เรียบเรียงโดย จารุจินต์ นภีตะภัฏ

 ข่าวการฆ่าตัวตายของหญิงผู้หนึ่ง โดยการโดดลงไปในบ่อจระเข้ที่ฟาร์มจระเข้ที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้ก่อให้เกิดความสนใจต่อสัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็นชนิดนี้มากขึ้น บางครั้งข่าวที่น่าสนใจอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อจระเข้มากขึ้นกว่าเดิม ในแง่ที่เป็นสัตว์ที่กระหายเลือดกินมนุษย์เป็นอาหาร

จระเข้ (crocodiles) เป็นสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือมาจากยุคไดโนเสาร์ มีลำตัวยาว ปาก ยาว ภายในมีฟันแหลมเรียบเป็นแถว กินเนื้อสัตว์อื่นเป็นอาหาร ในประเทศไทยมีจระเข้อยู่ 3 ชนิด ได้แก่ จระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) จระเข้ น้ำเค็ม (C. porosus) และตะโขงหรือจระเข้ปากกระทุงเหว (Tomistoma schlegeli) ทุกชนิดกำลังมีจำนวนน้อยมากในธรรมชาติจนอาจจะสูญพันธุ์หมดไปในอนาคต

นิสัยการกินอาหารของจระเข้

นิสัยการกินอาหารของจระเข้จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของการเจริญเติบโต ปกติจะเริ่มหาอาหารกินในเวลาเย็น ลูกจระเข้กินสัตว์ขนาดเล็ก กบ แมลงปอ ปู และแม้แต่ลูกน้ำยุง นิสัยการล่าชอบใช้ลำตัวและหางที่ยาวโอบล้อมเหยื่อไว้ก่อนที่จะกัดกิน ถ้าเหยื่อมีขนาดใหญ่วิธีการล่าจะเปลี่ยนเป็นการว่ายน้ำเข้าสู่เหยื่ออย่างช้าๆ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้างับ โดยการแกว่งปากไป งับทางด้านข้างเพราะตาของจระเข้อยู่ทางด้านข้างของส่วนหัว เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จระเข้ขนาดเล็กจะเปลี่ยนไป กินหอยและปลา ส่วนจระเข้ที่โตเต็มที่มักชอบกินปลาเป็นอาหารหลัก แต่ บางครั้งจะกินเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือแม้แต่จระเข้ด้วยกันเองที่มีขนาดเล็กกว่า

ยุทธวิธีในการล่าเหยื่อ

ยุทธวิธีในการล่าเหยื่อของจระเข้ขนาดใหญ่ ใช้วิธีพรางตัวลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งจะเห็นเพียงลูกตาทั้งสองและปุ่มจมูกที่เรียกว่าก้อนขี้หมาอยู่เหนือน้ำ ค่อยๆ ส่ายเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ จึงโผขึ้นงับหัวหรือขา แล้วลากลงใต้น้ำให้เหยื่อจมน้ำตาย บนพื้นดินจระเข้จะซุ่มดักรอตามทางเดินของสัตว์ หรือบริเวณใกล้แอ่งน้ำ เมื่อเหยื่อเข้าใกล้จึงเข้างับแล้วพยายามลากลงสู่แหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด บางตัวอาจใช้หางฟาดเหยื่อเพื่อลดการดิ้นรนอีกด้วย

จระเข้มีฟันเป็นซี่แหลมเรียวไปตามความยาวของปาก ฟันนี้ใช้ในการจับเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ หากเหยื่อมีขนาดเล็กจะกลืนกินทั้งตัว
ฟันเมื่อหลุดออกไปจะมีซี่ใหม่งอกขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว วิธีการฉีกเหยื่อของจระเข้ ใช้การงับบริเวณขาหรือแขนของเหยื่อแล้วม้วนตัวไปอย่างรวดเร็ว เหยื่อจะฉีกออกโดยง่าย

ในกรณีที่เหยื่อเป็นมนุษย์ จระเข้เพียงบางตัวเท่านั้นที่กล้าพอที่จะงับมนุษย์ ส่วนใหญ่เหยื่อจะเป็นเด็ก หรือจระเข้ตัวนั้นมีขนาดใหญ่ และแข็งแรงพอที่จะลากมนุษย์ลงในน้ำได้ การที่จระเข้กัดคนที่ตกลงในบ่อเลี้ยงเนื่องจากได้รับการฝึกจนรู้ว่าสิ่งที่ทิ้งลงไปคืออาหาร เมื่อมีอาหารตกลงไปจระเข้จึงมุ่งเข้ามาแย่งกันกิน โดยไม่คำนึงว่าเหยื่อจะเป็นอะไร เคยพบในกระเพาะของจระเข้มีวัตถุที่มิใช่อาหารมากมาย เช่น ก้อนหิน ท่อนไม้ ฯลฯ แม้แต่จระเข้ด้วยกันเอง จระเข้ตัวใหญ่จะจับจระเข้ขนาดเล็กกว่ากินเป็นอาหาร เมื่อสังเกตดูจระเข้ที่นอนผึ่งแดดตามชายตลิ่ง จะพบว่าเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ไล่เลี่ยกันทั้งสิ้น

นิสัยการกินอาหารของจระเข้ มีส่วนสำคัญในการช่วยปรับปรุงสุขภาพของเหล่าปลาในแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก โดยจระเข้จะกินเฉพาะปลาที่อ่อนแอ ปลาพิการ และปลาเป็นโรค ทำให้ประชากรปลาที่เหลืออยู่มีคุณภาพของประชากรที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากประโยชน์ดังกล่าวนี้หนังและเนื้อของจระเข้มีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างอเนกอนันต์ สัตว์เลื้อยคลานที่ไม่ค่อยมีคนชอบนี้ได้มีวิวัฒนาการมาบนพื้นโลกกว่าร้อยล้านปี และกำลังจะหมดไปจากโลกในอนาคตอันใกล้

 เรียบเรียงโดย :ทรงเกียรติ วิสุทธิพิทักษ์กุล  

 ทุกคนรู้จักดิน แต่การที่จะรู้จักดินให้ถี่ถ้วนจริงๆ ต้องใช้เวลาการ ศึกษาและวิจัยเป็นสิบๆ ปี นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากใช้เวลา กว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตศึกษาดิน วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับดินนั้นเรียกรวมๆ กันว่า “ปฐพีวิทยา” ซึ่งแยกสาขาออกไปมากมาย เช่น ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเกิด ของดินว่าเกิดได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรเป็นตัวควบคุมการเกิดของดิน ศึกษา การสำรวจรวมทั้งทำแผนที่ดินเพื่อแบ่งชนิดของดินทางลักษณะต่างๆ ศึกษาเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การแก้ไขหรือปรับปรุงดินให้ เหมาะสำหรับการเพาะปลูก ศึกษาชนิด ปริมาณและแร่ธาตุอาหารต่างๆ ที่พืชจะสามารถนำไปใช้ ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางเคมีต่างๆ ที่ เกิดขึ้นในดินและคุณสมบัติทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น ลักษณะเนื้อดิน ความสามารถใน การอุ้มน้ำของดิน อุณหภูมิในดิน ตลอดจนคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช ศึกษาวิธีการป้องกันและรักษาดินให้มี ความอุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ในการเกษตร

ดินในแง่ของการเพาะปลูกมีส่วนประกอบดังนี้

  1. ส่วนที่เป็นอินทรียวัตถุ ได้แก่ ส่วนที่เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังหรือ การสลายตัวของเศษพืชและสัตว์ ส่วนนี้มักจะอยู่ที่ผิวดิน และมีความสำคัญ คือเป็นแหล่งกำเนิดอาหารให้พืชและจุลินทรีย์ในดิน
  2. ส่วนที่เป็นอนินทรียวัตถุ ได้แก่ ส่วนที่เกิดจากการสลาย ผุพังของ หินและแร่โดยกระบวนการทางเคมี กายภาพ และชีวเคมี ดินส่วนนี้มีความ สำคัญเช่นเดียวกับดินส่วนแรกคือเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารแก่พืชและ จุลินทรีย์และเป็นส่วนควบคุมโครงสร้างของดิน
  3. ส่วนที่เป็นน้ำ ได้แก่ น้ำที่อยู่ในช่องว่างระหว่างก้อนดินหรืออนุภาค ของดิน ซึ่งมีความสำคัญคือเป็นตัวละลายและนำส่งอาหารให้แก่พืช
  4. ส่วนที่เป็นอากาศ ได้แก่ อากาศซึ่งแทรกอยู่ระหว่างก้อนดินหรือ อนุภาคของดิน ส่วนประกอบของอากาศที่สำคัญ ได้แก่ ออกซิเจน ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์

ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกโดยทั่วๆ ไปควรจะประกอบด้วยส่วนที่ 1 ประมาณ 5% ส่วนที่ 2 ประมาณ 45% ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 ประมาณ อย่างละ 25% การปลูกพืชจะได้ผลดีจำเป็นต้องพยายามรักษาความสมดุล ของส่วนประกอบดังกล่าวด้วย

เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล

ร่างกายของคนเรานั้น สามารถรับความรู้สึกเกี่ยวกับอุณหภูมิได้ตั้งแต่หนาว เย็น อุ่น ร้อน และกำลังสบาย ความสามารถรับความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นโดยภายในร่างกายจะมีตัวรับ (receptors) ซึ่งตัวรับที่พบมี 3 ชนิดคือ

  1. ตัวรับความเย็น (cold receptors)
  2. ตัวรับความร้อน (warm receptors)
  3. ตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด (pain receptors) ตัวรับนี้จะทำงานได้ดีเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยความเย็นจัดหรือร้อนจัดจนทำให้เกิดการทำลายของเนื้อเยื่อ

ตัวรับทั้ง 3 ชนิดจะมีตำแหน่งเป็นจุดๆ กระจายอยู่ โดยทั่วไปตามร่างกาย โดยจะพบว่าจุดรับความเย็น (cold spot) มีมากกว่าจุดรับความร้อน (warm spot) ในอัตราส่วน 4 : 1 ถึง 10 : 1 สำหรับตัวรับความร้อนและความเย็นจะพบมากที่ใบหน้าและมือมากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนผิวหนังที่มีเฉพาะตัวรับสัมผัสแตะต้องพวก free nerve ending เช่น บริเวณกระจกตา (cornea) จะสามารถรับได้ทั้งความร้อนและความเย็น

การกระตุ้นตัวรับอุณหภูมิ

ในการที่อุณหภูมิเย็นจัดจะพบว่าตัวรับความรู้สึกเจ็บเท่านั้นที่จะถูก กระตุ้น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10–15 องศาเซลเซียส ตัวรับความรู้สึกเจ็บก็จะหยุดทำงานและตัวรับความรู้สึกเย็นจะถูกกระตุ้น ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ตัวรับ ความรู้สึกร้อนจะถูกกระตุ้นร่วมกับตัวรับความเย็น แต่ถ้าอุณหภูมิ 35–45 องศาเซลเซียส จะพบแต่ตัวรับความร้อนเท่านั้นที่ถูกกระตุ้น และที่ 45 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ตัวรับ ความร้อนจะไม่มีการตอบสนอง แต่ส่วนตัวรับความรู้สึกเย็นจะถูกกระตุ้นร่วมกับตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด

การปรับตัวของตัวรับอุณหภูมิ

 ทั้งตัวรับความร้อนและความเย็นจะมีการ ปรับตัวเหมือนกันคือ เมื่อมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอุณหภูมิในทันทีทันใด จะรับความรู้สึกร้อนหรือเย็น ได้มากในตอนแรก ต่อมาภายในเวลา 1 นาที ก็จะค่อยๆ ปรับตัวเข้าสู่ภาวะเดิม เช่น เมื่อแช่น้ำร้อนใหม่ๆ จะรู้สึกร้อนมากในตอนแรก ต่อมาก็จะรู้สึกร้อนน้อยลงหรือเมื่อออกไปสัมผัสกับอากาศเย็นจะรู้สึกเย็นมาก ใน ตอนแรกต่อมาก็จะเริ่มรู้สึกเคยชินเช่นนี้เป็นต้น

กลไกของการกระตุ้นตัวรับอุณหภูมิ

เชื่อกันว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอัตรากระบวนการสร้างและสลาย (metabolism) ของร่างกาย โดยอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์เปลี่ยนแปลงไปด้วย

สัญญาณรับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะถูกนำขึ้นไปสู่ระบบประสาท ส่วนกลางโดยประสาท delta type A ส่วนประสาทนำความรู้สึก เช่น ร้อนจัด (burning hot) หรือเย็นจัด (freezing cold) จะถูกนำโดยประสาท type C

เนื่องจากจำนวนของตัวรับที่กระจายอยู่ตามผิวหนังของร่างกายมีน้อย ถ้าจะสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ก็จะต้องถูกกระตุ้นเป็นบริเวณกว้าง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและสัญญาณจากบริเวณที่ถูกกระตุ้นทั้งหมดก็จะรวมกันแล้วส่งขึ้นสู่ระบบประสาทส่วนกลางตอบสนองโดยการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้

เรียบเรียงโดย สยามรัฐ ป้านภูมิ

 ในบรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่คร่าชีวิต ของมนุษย์ ในโลกยุคปัจจุบัน โรคหัวใจจัดได้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงและน่ากลัวที่สุดโรคหนึ่งเพราะในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่อาศัยอยู่ในแถบประเทศตะวันตก�
สาเหตุของโรคหัวใจเกิดจากการมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด หรือมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ และอาหารจำพวกเนยต่างๆ ซึ่งทำให้หัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นในการสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย และเสียชีวิตในที่สุด

นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาพบว่า มีกรดไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งพบในธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันและรักษาโรคหัวใจได้อย่างมี ประสิทธิภาพ กรดไขมันชนิดนี้คือ กรดไอโคซาเพนเทโนอิก (eicosapentaenoic acid) หรือ อีพีเอ (EPA) ซึ่งมีผลไปช่วยลดปริมาณคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด และสามารถป้องกันและรักษาโรคหัวใจได้ในที่สุด

อีพีเอ เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ (double bond) หลายพันธะและประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาว (long–chain polyunsaturated fatty acid หรือ PUFA) พบมากในสาหร่ายทะเลขนาดเล็กหลายชนิด ปลาทะเล และสาหร่ายน้ำจืดขนาดเล็กบางชนิด อย่างไรก็ตาม การผลิตอีพีเอส่วนมากได้จาก ปลาทะเล ผลิตภัณฑ์ที่ได้มักอยู่ในรูปของน้ำมันปลา (fish oil)

โครงสร้างทางเคมีของ EPA

เนื่องจาก การผลิตอีพีเอจากปลาทะเลทำได้ในปริมาณจำกัดและมีราคาแพง นักวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น แคนาดา อิสราเอล รวมทั้งประเทศไทยจึงได้หันมาศึกษาวิจัยการผลิตอีพีเอจากสาหร่าย เพราะสามารถผลิตได้ง่ายในปริมาณมาก และใช้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการผลิตจากปลาทะเล

เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล

เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายได้ผ่านการย่อยจนเป็น สารอาหารที่ร่างกายพร้อมจะนำไปใช้ สารอาหารต่างๆ ก็จะถูกลำเลียงไปใช้โดยผ่านกระบวนการดังนี้

1. กระบวนการดูดซึมสารอาหาร พบว่าสารอาหารชนิดต่างๆ ที่ได้จากกระบวนการย่อยจะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์บุผิวทางเดินอาหารในส่วนของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เข้าสู่กระแสเลือดทางหลอดเลือดดำ พอร์ทัล (portal vein) ผ่านตับและผ่านทางท่อน้ำเหลืองโดยตรง กระบวนการดูดซึมสารอาหารนี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

  • การดูดซึมแบบธรรมดา (passive transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังที่ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าการ เคลื่อนที่ของน้ำในกระบวนการออสโมซิส และการเคลื่อนที่ของสารชนิดหนึ่งแลกเปลี่ยนกับสารอีกชนิดหนึ่งโดยที่ไม่มีการใช้พลังงาน
  • การดูดซึมแบบใช้ตัวพา (facilitated transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าไปยังที่ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าโดยมีตัวพา (carrier) ในเยื่อหุ้มเซลล์ด้านหน้าเป็นตัวช่วยในการเคลื่อนที่ ทำให้การเคลื่อนที่แบบนี้เร็วกว่าแบบธรรมดาและไม่ต้องใช้พลังงานช่วยในการเคลื่อนที่
  • การดูดซึมแบบที่ต้องอาศัยพลังงาน (active transport) จะเป็นการเคลื่อนที่ของสารจากที่ที่มีความเข้มข้นต่ำไปยังที่ที่มีความเข้มข้นสูงกว่า โดยมีทั้งตัวพาและพลังงานในรูปของ ATP (adenosine triphosphate) เป็นตัวช่วยในการเคลื่อนที่

2. การขนส่งสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อสารอาหารถูกดูดซึม ผ่านเข้าเซลล์ก็จะเข้าสู่กระแสเลือด สารอาหารส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลูโคส (glucose) กาแล็กโทส (galactose) และฟรักโทส (fructose) กรดอะมิโน (amino acid) วิตามินและเกลือแร่จะถูกลำเลียงไปทางหลอดเลือดฝอย หลอดเลือดดำเล็กและหลอดเลือดดำใหญ่พอร์ทัลเข้าสู่ตับ จากนั้นจึงเข้า สู่หัวใจและถูกลำเลียงไปยังอวัยวะต่างๆ โดยการไหลเวียนของเลือด

สำหรับอาหารพวกไขมัน และวิตามินที่ละลายในไขมันจะถูกส่งผ่านไปตามท่อน้ำเหลือง (thoracic duct) โดยไม่ผ่านตับและจะเข้าสู่กระแสเลือดที่หัวใจโดยตรง และถูกลำเลียงไปสู่อวัยวะต่างๆ จากกระบวนการดังกล่าวจึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ตามความต้องการ เพื่อการเจริญเติบโตของ ร่างกายต่อไป

เรียบเรียงโดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล

การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ อาจเกิดได้ทุกตำแหน่งในทางเดินอาหารตั้งแต่ ต้นทางจนถึงปลายทาง สำหรับสาเหตุพยาธิสภาพ และกลไกของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป โดยมี ทั้งที่เกิดขึ้นเองภายในระบบทางเดินอาหารและสาเหตุที่เกี่ยวโยงจากความผิดปกติของ ส่วนอื่น เช่น อาการเมารถ (motion sickness) เป็นต้น ตัวอย่างของการผิดปกติที่พบได้บ่อยมีดังนี้ คือ

 

  1. อาการกลืนลำบาก (dysphagia) เป็นอาการที่กลืนอาหารและน้ำไม่ค่อยลง ทำให้เกิดอาการสำลัก สาเหตุอาจเนื่องจากกล้ามเนื้อหลอดอาหารไม่บีบตัว หรือหลอดอาหารอักเสบ
  2. อาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย (dyspepsis) มักจะพบร่วมกับโรคกระเพาะอาหารชนิด peptic ulcer
  3. กล้ามเนื้อที่ผนังกระเพาะอาหารทำงานน้อยกว่าปกต(gastroparesis) สาเหตุอาจเกิดภายหลังการผ่าตัดเส้นประสาท vagus ที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร
  4. Dumping syndrome เป็นกลุ่มอาการที่พบในผู้ป่วย ภายหลังทำการผ่าตัดเอาส่วนปลายกระเพาะอาหารออก ทำให้กระเพาะมีปริมาตรน้อย จึงส่งอาหารผ่านไปยังลำไส้เร็วเกินไป
  5. การอาเจียน (vomiting) เป็นอาการที่อาหารมีการเคลื่อนที่ย้อนทาง อาจจะมีสาเหตุจากความผิดปกติทางจิตใจ สมองหรือในทางเดินอาหาร
  6. ลำไส้อุดตัน (intestinal obstruction) เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุมากมายจากผนังลำไส้ โพรงลำไส้หรือถูกกดบีบจากภายนอก เกิดได้ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่
  7. ท้องเดิน (diarrhea) หมายถึงการมีอุจจาระเหลวมากและถ่ายบ่อย อาจจะพบร่วมกับอาการปวดท้อง อาเจียนหรือมีไข้ สาเหตุของการเกิดมีทั้งจากการติดเชื้อและจากสาเหตุอื่น เช่น ได้รับยาระบายมากเกินไป เป็นต้น
  8. ท้องผูก (constipation) หมายถึงอาการไม่ถ่ายอุจจาระติดต่อกัน 3–4 วัน สาเหตุมีมากมาย เช่น กลั้นอุจจาระบ่อย ลำไส้มีการอุดตัน สูญเสียความสามารถในการเบ่งถ่ายอุจจาระ เป็นต้น

ผลของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในทางเดินอาหาร อาจก่อให้เกิดความผิดปกติทางสรีรวิทยาได้ไม่มากก็น้อย ดังนี้

  1. การเสียน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็นของร่างกาย
  2. การเสียดุลกรด–ด่าง
  3. ได้รับอาหารและแคลอรีไม่เพียงพอ
  4. ทำให้กรดจากกระเพาะหรือน้ำดี และด่างมีการคั่งค้างหรืออยู่ผิดที่
  5. การอาเจียนที่รุนแรง อาจทำให้สำลักเข้าทางเดินหายใจได้

ดังนั้นหากท่านมีอาการดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม การแก้ไขก็จะต้องขึ้นกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดปกตินั้น ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อยควรปรึกษาเภสัชกร แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นก็ควรจะรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้หายก่อนที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรัง

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe Barbadensis Mill. A. indica Royle. A. vera Linn.
วงศ์ : Liliaceae
ชื่ออังกฤษ : Aloe, Star cactus, Aloin, Jafferabad, Barbados
ชื่อท้องถิ่น : ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ข้อและปล้องสั้น ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงรอบต้น กว้าง 5-12 ซม. ยาว 30-80 ซม. อวบน้ำมาก สีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม ภายในมีวุ้นใส ใต้ผิวสีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ใบอ่อนมีประสีขาว ดอก เป็นดอกช่อ ออกจากกลางต้น ดอกย่อยเป็นหลอดห้อยลงสีส้ม บานจากล่างขึ้นบน ผล เป็นผลแห้ง แตกได้

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ตำรายาไทยใช้ น้ำยางสีเหลืองจากใบ เคี่ยวให้แห้ง เรียกว่า ยาดำ เป็นยาระบาย โดยใช้ประมาณ 0.25 กรัม
วุ้นสดจากใบ เมื่อล้างยางออกแล้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 2 ช้อนโต๊ะ ช่วยแก้กระเพาะลำไส้อักเสบได้ เมื่อถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกหรือแผลถลอก ใช้วุ้นสดทาหรือแปะแผลให้เปียกอยู่ตลอดเวลา 2 วันแรก จะบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนแผลจะหายเร็ว และเมื่อนำวุ้นทาผิวก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันถูกแดดเผาและป้องกันผิวแห้ง วุ้นสดจากใบยังสามารถนำมาใช้ชะโลมบนเส้นผม จะทำให้ผมดกเป็นเงางาม บำรุงรากผม รักษาแผลบนหนังศีรษะ

สารสำคัญ :

ในยางมี แอนทราควิโนน ในวุ้นมี กลัยโคโปรตีน aloctin A สลายตัวง่ายเมื่อถูกความร้อน

ข้อควรระวัง :

  1. การใช้ว่านหางจระเข้เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน ทั้งโดยการรับประทานหรือใช้ภายนอก อาจเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นนาน ๆ
  2. สารในวุ้นของว่านหางจระเข้สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว จึงควรเก็บไว้ในตู้เย็น หรือเตรียมใหม่สด ๆ ก่อนใช้

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum americanum Linn. O. canum Sims.
วงศ์ : Labiatae
ชื่ออังกฤษ : Hairy basil
ชื่อท้องถิ่น : ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ) มังลัก (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

แมงลักเป็นพืชล้มลุก มีอายุประมาณ 1-2 ปี สูงประมาณ 30-50 ซม. กิ่งอ่อนมีทรงสี่เหลี่ยม ใบ เป็นใบเดี่ยว สีเขียวอ่อน มีขนนิ่ม ดอก ออกตรงข้ามเป็นคู่ ๆ รูปรี ปลายและโคนใบแหลม ขอบเรียบหรือหยักมน ห่าง ๆ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด หรือปลายกิ่ง ช่อดอกเรียงเป็นชั้น ๆ ชั้นละ 2 ช่อดอก แต่ละ 1 ช่อดอก ประกอบด้วย 3 ดอกย่อย ดอกตรงกลางจะบานก่อน แต่ละดอกย่อยจะมีใบประดับสีเขียว และจะคงอยู่จนเป็นผล ส่วนกลีบดอกสีขาว กลีบดอกร่วงง่าย ผล เป็นผลแห้งภายในมี 4 ผลย่อย มักเรียกผลว่าเมล็ด

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ใบสด มีกลิ่นหอม นิยมใช้แต่งกลิ่นอาหาร และใช้ปรุงอาหารหลายอย่าง เช่น แกงเลียง ขนมจีนน้ำยา น้ำมันหอมระเหย ใช้ผสมในน้ำหอม แต่งกลิ่นสบู่และเครื่องสำอาง

สรรพคุณทางยา

น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 1:50,000 มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ mycobacteria ซึ่งอยู่ภายนอกร่างกาย

ใบสด

สกัดด้วยอีเทอร์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดหนอง และเชื้อโรคที่ทำให้ท้องร่วง น้ำคั้นจากใบสด แก้หวัด หลอดลมอักเสบในเด็ก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อตามผิวหนังชั้นนอก จึงใช้ใบตำพอก และทาแก้โรคผิวหนังได้ แพทย์แผนโบราณใช้ใบแมงลักรักษากลากน้ำนมบนใบหน้าเด็ก โดยใช้ใบสด 10 ใบ ล้างให้สะอาด ตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นน้ำทาบริเวณที่เป็นกลากน้ำนม ซึ่งมักเป็นผื่นแดง โดยทาวันละครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก็หาย

ทั้งต้น

ใช้ชับลม ขับเหงื่อ ต้มกับน้ำดื่มแก้ไอ และแก้โรคทางเดินอาหาร

เมล็ด

  • ใช้เป็นยาระบาย โดยไปเพิ่มปริมาณของกากอาหาร (bulk laxative) กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพราะเปลือกเมล็ดหรือผลมีสารเมือก (mucilage) เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เมือกจะไม่ถูกย่อย จึงช่วยเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นเมือกยังช่วยหล่อลื่นและทำให้อุจจาระอ่อนตัว ช่วยให้ถ่ายสะดวก
  • ลดความอ้วน เมื่อรับประทานแล้ว สารเมือกจากเปลือกผล (mucilage) จะไม่ถูกย่อย และไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จึงใช้รับประทานก่อนอาหาร หรือรับประทานในมื้อที่ต้องการจะงดอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะว่าง โดยใช้เมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำแก้วใหญ่จนพองเต็มที่ รับประทานก่อนนอนเป็นยาระบาย หรือรับประทานแทนอาหารบางมื้อเป็นยาลดความอ้วน บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลผ่านผนังลำไส้หลังรับประทานอาหาร ช่วยให้ลำไส้ผู้ป่วยโรคเบาหวานดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสโลหิตช้าลง คือ ช่วยให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

สารสำคัญ :

ใบ มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย camphor 65%, citronella 15.7%, linalool 10.2%, methyl cinnamate และ eugenol เมล็ดมี mucilage

ข้อควรระวัง :

ในการแช่เมล็ดแมงลักให้พองตัวเต็มที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมากพอ เพราะถ้าเมล็ดแมงลักพองตัวไม่เต็มที่ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเมือกเมล็ดจะไปดูดน้ำในกระเพาะอาหาร และลำไส้เพื่อให้พองเต็มที่ จะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และอุจจาระแข็งทำให้ท้องผูกมากยิ่งขึ้น

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Momordica charantial Linn.
วงศ์ : Cucurbitaceae
ชื่ออังกฤษ : Balsam pear, Bitter cucumber, Bitter gourd, Carilla fruit, Balsam apple, African cucumber
ชื่อท้องถิ่น : ผักเหย (สงขลา) ผักไห (นครศรีธรรมราช) มะห่อย มะไห่ (ภาคเหนือ) สุพะซู สุพะเด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะร้อยรู (ภาคกลาง) มะระ (ทั่ว ๆ ไป)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

มะระขี้นกเป็นไม้เถามีขน พันเลื้อย มีมือเกาะ ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปฝ่ามือ กว้างและยาวประมาณ 4-7 ซม. ก้านใบยาว ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึก 5-7 แฉก ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ต่างดอก แต่อยู่บนต้นเดียวกัน ก้านดอกยาว กลีบดอกเหลือง ดอกใหญ่ประมาณ 1-1.5 ซม. ผล เป็นรูปกระสวย ผลสดภายนอกสีเขียวขรุขระ รสขมจัด ภายในมีเมล็ดแบน ๆ สีเหลืองอ่อนฝังอยู่ในเนื้อสีนวลขาวเป็นฟ่าม ๆ มีอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อผลสุกเนื้อของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อในที่เมล็ดฝังอยู่จะเละนิ่มเป็นสีแดง ผลยาว 4-6 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางผล 2.5-3 ซม.

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ราก เถา ใบ ผล และเมล็ด ใช้สดหรือตากแห้ง

เนื้อผล เป็นยาขมเจริญอาหาร บำรุงน้ำดี แก้โรคม้ามและตับ ขับพยาธิ น้ำคั้นจากผงสดเป็นยาระบายอ่อน ๆ อมแก้ปากเปื่อย ผลเป็นยาเย็นแก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ตาสว่าง แก้ตาบวมแดง แก้แผลบวมเป็นหนอง ฝีอักเสบ แก้บิด วิธีใช้ ผลสด ต้มรับประทานครั้งละ 6-15 กรัม หรือผิงไฟให้แห้งบดเป็นผงรับประทาน

เมล็ด รสขมชุ่ม คั้นเอาน้ำกินเป็นยากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เพิ่มพูนลมปราณ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง โดยใช้เมล็ดแห้ง 3 กรัม ต้มน้ำดื่ม

ใบ แก้โรคกระเพาะ บิด แผลฝีบวมอักเสบ ขับพยาธิ โดยใช้ใบสด 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม หรือใบแห้งบดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง พอก หรือคั้นเอาน้ำทา

ราก รสขมเย็นจัด ใช้แก้ร้อนใน แก้พิษ บิดถ่ายเป็นเลือด แผลฝีบวมอักเสบ แก้ปวดฟัน โดยใช้รากสด 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง

เถา รสขมเย็นจัด ใช้แก้ร้อน แก้พิษ แก้ฝีอักเสบ แก้ปวดฟัน ใช้เถาแห้ง 3-12 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้างหรือตำพอก

 ตำรับยา :

  • แก้ไข้ที่เกิดจากกระทบความร้อน ใช้ผลสดควักไส้ในออกใส่ใบชาเข้าไปแล้วประกบกัน นำไปตากให้แห้งในที่ร่ม รับประทานครั้งละ 6-10 กรัม โดยต้มน้ำดื่มหรือชงน้ำดื่มต่างชาก็ได้
  • แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ผลสด 1 ผล ขูดไส้ออก หั่นฝอยต้มน้ำดื่ม
  • แก้บิด ใช้น้ำคั้นจากผลสด 1 แก้ว ผสมน้ำดื่ม
  1. แก้บิดเฉียบพลัน ใช้ดอกสด 20 ดอก ตำคั้นเอาน้ำมาผสมน้ำผึ้งพอสมควรดื่ม บิดถ่ายเป็นเลือดก็เพิ่มข้าวแดงเมืองจีน (อั่งคัก Monascus pur-pereus Wet.) อีก 2-3 กรัม บิดมูกให้เพิ่มอั๊กชัว (ยาสำเร็จรูปชนิดหนึ่ง) 10 กรัม ผสมน้ำสุกรับประทาน
  2. แก้บิดปวดท้อง ถ่ายเป็นเมือก ใช้รากสด 60 กรัม น้ำตาลกรวด 60 กรัม ต้ม น้ำดี ถ่ายเป็นเลือด ใช้รากสด 120 กรัม ต้มน้ำดื่ม
  3. แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือด ใช้เถาสด 1 กำมือ แก้บิดมูกใส่เหล้าต้มดื่ม แก้บิดเลือด ให้ต้มน้ำดื่ม
  • แก้แผลบวม ใช้ผลสดตำพอก
  • แก้ปวดฝีใช้ใบแห้ง บดเป็นผงชงเหล้าดื่ม แก้ฝีบวมอักเสบ ใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น หรือใช้รากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำพอก
  • แผลสุนัขกัด ใช้ใบสดตำพอก
  • แก้ปวดฟัน ใช้รากสดตำพอก
  • ขับพยาธิ ใช้ใบสด 120 กรัม ตำคั้นเอาน้ำดื่ม นอกจากนี้ยังใช้เมล็ด 2-3 เมล็ด รับประทานขับพยาธิตัวกลม
  • แก้คัน แก้หิดและโรคผิวหนังด่าง ใช้ผลแห้งบดเป็นผง ใช้โรยแผล แก้คันหรือทำเป็นขี้ผึ้ง ใช้ทาแก้หิด และโรคผิวหนังต่าง ๆ

สารสำคัญ :

ผลมี charantin (b-sitosterol-b-D-glucoside กับ 5, 25 stigmastadiene 3 b-ol-b-D-glucoside), serotonin และ amino acids เช่น glutamic acid, alanine, phenylalanine, proline, a-aminobutyric acid, citrulline, galacturonic acid เมล็ด มีไขมัน (ประกอบด้วย butyric acid, palmitic acid, stearic acid, oleic acid), a-elaeostearic acid, momordicine, protein ใบ มี momordicine

ข้อควรระวัง :

ผลสุก ไม่ควรรับประทาน เพราะมี saponin สูงจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia angustifolia Vahl.Cassia acutifolia Delile
วงศ์ : Caesalpiniaceae
ชื่ออังกฤษ : India senna, Tinnevelly senna และAlexandria senna, Nubia senna
ชื่อท้องถิ่น :

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 0.5-1.5 เมตร ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย ใหญ่และยาวกว่าใบมะขามเล็กน้อย รูปใบยาวปลายใบแหลมสีเขียวอ่อนกว้างประมาณ 0.7-1 ซม. ดอก ใหญ่สีเหลืองสวย เป็นช่อ บานจากล่างไปบน ผล เป็นฝัก แบน บาง โค้งเล็กน้อย ฝักอ่อนสีเขียวแก่จัดสีน้ำตาล เมล็ดแบน ฝักมี 6-12 เมล็ด

ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ :

ใบ และ ฝัก มะขามแขกเป็นยาระบาย รักษาคนไข้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากลำไส้ใหญ่ไม่เคลื่อนไหว

แก้อาการท้องผูก

ใบที่เก็บก่อนมีดอก ตากแห้ง 3-10 กรัม หรือฝักแห้ง 2 กรัม (4-5 ฝัก) ชงน้ำร้อนทิ้งไว้ 10 นาที ดื่มก่อนนอน

สารสำคัญ :

ฝักและใบมะขามแขกมีสารสำคัญ เป็นสารจำพวกแอนทราควิโนนส์หลายชนิด ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ได้แก่ sennoside A B C และ D, emodin, rhein สารประกอบอื่น เช่น chrysophanol, kaempferol และ essential oil

ข้อควรระวัง :

  1. เมื่อรับประทานแล้วมักเกิดอาการไซ้ท้อง อาจช่วยบรรเทาได้โดยรับประทานสมุนไพรขับลมร่วมด้วย เช่น กระวาน กานพลู ขิง อบเชย เพื่อบรรเทาอาการไซ้ท้อง และฝักมะขามแขกจะมีน้ำตาลสูงกว่าในใบทำให้อาการไซ้ท้องลดลง
  2. สตรีมีครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร สตรีที่มีประจำเดือน และเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ห้ามรับประทาน
  3. ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะจะเกิดความเคยชินกับยา ถ้าไม่ใช้จะไม่ถ่าย พบว่ามีการทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้
  4. ถ้าใช้นานจะทำให้ขาดโพแทสเซียม ถ้าจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรรับประทานโพแทสเซียมด้วย