนุมูลอิสระ,  นอกจากนี้  ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สัมพันธ์กับภาวการณ์เกิดโรคเบาหวานด้วย.  ดังนั้น  ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร วว.  จึงได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเสริมสุขภาพด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากผักหวานบ้านและผักเชียงดา  ทั้งหมดจำนวน 4 สูตรผลิตภัณฑ์  ได้แก่  เครื่องดื่มผักหวานบ้านพร้อมดื่ม 2 รสชาติ (รสธรรมชาติและรสน้ำผึ้งมะนาว),  เครื่องดื่มผักเชียงดาพร้อมดื่ม 2 รสชาติ (รสธรรมชาติและรสน้ำผั้งมะนาว),  ซึ่งผลิตภัณฑ์ในรูปแบบบรรจุขวดพาสเจอร์ไรส์มีอายุการเก็บประมาณ 6 สัปดาห์ที่อุณหภูมิแช่เย็น  (4 – 10 องศาเซลเซียส)  สำหรับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุกล่องปลอดเชื้อแบบ  UHT  มีอายุการเก็บมากกว่า 6 เดือน  ที่อุณหภูมิห้อง (25 – 30 องศาเซลเซียส).  ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง  เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกันที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป.

การวิจัยและศึกษาธัญพืชและสมุนไพรที่เหมาะสมต่อการผลิตสารให้ความหวานเพื่อสุขภาพ (ชะเอมไทย, อ้อยสามสวน และหัสคุณใหญ่หรือชะเอมพื้นเมือง) ณ แปลงทดลอง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จากผลการศึกษาพบว่าสมุนไพรทั้งสามชนิดมีการตอบสนองต่อการเจริญเติบโตด้านความสูง, ความกว้างของทรงพุ่ม, จำนวนใบ, น้ำหนักแห้งและปริมาณสารหวานสามชนิด ได้แก่ แมนนิทอล, ซอร์บิทอล และไซลิทอล ที่เพิ่มขึ้นโดยพบว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำจากปลาอัตรา 40 มิลลิลิตร/น้ำ 10 ลิตร พร้อมฉีดพ่นสาร Paclobutrazol 500 มิลลิลิตร/ลิตร ส่งผลทำให้สมุนไพรทั้งสามชนิดมีการตอบสนองต่อการเจริญเติบโตและส่งผลต่อปริมาณสารหวานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าทุกๆ กรรมวิธีในการทดลอง.

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่แห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนารถนั่งเคลื่อนที่อเนกประสงค์

คุณสมบัติ : สามารถปรับ ยืน/นอน/เอน/นั่งให้ผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้รองรับการขับถ่าย ขณะอยู่บนรถ

สนใจติดต่อ Call Center โทร (66) 025793000

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่แห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนาเครื่องดึงหลังและคออัตโนมัติ สนใจติดต่อ Call Center ที่ 02 5793000

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) จัดงานเปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 47 ปี วว. ระหว่างวันที่ 21- 23 พฤษภาคม 2553 เวลา 09.00-17.00 น. ณ วว. เทคโนธานี ตำบลคลองห้า จังหวัดปทุมธานี หวังเผยแพร่ความรู้และแสดงศักยภาพงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างสู่สาธารณชน พร้อมกระตุ้นการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่เยาวชนไทย

     นางเกษมศรี หอมชื่น ผู้ว่าการ วว. กล่าวชี้แจงว่า เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 47 ปีของ วว. ในวันที่ 25 พฤษภาคม ศกนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและแสดงศักยภาพด้านงานวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการให้บริการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนเผยแพร่องค์ความรู้/เทคโนโลยีของ วว. จากหิ้งสู่ห้างซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประกอบธุรกิจหรือประกอบเป็นอาชีพ รวมทั้งกระตุ้นและส่งเสริมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชน จึงได้กำหนดจัดงานเปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 47 ปี วว. ภายใต้แนวคิด “วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต…วว. คิดเพื่อคนไทย” ขึ้น โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 1.การแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและเทคโนโลยี ที่สามารถนำไปต่อยอดในเชิงธุรกิจหรือพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรม/วิสาหกิจชุมชน โดยจัดแบ่งเป็นโซนต่างๆ ดังนี้
Read more »

ที่มา :  บทบาทของวัสดุก่อสร้างกับการประหยัดพลังงาน โดย ดร.บริสุทธิ์  จันทรวงศ์ไพศาล

จากกระแสตื่นตัวภาวะโลกร้อน และ การออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับ ข้อกำหนด การใช้พลังงานในอาคารที่จะขออนุญาตก่อสร้างใหม่ เพื่อควบคุมค่าการถ่ายเทพลังงานความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร ทำให้วัสดุประหยัดพลังงานมีแนวโน้นสูงต่อความต้องการในตลาดวัสดุก่อสร้าง

อีกทั้งด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัดตลอดทั้งปีในประเทศไทย ทำให้แนวโน้มของวัสดุประหยัดพลังงานในประเทศไทยมาแรง เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญต่ออุณหภูมิภายในบ้านที่ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกสบายของผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน ทำให้ผู้ออกแบบบ้านต้องหาวิธีการออกแบบให้ความร้อนเข้าในบ้านน้อยที่สุดเท่าความจำเป็นที่ต้องใช้ แต่ทว่าบางส่วนของบ้านไม่อาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนโดยตรง เช่น หลังคาบ้าน และผนังด้านทิศตะวันออกและตก จึงจำเป็นต้องใช้วัสดุชนิดประหยัดพลังงาน เช่น วัสดุจำพวกแผ่นเส้นใยซีเมนต์ อิฐมวลเบา แผ่นอลูมิเนียม หรือ สีทาบ้านชนิดสะท้อนแสง ซึ่งจะได้รับความนิยมมากขึ้น

วว. ได้เห็นความสำคัญของการใช้วัสดุก่อสร้างประหยัดพลังงานเพื่อลดหรือหน่วงการถ่ายเทความร้อนเข้าในบ้าน ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จึงได้วิจัยพัฒนาเทคโนโลยี แผ่นเส้นใยซีเมนต์ ขึ้น

แผ่นเส้นใยซีเมนต์ คือ แผ่นวัสดุที่ทำมาจากเส้นใยจากธรรมชาติผสมกับซีเมนต์  แล้วขึ้นรูปเป็นแผ่นผนังและแผ่นหลังคา  เนื่องจากเส้นจากธรรมชาติมีค่าการนำความร้อนต่ำ ดังนั้นเมื่อนำมาทำเป็นส่วนผสมในวัสดุก่อสร้างจึงมีคุณสมบัติต้านทานความร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนส่งผ่านเข้าในบ้าน  นอกจากนี้เส้นใยธรรมชาติยังมีค่าแรงดึงเพียงพอต่อการเสริมแรงจึงทำให้แผ่น วัสดุก่อสร้างที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติทนต่อแรงดัด  และไม่เปราะ

ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว จึงสามารถสร้างผนังเส้นใยซีเมนต์ และหลังคาแผ่นเส้นใยซีเมนต์ ซึ่งมีค่าการนำความร้อนต่ำ จึงทำหน้าที่เหมือนเป็นฉนวนกันความร้อน ป้องกันและหน่วงความร้อนให้ผ่านเข้าในบ้านได้น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุที่ใช้ทั่วไปในท้องตลาด แต่ในขณะเดียวกันคุณสมบัติทางกลและทางกายภาพก็ยังอยู่ในมาตรฐานเส้นใยซีเมนต์แผ่นเรียบ เพื่อใช้กับงานก่อสร้างผนัง และหลังคา