ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา

กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร

ขอบคุณภาพประกอบจากhttps://intothegloss.com/2015/12/microbeads-in-beauty-products/

ไมโครบีดส์ (Microbeads) หรือเม็ดพลาสติกขนาดเล็ก ซึ่งผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดต่างๆ เช่น ครีมอาบน้ำ เจลหรือโฟลล้างหน้า ยาสีฟัน โดยอ้างว่าใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดนั้น เป็นภัยเงียบต่อสิ่งแวดล้อมมาช้านาน เนื่องจากพวกมันมีขนาดเล็กกว่า 5 มิลิเมตร หรือแทบจะเล็กกว่าเม็ดทรายเสียอีก ดังนั้นพวกมันจึงถูกชะล้างลงไปตามท่อระบายน้ำและสามารถเล็ดลอดจากการระบบบำบัดน้ำเสียลงไปสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติเช่น แม่น้ำ ลำคลอง หรือแม้แต่ท้องทะเลได้อย่างไม่ยากนัก

เมื่อเจ้าไมโครบีดส์จำนวนมหาศาลหลุดรอดไปยังแหล่งน้ำตามธรรมชาติแล้ว ก็จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหาร โดยพวกมันจะถูกกินเข้าไปโดยสัตว์น้ำต่างๆ เนื่องจากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร  และสัตว์น้ำก็อาจถูกกินโดยสัตว์อื่นๆ เช่น นก ซึ่งนั่นก็ทำให้ไมโครบีดส์ต่างๆ เหล่านี้ถูกสะสมอยู่ในตัวสัตว์ต่างๆ และเมื่อเรารับประทานสัตว์น้ำที่กินไปไมโครบีดส์เข้าไป เจ้าไมโครบีดส์ก็จะย้อนกลับเข้ามาสะสมในร่างกลายของเราในที่สุด และสิ่ง  ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ระหว่างทางที่เจ้าไมโครบีดส์ เดินทางผ่านท่อระบายน้ำลงสู่แหล่ง น้ำ ตัวมันจะดูดซับสิ่งสกปรกและเชื้อโรคหลากหลายชนิดเอาไว้ ซึ่งทำให้มันสกปรกและมีเชื้อโรคมากกว่าในแหล่งน้ำรอบตัวมันเสียอีก ซึ่งเมื่อร่างกายของเรามีปริมาณไมโครบีดส์ที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคมากขึ้น ก็จะทำให้เราเจ็บป่วยในที่สุด

นอกจากนี้งานวิจัยจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ไมโครบีดส์นั้น ไม่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดเลย และการหลุดรอดของเม็ดไมโครบีดส์สู่แหล่งน้ำในรัฐนิวยอร์กเพียงรัฐเดียว คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 19 ตันต่อปี และเมื่อไมโครบีดส์อยู่ในแหล่งน้ำ มันจะดูดซึมสารเคมีเป็นพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะพอลิคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีอินทรีย์ที่มีคลอรีนเป็นองค์ประกอบ สารเคมีเหล่านี้จะส่งผลต่อร่างกายโดยไปขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อและเป็นสารก่อมะเร็ง  เห็นไหมว่า ไมโครบีดส์นี้นับได้ว่า เป็นภัยเงียบอย่างแท้จริง ซึ่งหลายประเทศได้มีการยกเลิกการใช้ไมโครบีดส์เหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ แล้ว  สำหรับในประเทศไทย แม้ว่าจะยังไม่มีการยกเลิกการใช้ไมโครบีดส์อย่างจริงจัง แต่เราในฐานะผู้ซื้อก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมตามแนวทางศาสตร์พระราชา โดยเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่เป็นอันตรายกับสัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบตัว

อ้างอิงจาก https://intothegloss.com/2015/12/microbeads-in-beauty-products/

นายพงศกร นิตย์มี
นักทดลองวิทยาศาสตร์วิจัย
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์

     วว. ได้มีความร่วมมือกับ Yunnan Academy of Science and Technology Development (YASTD) ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีกำหนดจะจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ เรื่อง Invitation of International Workshop on Tea Cultivation and Processing Technology for South and Southeast Asian ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน 2560 ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน

     ผู้เขียนในฐานะนักทดลองวิทยาศาสตร์วิจัย ประจำสถานีวิจัยลำตะคอง ซึ่งอยู่ภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ได้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ เรื่อง Invitation of International Workshop on Tea Cultivation and Processing Technology for South and Southeast

     ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เดินทางไปต่างประเทศเพียงคนเดียว ต้องขอยอมรับเลยว่า ตอนแรกก็มีอาการกลัวมาก เกี่ยวกับการเดินทางและการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เพราะระยะเวลาในอบรมใช้เวลาถึง 20 วัน ในความรู้สึกที่ต้องไปเข้าอบรม นอกจากกลัวแล้วคือ ทำไมนานจังและประสบการณ์แบบนี้มีน้อยมาก แต่เนื่องจาก มีรุ่นพี่ที่ทำงานค่อยช่วยเหลือทางด้านการติดต่อสื่อสารกับทางสาธารณรัฐประชาชนจีน และคอยแนะแนวทางในการใช้ชีวิตระหว่างที่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้ผู้เขียนเกิดความมั่นใจในการที่จะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ยังต่างประเทศ ต้องขอขอบพระคุณ ดร. ปราโมทย์ ไตรบุญ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ค่อยให้การช่วยเหลือกระผมตลอดมา

     จากรายชื่อผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม พบว่า ประเทศไทยได้มีผู้เขียนเพียงคนเดียวที่มาอบรมในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าโดดเดียวมากครับ เพราะว่า ประเทศอื่น ๆ มากันเป็นทีม แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เรามีการทำกิจกรรม มีการออกมาพูดตามหัวข้อที่ทางผู้จัดได้กำหนด และมีการรวมกลุ่ม ทำให้ทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น


กระผมได้บรรยายในหัวข้อ The research condition of tea industry and situation in Thailand. ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความสนใจมาก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการทำตลาดชามาก และประกอบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากทางภาครัฐและเอกชน ทำให้อนาคตอาจมีความร่วมทางด้านการวิจัยและการพัฒนาทางด้านการผลิตชา

ภาพบรรยากาศ หลังจากการฝึกปฏิบัติการตรวจสอบคุณสมบัติของชาในแต่ละประเภท ซึ่งมีให้ตรวจสอบมากมาย

การทดสอบคุณสมบัติของชาแต่ละประเภท เช่น กลิ่น รสชาติ ลักษณะภายนอก เป็นต้น
ซึ่งได้แบ่งกลุ่มและร่วมกันตรวจสอบ

การฝึกทำชา แบบลักษณะก้อนเค้ก ซึ่งกระผมได้ทำเองกับมือทุกขั้นตอน และทางผู้จัดได้ให้กลับบ้านเป็นของที่ระลึก

การบรรยายในแต่ละหัวข้อในแต่ละวัน

เพื่อนใหม่ที่สนิทในกลุ่ม เช่น มาเลเซีย เนปาล เป็นต้น

การกล่าวความรู้สึกสำหรับการฝึกอบรมในครั้งนี้
สำหรับพิธีการ ปิดการฝึกอบรม ผมก็ได้รับโอกาสเช่นกัน

     ประสบการณ์ที่ได้ไปเข้าอบรมครั้งนี้ จากความกลัว ตื่นเต้น กังวล กลายเป็นความรู้สึกที่ดี ประทับใจ ขอบคุณ วว. พี่ๆ ผู้สนับสนุนทุกท่าน เพราะสิ่งที่ได้รับ… นอกจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องการวิจัยและการพัฒนาของชาแล้ว ความร่วมมือในอนาคตระหว่างนักวิจัยและหน่วยงานต่างๆคงจะเกิดขึ้นในอนาคต

     โดยส่วนตัว ผู้เขียนยังได้มีการพัฒนาตนเองทั้งเรื่องภาษา การปรับตัว การนำเสนอผลงาน และที่สำคัญได้คำว่า “ มิตรภาพและความร่วมมือ” ตลอด 20 วัน มีการช่วยเหลือกันและกัน ความผูกพันค่อยๆสานต่อจนเรียกได้ว่ามีเพื่อนจากหลากหลายประเทศที่ต่างวัฒนธรรม เพื่อนแต่ละคนมีสัญญาใจกันว่า ถ้าเพื่อนคนไหนมาเยือนประเทศตัวเอง ต้องมีการดูแลกันอย่างดี การติดต่อสื่อสารในยุคนี้ ไม่ยากเลยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนนาน

ทั้งหมดนี้คือความประทับใจที่คนทำงานตัวเล็กๆ ได้ถ่ายทอดจากใจ

     ขอบคุณ วว. ที่ให้โอกาสเปิดหู เปิดตา และเปิดใจ

เพ็ญศรี สมประจบ

กองสื่อสารภายใน

       ครู นับเป็นทรัพยากรบุคคลอันสำคัญในการพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นเยาวชนที่ดี มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต การส่งเสริมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โครงการ “กิจกรรมดีๆ CSR พัฒนาครูวิทย์ ตามแนวคิด Thailand 4.0” จึงเกิดขึ้น โดยดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานคณะทำงาน CSR วว. กล่าววัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการ คือ

  • เพื่อพัฒนาศักยภาพครูวิทยาศาสตร์ให้มีแนวคิด ทัศนคติ และองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการถ่ายทอดความรู้สู่เยาวชนต่อไป
  • เพื่อส่งเสริมให้ครูวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยโดยตรง เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์โดยตรงให้แก่ครูผู้สอน
  • เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงาน วว. กับชุมชนและสถานศึกษาในจังหวัดปทุมธานีและพื้นที่ใกล้เคียง
  • เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วว. ไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการเผยแพร่ผลงาน วว. ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

วันที่เริ่มโครงการ วว. ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล กรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เป็นประธานการเปิดงานท่านกล่าวว่า ฐานรากสำคัญของความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากบุคลากรที่เป็นฟันเฟืองสำคัญ คือ “ครูวิทยาศาสตร์” ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันเยาวชนให้เกิดความรู้ ความสนใจและใฝ่รู้ด้านวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น”

 การดำเนินโครงการและการเยี่ยมชม ศึกษา ดูงาน

       ผู้บริหารและคณะทำงานโครงการ CSR ได้ศึกษาข้อมูลและพิจารณาคัดเลือกครูที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนต่างๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) คลองห้า จังหวัดปทุมธานี โรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ และโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงสถานีวิจัยลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา รวมครูที่เข้าร่วมกิจกรรม CSR ในครั้งนี้จำนวน 25 ท่าน โดย วว. ได้นำคณะครูเข้าเยี่ยมชม ศึกษา ดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ จากฐานเรียนรู้ของ วว. ได้แก่

  • ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรม
  • ศึกษาดูงานห้องปฏิบัติการต่างๆ

   นอกจากมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในห้องเรียนแล้ว    คณะครูยังได้ไปเยี่ยมชม ศึกษา  และดูงาน ณ สถานีวิจัยลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา เป็นหน่วยงานอีกแห่งหนึ่งของ วว. ที่ส่งเสริมความรู้เชิงวิชาการเกี่ยวกับสมุนไพร การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรหลากหลายชนิด โดย วว. ได้ทำการศึกษา ค้นคว้าคุณสมบัติและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรชนิดต่างๆ อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สถานที่ๆ ไปเยี่ยมชม ศึกษาดูงาน ณ สถานีวิจัยลำตะคอง ได้แก่

  1. แปลงสาธิตการปลูกพืชเชิงระบบ
  2. แปลงรวบรวมพันธุ์มะขามป้อม
  3. บล็อกประสาน วว.
  4. กระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
  5. แปลงผักพื้นบ้าน
  6. อาคารสมุนไพร

 ประโยชน์ที่ได้รับ

ครูวิทยาศาสตร์ได้รับการพัฒนาศักยภาพ เพิ่มองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยโดยตรง ครูสามารถนำความรู้ไปต่อยอดและถ่ายทอดให้แก่เยาวชน ได้เรียนรู้เรื่องราวด้านวิทยาศาสตร์จากประสบการณ์จริง ส่งเสริมครูให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้น เด็กก็ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงาน วว. กับชุมชนและสถานศึกษาบริเวณใกล้เคียงเทคโนธานี คลองห้า จังหวัดปทุมธานีอีกด้วย จากการติดตามผลเบื้องต้นพบว่า ครูหลายโรงเรียนได้นำประสบการณ์ไปถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ ทำให้เด็กมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลายมากขึ้นจากในตำรา

ดร. คนึงนิจ  บุศราคำ
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์, วว.

 

     เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมโครงการ “100 ปี ธงไตรรงค์ ดำรงไทย”  ที่จัดขึ้น ณ วว. เทคโนธานี คลอง 5 ซึ่ง วว. ได้รับเกียรติจากผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย คุณพฤติพล  ประชุมพล และทีมงาน นำของสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับธงชาติไทยมาจัดแสดง พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวอันน่าสนใจเกี่ยวกับประวัติของธงชาติไทยของเราให้ชาว วว. ได้ฟังกัน ซึ่งภายหลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายของท่านผู้อำนวยการฯ ผู้เขียนรู้สึกประทับใจและอยากถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวประวัติของธงชาติไทยให้ผู้ที่พลาดโอกาสเข้าร่วมฟังในวันนั้นได้อ่านใน TISTR Blog นี้ค่ะ

AOR

กำเนิดธงไตรรงค์

 

     อดีตที่ผ่านมาเนเธอร์แลนด์ได้เข้ามาทำการค้าในแดนสุวรรณภูมิเป็นประเทศแรกๆ  ซึ่งเส้นทางการคมนาคมขนส่งคือทางน้ำ  ครั้นเมื่อเรือรบฝรั่งเศสได้เดินทางเข้ามาในน่านน้ำ ณ ดินแดนสยาม และมีความประสงค์ในการให้เกียรติประเทศเรา  จึงได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ป้อมปราการให้แสดงธงประจำชาติเพื่อการยิงปืนทำความเคารพตามอารยธรรมของชนชาติตะวันตก   แต่ด้วยความที่ประเทศเราไม่มีวัฒนธรรมดังกล่าวจึงได้เชิญธงของประเทศเนเธอร์แลนด์ขึ้นสู่ป้อมปราการดังกล่าว  ยังความขุ่นเคืองให้กับทหารฝ่ายฝรั่งเศส  จนทำให้ฝ่ายไทยต้องเชิญธงประเทศเนเธอร์แลนด์ลง แต่ด้วยความรีบระคนกับตกใจทหารประจำป้อมจึงได้เปลี่ยนไปใช้ธงเดินเรือแทนธงชาติเนเธอร์แลนด์   นี่จึงเป็นการใช้ธงชาติครั้งแรกของไทย    ส่วนสาเหตุที่ธงเดินเรือในสมัยก่อนเป็นสีแดงเนืองจากสีแดงเป็นสีที่เห็นชัดที่สุด

     ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีการอาศัยกันแบบบ้านพี่เมืองน้องไป   ประชาชนของแต่ละประเทศสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันตามอัธยาศัย  ต่อมาเมื่อถึงยุคล่าอาณานิคม    การแบ่งแยกดินแดนโดยประเทศผู้ล่าฯ ทำให้วิถีชีวิตของคนในแถบนี้เปลี่ยนไป   คือ มีการกำหนดเขตแดนกันชัดเจนระหว่างประเทศนักล่าอาณานิคม คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส    ย้อนกลับมาที่ความเชื่อของคนไทยในอดีตที่ว่าพระมหากษัตริย์นั้นคือ องค์อวตารของพระนารายณ์  ซึ่งพระนารายณ์มีหัตถ์ 4 กร ถือ จักร สังข์ คทา และดอกบัว  ซึ่งจักรนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์จักรี  ดังนั้นจึงมีการนำสัญลักษณ์จักรใส่ไว้ตรงกลางธงสีแดง   อย่างไรก็ตาม ธงพื้นแดงกับจักรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์และพระมหากษัตริย์   ซึ่งประชาชนคนธรรมดาไม่สามารถนำไปใช้ได้

     สมัยรัชกาลที่ 2   เป็นยุคที่บ้านเมืองสงบสุข  และมีการจับช้างเผือกได้ทั้งสิ้น 3 ตัว  ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่หายาก  นำไปสู่การใช้รูปช้างลงไปบนธง  ทำให้สมัยนี้ธงชาติประกอบไปด้วย ธงพื้นแดง จักร และช้างเผือก กลางจักร  กลางธง   ซึ่งธงนี้ประชาชนทั่วไปนั้นไม่สามารถนำไปใช้ได้เช่นกัน     ดังนั้นในหลวงรัชกาลที่ 3  จึงทรงให้มีการจัดทำธงที่ราษฎรสามารถนำไปใช้ได้   โดยการนำเอาสัญลักษณ์จักรออกจากธง     ดังนั้นในรัชกาลที่ 3 นี้ ธงประจำชาติมี 3 แบบ คือ ธงสำหรับพระมหากษัตริย์ (ธงพื้นขาบ (น้ำเงินอมม่วง) ตรงกลางธงธงพื้นแดง ตรงกลางมีสัญลักษณ์จักรและช้างเผือก)  ธงสำหรับราชวงศ์ (ธงพื้นแดง ตรงกลางมีสัญลักษณ์จักรและช้างเผือก)  และธงสำหรับราษฎร (ธงพื้นแดงและตรงกลางมีรูปช้างเผือก)

     สมัยรัชกาลที่ 4  เป็นยุคที่สยามประเทศทำการค้ากับชาติตะวันตกหลายประเทศ  โดยประเทศนั้นๆ ได้มีการตั้งสถานทูตขึ้นและมีการเชิญธงประจำประเทศตัวเองที่สถานทูตนั้นๆ  ทำให้ชาวบ้านเกิดการเข้าใจผิดคิดว่าสยามประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของชาติยุโรป   ส่งผลให้เกิดความแตกตื่นของราษฎรที่เกรงกลัวการโดนชาวต่างชาติทำร้ายและจับกุมตัวไป     ร้อนถึงในหลวงรัชกาลที่ 4 ต้องทรงแก้ปัญหาโดยการให้เอาธงเรือ (ธงพื้นสีแดง และช้างเผือกตรงกลางธง) ขึ้นมาปักตามบ้านเรือนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเรายังคงมีอธิปไตย   โดยที่ชาวต่างชาตินั้นไม่มีสิทธิในการทำร้ายคนไทย   จึงนับเป็นการใช้ธงบนบกเป็นครั้งแรกในสยามประเทศ   อย่างไรก็ตาม การทำธงในสมัยก่อนนั้นต้องอาศัยการวาดรูปช้างบนผืนธง  ทำให้รูปช้างนั้นมีหลายลักษณะและไม่สง่างาม

     สมัยรัชกาลที่ 5  เนื่องจากปัญหาความไม่สง่างามของรูปช้างบนผืนธง  ส่งผลให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 นั้นมีการออกพระราชบัญญัติธงในปี พ.ศ. 2434  ซึ่งนับว่าเป็นกฎหมายธงฉบับแรกของสยามประเทศ  โดยมีข้อกำหนดให้สัญลักษณ์ช้างเผือกบนผืนธงนั้นมีลักษณะไปในทางเดียวกัน    ต่อมาในรัชสมัยของในหลาวงรัชกาลที่ 6  พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ในการนำเอารูปช้างเผือกออกจากผืนธงเพื่อความเป็นสากล  แต่โดนทัดทานจากเสนาบดีต่างๆ    จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2459 ทรงเสด็จพระราชดำเนินยังจังหวัดอุทัยธานี   ราษฎรได้ประดับธงเพื่อรอรับเสด็จ แต่เกิดความผิดพลาดในการขึ้นธงคือเกิดโดยขาช้างนั้นชี้ขึ้นข้างบนซึ่งเป็นการมิบังควร   ประกอบกับธงชาติดังกล่าวหาได้ยากชาวบ้านจึงมีการดัดแปลงใช้ผ้าริ้วแดงและขาว  โดยสีขาวนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนช้างเผือก  ใช้ประดับเพื่อรอรับเสด็จ   ในหลวงรัชกาลที่ 6  ทรงพระราชบัญญัติลงในหนังสือวชิราวุธานุสรณ์ในปี 2459  ว่าด้วยเรื่องธง  คือ กำหนดให้ธงที่ใช้ในการรับเสด็จนั้นเป็นธงริ้วขาวแดง  และธงที่ใช้ตามสถานที่ราชการคือ ธงพื้นแดงและมีรูปสัญลักษณ์ช้างเผือกตรงกลาง   โดยประกาศให้มีการใช้ธงทั้งสองดังกล่าวในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2459

     การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของสยามประเทศในรัชกาลที่ 6   นั้นก็นับเป็นอีกหนึ่งสามาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นของธงชาติ   เนื่องจากฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา  ซึ่งธงชาติของทั้ง 3 ประเทศประกอบไปด้วยสีแดง น้ำเงิน และขาว   เพื่อเป็นการสอดคล้องกับประเทศดังกล่าว  ในหลวงรัชกาลที่ 6  จึงรับสั่งให้นำสีน้ำเงินมาใช้ในธงชาติ   โดยสีน้ำเงินนี้เรียกว่าสีขาบ ซึ่งมีเฉดน้ำเงินอมม่วง)  ซึ่งเป็นที่มาของธงไตรรงค์   โดยมีการประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์ครั้งแรก ในวันที่ 24 กันยายน 2460

     ดังนั้นที่มาของธงไตรรงค์แต่ละสี ได้แก่ สีแดง มาจากสีของธงเรือที่ใช้ในสมัยก่อน  สีขาวมาจากสีของช้างเผือก และสีน้ำเงินมาจากสีของธงชาติพันธมิตร   โดยความหมายของแต่ละสีนั้นในหลวงรัชกาลที่  6  ทรงเป็นผู้พระราชทานความหมายดังนี้ คือ  สีแดง หมายถึงสีของโลหิตของบรรพบุรุษที่ปกป้องผืนแผ่นดินสยามให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม  สีขาว หมายถึงธรรมที่สอนให้ทุกคนเป็นคนดี  และสีน้ำเงิน หมายถึงสีของพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงสีประจำวันพระชนมวาร ของในหลวงรัชกาลที่ 6

     พระราชบัญญัติธงชาติฉบับที่ใช้ อยู่ปัจจุบันคือฉบับประกาศในปี 2522 โดยมีการกำหนดสัดส่วนชัดเจนคือ กว้าง คูณ ยาว เท่ากับ 6 คูณ 9 ส่วน  แบ่งเป็น แดง/ขาว/น้ำเงิน/ขาว/แดง เท่ากับ 1/1/2/1/1 ตามลำดับ   ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการประกาศใช้ธงไตรรงค์คือ การนำไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่  1 ปัจจุบันตามพระราชบัญญัติธงปี 2522 ธงชาติไทย มี 2 แบบ คือ

  1. ธงไตรรงค์
  2. ธงราชนาวี คือ ธงไตรรงค์ที่มีรูปช้างเผือกกลางธง

     สาเหตุที่ต้องมีธงชาติชนิดที่ 2 คือ  ในข้อตกลงนานาชาติว่าด้วยเรื่องการเดินทะเล  คือ เรือหนึ่งลำนั่นหมายถึง อธิปไตย ของเรือลำนั้นๆ   ดังนั้นเท่ากับเป็นการประกาศเอกราชเหนือน่านน้ำ   ดังนั้นเรือรบหลวงจึงต้องมีธงประกาศเอกราชเหนือน่านน้ำ

     ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีการประกาศให้วันที่ 28 กันยายน เป็นวันประดับธงชาติไทย และในปี 2560 นี้ ก็จะครบรอบ 100 ปี การประกาศใช้ไตรรงค์ธงชาติไทยค่ะ

     และทั้งหมดนี้ก็คือ ประวัติคร่าวๆ เกี่ยวกับธงชาติไทย จากกิจกรรม “100 ปี ธงไตรรงค์ ดำรงไทย” ที่ผู้เขียนเก็บมาฝากค่ะ

02_Thai flag timeline_edit_190760