กล้วยหอม เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ปลูกมากในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร เพชรบุรี นครปฐม ราชบุรี ปทุมธานี ฯลฯ

กล้วยหอมสามารถเป็นสินค้าส่งออกระดับประเทศ เพราะกล้วยหอมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น

สรรพคุณของกล้วยหอม : แก้โรคท้องผูก โรคลำไส้ โรคซึมเศร้า โรคโลหิตจาง เป็นต้น

จากสรรพคุณที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จึงได้พัฒนาสูตรน้ำกล้วยหอมพร้อมดื่ม เพื่อช่วยเหลือชาวเกษตรกรที่ปลูกกล้วยหอม ในช่วงฤดูที่กล้วยหอมออกผลผลิตมามากเกินความต้องการของตลาด

ซึ่งหากสนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวหลักสูตรการผลิตน้ำกล้วยหอมพร้อมดื่ม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณปุณณภา บุญยะศักดิ์ ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โทร 0 2577 9131 โทรสาร 02 577 9130

ขั้นตอนการผลิตน้ำกล้วยหอมพร้อมดื่ม

  1. ตัดกล้วยหอมออกเป็นลูก ๆ
  2. ล้างน้ำสะอาด จากนั้นนำไปนึ่งเป็นเวลา 8 นาที
  3. ปอกเปลือกเอาแต่เนื้อกล้วย โดยใช้กล้วย 3 กิโลกรัม และซิตริก 1%
  4. นำไปใส่เครื่องปั่น นาน 2-3 นาที โดยใช้อัตราส่วนสำหรับ กล้วยบดละเอียด : น้ำสะอาด เป็น 1:4
  5. จากนั้นทำการกรอง
  6. นำน้ำกล้วยที่ได้จากการกรอง 11 กิโลกรัม ไปตั้งไฟที่อุณหภูมิ 80-90 องศาเซลเซียส
  7. ผสมน้ำตาลทรายขาว 650 กรัม + แซนแทนกัม 0.1%
  8. ทำการกรอง
  9. แล้วจึงนำกลับไปตั้งไฟที่อุณหภูมิ 80-90 องศาเซลเซียสต่อ
  10. จากนั้นจึงบรรจุใส่ภาชนะ

ที่มา : ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

แยม

หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อผลไม้ หรือ น้ำผลไม้ และปรุงรสให้มีความหวาน เช่น ใช้น้ำตาลทรายปรุงรส แล้วนำมาให้ความร้อนเพื่อระเหยน้ำ และทำให้มีความหนืดข้นพอเหมาะ อาจมีส่วนผสมของเนื้อผลไม้บ้างตามชอบ

คุณลักษณะของแยมที่ดี

แยมที่ดีต้องมีลักษณะข้นเหนียวหรือเหลวพอเหมาะสำหรับใช้ทาขนมปัง มีสี กลิ่น รส ตามชนิดของผลไม้ที่ใช้ และทำให้มีความหวานไม่ต่ำกว่า 65 บริกซ์ โดยใช้เครื่องรีแฟรคโตมิเตอร์ ในการวัด และมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในระหว่าง 2.8-3.5

ส่วนผสม

  • เนื้อกล้วยน้ำว้า 50 กรัม
  • เนื้อมะเขือเทศ 50 กรัม
  • น้ำสะอาด 200 กรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 150 กรัม
  • น้ำมะนาว 15 กรัม
  • เกลือ 1 กรัม
  • เพคติน 4 กรัม

วิธีทำ

  1. ปั่นกล้วยน้ำว้าและมะเขือเทศสดสุกกับน้ำสะอาดให้เนียนละเอียด
  2. นำส่วนผสมที่ปั่นใส่ภาชนะตั้งไฟ กวนเพื่อระเหยน้ำนานประมาณ 10 นาที
  3. นำน้ำตาลทรายที่ผสมผงเพคตินและเกลือใส่ลงกวนให้ละลาย กวนนานประมาณ 20 นาที
  4. เติมน้ำมะนาวลงไป กวนต่ออีก 10 นาที
  5. บรรจุขวดสะอาดในขณะที่แยมยังร้อนปิดฝาตั้งทิ้งให้เย็น

ที่มา : ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสนใจในเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ การรับประทานข้าวกล้องงอกจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยระบบย่อยอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้

การทำน้ำข้าวกล้องงอกจากข้าวสีนิล นอกจากจะได้ประโยชน์จาก สารกาบา ที่ได้จากการนำข้าวกล้องสีนิลมาทำให้งอกแล้ว ในข้าวกล้องสีนิลยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี2 และ ใยอาหาร ซึ่งพบในปริมาณที่สูงกว่าข้าวพันธุ์อื่น ๆ

สารกาบา หรือ Gamma amino butyric acide มีความสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท ช่วยรักษาสมดุลในสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์

ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของน้ำข้าวกล้องงอกจากข้าวสีนิลผสม

คุณค่าทางอาหารของข้าวสีนิล

ข้าวกล้องสีนิลอุดมไปด้วยวิตามิน บี1 บี2 วิตามินอี สังกะสี ทองแดง แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก (ซึ่งมีสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไป 30 เท่า) โปรตีน 12.5% (มากกว่าข้าวกล้องทั่วไป) เส้นใยอาหาร และคาร์โบไฮเดรต (ต่ำกว่าข้าวกล้องทั่วไป) ทั้งนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ แอนตี้ออกซิแตนท์ (Anti-Oxidant) สูงกว่าข้าวกล้องทั่วไป 7 เท่า

ประโยชน์ที่ได้รับ

  1. วิตามิน B1 ป้องกันเหน็บชา และ ช่วยการทำงานของระบบประสาท
  2. วิตามิน B2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก และ ช่วยเผาผลาญอาหาร
  3. วิตามิน E เป็นแอนตี้ออกซิแตนท์ ชะลอความชราของผิว รักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย ช่วยเผาผลาญอาหาร
  4. ไนอาซีน ช่วยการทำงานของระบบประสาท และระบบผิวหนัง
  5. แร่ธาตุเหล็ก แม็กนีเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ช่วยเสริมสร้าง กระดูกและฟัน ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
  6. เส้นใย ช่วยให้ถ่ายสะดวก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ ซับไขมัน ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล ป้องกันโรคไขมันสะสมในเส้นเลือด
  7. คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานต่อร่างกาย
  8. โปรตีน เสริมสร้าง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

ขั้นตอนเตรียมข้าวกล้องงอก

  1. เตรียมเมล็ดข้าวกล้องที่สดใหม่และมีเมล็ดสมบูรณ์ (เนื่องจากจะสามารถงอกได้ดี โดยเมล็ดข้าวกล้องต้องมีอายุไม่เกิน 1 ปี เพราะมีจมูกข้าวและเปลือกหุ้มเมล็ดอยู่)
  2. นำข้าวกล้องไปซาวน้ำและแช่น้ำไว้ 3-5 ชั่วโมง
  3. เทข้าวที่อุ้มน้ำใส่ผ้าสะอาดและมีความหนานุ่ม โดยอาจเลือกใช้ผ้าขาวบาง แล้วใช้ผ้าห่อคลุมให้มิดชิด แต่พอมีอากาศให้เมล็ดข้าวหายใจ ทิ้งไว้ข้ามคืน หรือ ประมาณ 10-12 ชั่วโมง
  4. ล้างทำความสะอาด
  5. ข้าวงอกพร้อมใช้

ขั้นตอนการเตรียมถั่วเหลืองและธัญพืชอื่น ๆ

  1.  นำถั่วเหลืองซีกธัญพืชอื่น ๆ มาทำความสะอาด
  2. แช่น้ำสะอาด ทิ้งไว้ข้ามคืน หรือ ประมาณ 8-10 ชั่วโมง (สามารถลดเวลาในการแช่ธัญพืช โดยการใช้น้ำอุ่น)
  3. ถั่วเหลืองและธัญพืชอื่น ๆ พร้อมใช้

สูตรอย่างง่าย

  1. ข้าวกล้องงอก 25 กรัม
  2. ถั่วเหลือง 20 กรัม
  3. งาดำ 10 กรัม
  4. น้ำตาลทรายแดง 25 กรัม
  5. น้ำสะอาด 500 กรัม

ขั้นตอนการทำ

  1. นำข้าวกล้องงอกและถั่วเหลืองไปนึ่งนาน 15-20 นาที
  2. เทลงโถปั่น
  3. เติมน้ำสะอาด
  4. ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  5. กรองด้วยกระชอนหรือผ้าขาวบาง
  6. ให้ความร้อนนาน 3-5 นาที
  7. เติมน้ำตาลทรายแดง
  8. คนให้เข้ากันก็จะได้น้ำข้าวกล้องงอกที่สามารถทำง่าย ๆ ได้เอง

เคล็ดลับความอร่อย

เพิ่มความอร่อยด้วยธัญพืชชนิดต่าง ๆ อาทิ ถั่วแดง ถั่วเขียว และลูกเดือย หรือ ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลทรายแดงเพื่อให้ความหวานก็ได้

ธัญญาพืช

สารอาหาร

สรรพคุณยาและคุณค่าทางอาหาร

ถั่วเหลือง

โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอะซิน เลซิติน และเส้นใยอาหาร

บำรุงม้าม ขับร้อน ถอนพิษ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก บำรุงระบบประสาทในสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและคอเรสเตอรอลในร่างกาย

ถั่วแดง

โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามิน วิตามินบี1 บี2 และเส้นใยอาหาร

บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท บำบัดอาการเหน็บชา อาการใจสั่น อาการปวดประจำเดือนผิดปกติ ช่วยขับพิษ ขับของเหลวในร่างกาย บรรเทาอาการปวดตามข้อต่อกระดูก

ลูกเดือย

โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 บี2 วิตามินอี ไนอะซิน และเส้นใยอาหาร

บำรุงม้าม ปอด ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงผิวพรรณและเส้นผม ตลอดจนยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

งาดำ

โปรตีน ไขมัน วิตามินบี วิตามินอี ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ทองแดง ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โครเมียม สังกะสี

บำรุงระบบประสาทในสมอง บำรุงผมและผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ตลอดจนบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ป้องกันอาการหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง และมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง

ที่มา : เอกสารประกอบหลักสูตร น้ำข้าวกล้องงอกจากข้าวสีนิล ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

สบู่ (Soap) เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากการนำเอาน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ผสมกับน้ำด่างที่ได้จากการนำเอาขี้เถ้ามาแช่น้ำ ทำขึ้นเพื่อใช้ทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้า

มีหลักฐานพบว่ามนุษย์รู้จักใช้สบู่มาตั้งแต่ 2800 ปี ก่อนคริสตกาล โดยคำว่า สบู่ (Soap) มาจากชื่อของภูเขา Sapo ในสมัยโรมัน ซึ่งเป็นที่ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เมื่อเกิดฝนตก น้ำฝนได้ชะเอาไขสัตว์มารวมกับขี้เถ้าแล้วไหลลงสู่แม่น้ำ เมื่อมีผู้หญิงนำเสื้อผ้าไปซักในแม่น้ำก็พบว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นซักออกได้ง่าย สบู่ในยุคต้นจึงมีไว้ใช้ทำความสะอาด หลังจากนั้นจึงได้มีการคิดค้นสบู่ขึ้นเพื่อใช้ในการชำระล้างร่างกาย

การผลิตสบู่ขั้นอุตสาหกรรมมีขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1790 จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1829 มีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสบู่

ปัจจุบัน สบู่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก และได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีการสังเคราะห์สารใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้เป็น สารชำระล้าง ทดแทนมากมาย

สบู่ตามความหมายของคำที่ใช้ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมายถึง เกลือโซเดียม (sodium salt) หรือ เกลือโพแทสเซียม (potassium salt) หรือ เกลือแอมโมเนียม (ammonium salt) หรือ เกลือเอมีน (amine salt) ของ กรดไขมัน (fatty acid) ของน้ำมัน หรือ ไขมันจากพืชหรือสัตว์ เป็นผลผลิตจากปฏิกิริยาระหว่างด่างกับไขมัน (Saponification) โดยได้กลีเซอรีน (glycerine) ผสมร่วมออกมาด้วย

ส่วนประกอบของการทำสบู่

เราสามารถทำสบู่อย่างง่าย ๆ ได้โดยการนำเอาน้ำมันหรือไขมัน มาผสมกับน้ำด่าง และให้ความร้อนเล็กน้อย (ประมาณ 40 องศาเซลเซียส) เพื่อช่วยในการทำปฏิกิริยา ลักษณะของสบู่ที่ได้จะขึ้นกับชนิดของน้ำมัน ไขมัน และด่างที่ใช้ ดังนี้

น้ำมัน/ไขมัน

  1. น้ำมันมะพร้าว (Coconut oil) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะแข็งและมีฟองมากเป็นครีม เหม็นหืนง่าย ทำให้ผิวแห้ง
  2. น้ำมันปาล์ม (Palm oil) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะสีขาวอมเหลือง ค่อนข้างแข็ง มีฟองน้อยแต่อยู่ทนนาน มีคุณสมบัติชำระล้างได้ดี แต่ทำให้ผิวแห้ง
  3. น้ำมันละหุ่ง (Castor oil) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะชุ่มชื้นและนุ่มผิว มีฟองขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้ผิวนุ่ม
  4. น้ำมันมะกอก (Olive oil) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะแข็งใช้ได้นาน ให้ฟองครีมที่นุ่มนวล ไม่ทำให้ผิวแห้ง
  5. น้ำมันจมูกข้าวสาลี (Wheat Germ oil) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะความชุ่มชื้น ให้ฟองมาก ไม่ทำให้ผิวแห้ง
  6. ไขมันวัว (Tallow) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะแข็งใช้ได้นาน สีขาว ให้ฟองขนาดเล็ก
  7. ไขมันแกะ (Tallow) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะแข็ง ฟองน้อย
  8. ไขมันหมู (Lard) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะเละ ต้องใช้ร่วมกับน้ำมันชนิดอื่น

ด่าง

  1. โซเดียมไฮดรอกไซด์ (Sodium hydroxide, Lye, Caustic soda, NaOH) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะแข็ง ใช้สำหรับทำก้อนสบู่
  2. โปแตสเซีมไฮดรอกไซด์ (Potassium hydroxide, KOH) สบู่ที่ได้จะมีลักษณะเหลว ใช้สำหรับทำสบู่เหลว

สารอื่น ๆ

  1. น้ำสะอาด ใช้ประมาณ 30% ของน้ำมัน หรือ อาจใช้ 2 เท่าของน้ำหนักด่าง
  2. น้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหย ควรใช้ผสมกับเอทิลแอลกอฮอล์ โดยผสมในอัตราส่วน 1:2 ใช้ประมาณ 1-2%
  3. สมุนไพร ควรใช้เป็นสารสกัดที่เข้ากับน้ำได้ โดยอาจใช้การสกัดด้วยน้ำหรือสารพวกไกลคอล
  4. สารกันหืน เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซเดชั่นของกรดไขมัน ควรใส่ประมาณ 0.5-1.0% เช่น วิตามินอี วิตามินซี

ตารางแสดงค่าน้ำหนักด่างต่อน้ำหนักของน้ำมันที่ใช้ในการทำสบู่

ชนิดของน้ำมัน

NaOH

KOH

น้ำมันมะพร้าว

0.190

0.245

น้ำมันปาล์ม

0.141

0.189

กรดสเตียริค

0.141

 

น้ำมันข้าวโพด

0.136

 

น้ำมันดอกคำฝอย

0.136

 

น้ำมันถั่วเหลือง

0.135

0.181

น้ำมันมะกอก

0.134

0.180

น้ำมันเมล็ดทานตะวัน

0.134

0.182

น้ำมันรำข้าว

0.128

0.193

น้ำมันละหุ่ง

0.128

0.171

ไขมันแพะ

0.127

 

น้ำมันงา

0.126

0.182

SAP (Saponification number) เป็นปริมาณของด่างที่ทำปฏิกิริยาพอดีกับไขมันหรือน้ำมัน 1 กรัม

สูตรสบู่ก้อนพื้นฐาน

สูตรที่ 1 เป็นสบู่แข็ง สีขาว มีฟองมาก

  • น้ำมันมะพร้าว 200 กรัม
  • น้ำมันปาล์ม 200 กรัม
  • โซเดียมไฮดรอกไซด์ 60 กรัม
  • น้ำ 150 กรัม

ขั้นตอนการทำสบู่ก้อนพื้นฐาน

  1. เตรียมพิมพ์ที่จะใช้ทำ
  2. นำเอาส่วนของน้ำมันมารวมกัน อุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส
  3. นำเอาด่างมาละลายน้ำ โดยค่อย ๆ เทด่างลงในน้ำพร้ดมทั้งคนตลอดเวลา ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะจะเกิดความร้อนสูง
  4. รอจนน้ำด่างมีอุณหภูมิลดลงจนถึง 40 องศาเซลเซียส ค่อย ๆ เทลงในน้ำมัน
  5. ค่อย ๆ คนจนเข้ากันดี เทลงพิมพ์
  6. พักสบู่ไว้

สูตรที่ 2 เป็นสบู่ก้อนแบบใส (กลีเซอรีน)

  • กลีเซอรีน 500 กรัม
  • น้ำ 50 กรัม
  • ผงสมุนไพร 0.5-1.0 กรัม
  • น้ำหอม 2.5 มิลลิลิตร
  • แอลกอฮอล์ (ใช้ละลายน้ำหอม) 5 มิลลิลิตร
  • สี 5 มิลลิลิตร

ขั้นตอนการทำสบู่ใส

  1. เตรียมพิมพ์ที่จะใช้ทำ
  2. นำเอากลีเซอรีนมาหลอมด้วยความร้อน เติมน้ำ คนจนละลายเข้ากันหมด
  3. ยกลงจากเตา คนช้า ๆ แต่งสี และกลิ่นตามต้องการ
  4. ค่อย ๆ คนจนเข้ากันดี เทลงพิมพ์ รอจนสบู่แข็งตัว แกะออกจากพิมพ์

ที่มา : เอกสารประกอบกิจกรรมห้องเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเยาวชน โดย ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (ฝภผ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

สถาบันไอเอ็มดี (IMD : International Institute for Management Development) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้สรุปผลความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ (World Competitiveness) ในปี 2552 โดย สำรวจจาก 52 ประเทศ

ซึ่งประเทศไทยในปี 2552 นั้น ภาพรวมความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย (Overall Competitiveness) ถูกปรับอันดับดีขึ้น โดยปรับอันดับจากปี 2550 ซึ่งอยู่อันดับที่ 33 และปี 2551 ซึ่งอยู่ที่อันดับ 27 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 26 ในปี 2552

อันดับความสามารถทางการแข่งขันนี้จะพิจารณาจาก 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ

  • ประสิทธิภาพทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Performance)

ซึ่งในปี 2552 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับที่ 14  โดยในปีนี้ ไทยถูกปรับอันดับลดลงหลังจากที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 ที่ลงไปอยู่อันดับที่ 19 จนปี 2551 ขึ้นมาที่อันดับที่ 12

  • ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency)

ซึ่งในปี 2552 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับที่ 17  โดยไทยถูกปรับอันดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับหลังจากที่ถูกปรับอันดับลดลงอยู่ที่ 27 เมื่อปี 2550

  • ประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Business Efficiency)

ซึ่งในปี 2552 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับที่ 25  โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่อันดับที่ 25 คงที่มาโดยตลอด เว้นแต่ในปี 2550 ที่ไทยถูกปรับอันดับลดลงไปอยู่ที่ 34

  • ประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

ซึ่งในปี 2552 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับที่ 42 โดยในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแนวโน้มถูกปรับอันดับลดลง โดยลดลงต่ำสุดอยู่ที่อันดับ 48 ในปี 2550 แล้วปรับขึ้นมาอยู่ที่ 39 ในปี 2551 แล้วถูกปรับลดลงอีกครั้งในปีนี้

หากเรามาพิจารณาทั้ง 4 ด้าน จะเห็นได้ว่าอันดับความสามารถทางการแข่งขันในด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุกด้าน และอยู่ในกลุ่มที่เป็นลบ อะไรคือตัวทำให้ความสามารถทางการแข่งขันในด้านนี้ของเราต่ำนั้น คงต้องมาพิจารณาถึงแนวทางการวัดความสามารถในด้านนี้ ว่าทาง IMD พิจารณาในด้านใดบ้าง

ความสามารถทางการแข่งขันในด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้น IMD พิจารณาใน 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ

  • ความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Basic Infrastructure)

ซึ่งพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน สาธารณูปโภคพื้นฐานของไทย  โดยปี 2552 ประเทศไทยถูกจัดไว้ที่อันดับที่ 29 ซึ่งคงที่เท่ากับปี 2551 และถูกปรับขึ้นจากปี 2550   จะเห็นได้ว่าความสามารถด้านนี้ยังเป็นบวก

  • โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure)

ซึ่งพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เครือข่ายการสื่อสาร การโทรคมนาคม และโทรศัพท์ของไทย ปี 2552 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 36  โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา อันดับของไทยถูกปรับลดลงจากปี 2548 ไปอยู่อันดับต่ำสุดที่ 48 ในปี 2550 และขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

  • โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure)

ซึ่งพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย งานพัฒนา งานสิทธิบัตร ด้านวิทยาศาสตร์ของไทย  ในด้านนี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อันดับไทยมีการปรับขึ้นลงสลับกันในลักษณะฟันปลา โดยในปี 2552 ไทยถูกปรับอันดับลดลงมาอยู่ที่อันดับที่ 40 จาก 52 ประเทศ

  • สุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Health and Environment)

ซึ่งพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสาธารณสุข คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และมลภาวะของไทย  สำหรับในด้านนี้ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ไทยถูกปรับอันดับลดลงมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2548 โดยปี 2550 ไทยตกไปอยู่ที่อันดับ 48 และกระตื้อขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2551 แล้วกลับลงต่ำไปอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 52 ประเทศ ในปี 2552

  • การศึกษา (Education)

ซึ่งพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในทุกระดับตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา การถ่ายทอดความรู้ คุณภาพและทักษะต่าง ๆ ของไทย  ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อันดับมีการปรับขึ้นลงสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับด้าน สุขภาพและสิ่งแวดล้อม นั่นคือจากปี 2548 ไทยตกไปอยู่ที่อันดับ 46 ในปี 2550 และขึ้นไปอันดับที่ 43 ในปี 2551 แล้วกลับลงต่ำไปอยู่อันดับที่ 47 จาก 52 ประเทศในปี 2552

มาถึงตรงนี้คงพอจะทราบข้อมูลแล้วว่า การที่เราจะพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืนนั้น ควรเริ่มตรงที่จุดไหน และด้านใด
ที่มา : http://www.imd.ch/wcc (IMD : International Institute for Management Development)

เอกสารการแถลงข่าวเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2552

1. การประมวลผลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 1/2552 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ] [ไฟล์ตารางสถิติ]

2. Economic Outlook : ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 และแนวโน้มปี 2552 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เว็บไซต์ : www.nesdb.go.th

วันที่ 25 พฤษภาคม 2552

บุคลิกภาพ หรือ Personality

หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงออกมาในแง่ของหน้าตา ท่าทาง อารมณ์ ทัศนคติ ความคิด และพฤติกรรม  โดยจะแตกต่างกันตามแต่จิตใจและจิตใต้สำนึกของแต่ละบุคคล

แบบทดสอบบุคลิกภาพ

คือ แบบทดสอบทางจิตวิทยาที่ใช้วิเคราะห์วิธีการคิด และลักษณะนิสัยพื้นฐานของบุคคล

ประโยชน์ของแบบทดสอบบุคลิกภาพ

  • เพื่อใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานกับองค์การ
  • เพื่อใช้ในการพัฒนาบุคลากรในองค์การ

รูปแบบทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ถูกนำมาใช้

๑. DISC

คือ ทฤษฏีในการจำแนกบุคลิกภาพของมนุษย์ ที่คิดค้นโดย นักจิตวิทยา William Moulton Marston ซึ่งจะจำแนกลักษณะบุคลิกภาพออกเป็น 14 กลุ่ม โดยพิจารณาจากระดับคะแนนของรหัสลักษณะบุคลิกเด่น DISC ทั้ง 4  มักจะใช้เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นั่นคือ รู้ว่าคนบุคลิกใด ควรติดต่อสื่อสารเช่นไร ซึ่ง DISC มีลักษณะเด่น ๆ ดังนี้ 

  1. D หรือ Dominace – ชอบควบคุม ชอบเป็นผู้นำ มุ่งเป้าประสงค์
  2. I หรือ Influent – ชอบชักจูง ชอบเข้าสังคม มีความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดเก่ง
  3. S หรือ Steady – ชอบนิ่ง ๆ อยู่ในสภาวะที่รู้สึกปลอดภัย และคุ้นเคย อนุรักษ์นิยม เอื้อเฟื้อ อดทน
  4. C หรือ Conscientious – ชอบรายละเอียด อยู่ในระเบียบแบบแผน กฏระเบียบ

โดยบางคน อาจเป็นประเภทลักษณะเด่นโดด ๆ ตัวเดียว เช่น D แต่บางคนอาจเป็นลักษณะผสม โดยมีลักษณะเด่นนำ 1 ตัว และตาม 1 ถึง 2 ตัว เช่น DC หรือ DCI เป็นต้น

๒. The 5 Factor Model (FFM)

คือ แบบจำลองการจำแนกบุคลิกภาพของมนุษย์ โดยพิจารณาใน 5 องค์ประกอบหลัก ซึ่งโดยทั่วไปรู้จักกันในนามของ The five-factors แบบจำลองนี้จะพิจารณาองค์ประกอบ 5 ตัวที่รู้จักในชื่อของ NEOCA หรือ OCEAN หรือ CANOE โดย Paul T. Costa, Jr. และ Robert R. McCrae คือ

  1. Neuroticism หรือ ความมั่นคงในอารมณ์ โดยพิจารณาในแง่ของความวิตกกังวล ความโกธร ความหดหู่ ความระมัดระวังในตนเอง ความหุนหันพลันแล่น และความอ่อนแอ
  2. Extraversion หรือ การเข้าสังคม พิจารณาในแง่ของการมีชีวิตชีวา ความกระตือรืนร้น ความตื่นเต้น อารมณ์ดี
  3. Openness to experience หรือ การเปิดกว้างในการเรียนรู้ประสบการณ์ทั้งในด้านศิลปะ อารมณ์ การผจญภัย แนวความคิด จินตนาการ และสิ่งแปลกใหม่
  4. Agreeableness หรือ การปรองดองเห็นพ้องต้องกัน พิจารณาในแง่ของความเห็นอกเห็นใจ การร่วมมือ เปิดเผย ตรงไปตรงมา อ่อนน้อมถ่อมตน
  5. Conscientiousness หรือ การมีสติ พิจารณาในแง่ของความรอบคอบ ระมัดระวัง มีวินัย รับผิดชอบ มีการวางแผน มีเป้าประสงค์

โดยบางคนอาจมีลักษณะเด่นตามทั้ง 5 องค์ประกอบ แต่บางคน อาจเด่น 4 ด้อย 3 คละเคล้ากันไป

๓. 4 Temperaments

คือ ทฤษฏีในการจำแนกบุคลิกภาพของมนุษย์ ที่คิดค้นโดย Dr. David Keirsey ซึ่งใช้ MBTI เป็นพื้นฐานต่อยอดสำหรับการคิดทฤษฎี 4 Temperaments จะจำแนกลักษณะบุคลิกภาพเด่น ๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม จากการวิเคราะห์ 2 ประเด็น คือ

  • การสื่อสาร พิจารณาระหว่าง ข้อเท็จจริง กับ ความเชื่อ 
  • การกระทำ พิจารณาระหว่าง เป้าประสงค์ กับ ความถูกต้อง 

ซึ่งสรุปลักษณะเด่น ๆ ได้ 4 กลุ่มคือ 

  1. Artisan เน้น ข้อเท็จจริง กับ เป้าประสงค์ จึงมักจะมองเฉพาะสิ่งที่ได้รับรู้ สิ่งที่เป็นปัจจุบัน และทำทุกทางเพื่อมุ่งไปสู่เป้าประสงค์ ชอบความตื่นเต้น สนุกสนาน และท้าทาย
  2. Guardian เน้น ข้อเท็จจริง กับ ความถูกต้อง จึงมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับ และอยู่ในกรอบของกฏระเบียบ เคารพในสิทธิของผู้อื่น มีความสามารถในการบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดี
  3. Rational เน้น ความเชื่อ กับ เป้าประสงค์ จึงมักคิดถึงสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใหม่ ๆ หรือ วิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ  และเลือกทำในสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้ได้ตามเป้าประสงค์ เป็นนักปฏิบัติ ช่างคิดช่างสงสัย ช่างวิเคราะห์
  4. Idealist เน้น ความเชื่อ กับ ความถูกต้อง จึงมักคาดหวังว่าสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น ทำและมุ่งไปสู่เป้าประสงค์โดยคำนึงถึงความถูกต้อง ประนีประนอม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

๔. 16 Personality Factor (16 PF) 

คือ ทฤษฏีในการจำแนกบุคลิกภาพของมนุษย์โดยพิจารณาจากปัจจัย 16 ลักษณะ ซึ่งคิดค้นโดย Raymond Bernard Cattell โดยจะพิจารณาถึงระดับความเข้มข้นในแต่ละปัจจัย

ปัจจัยหลัก น้อย มาก
Warmth – อบอุ่น เย็นชา เห็นแก่ตัว สนับสนุน ปลอบโยน
Reasoning – สติปัญญา ใช้สัญชาตญาณ ไม่มั่นคง ใช้ความคิด วิเคราะห์
Emotional Stability – ความมั่นคงทางอารมณ์ หงุดหงิด ฉุนเฉียว ขี้โมโห สุขุม สงบ
Dominance – มีอิทธิพล ก้าวร้าว ถ่อมตัว ว่านอนสอนง่าย ดื้อรั้น ใจแข็ง ชอบควบคุม
Liveliness – มีชีวิตชีวา ถูกควบคุม ซึมเศร้า ชอบความสนุกสนาน ยุ่งเหยิง ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุม
Rule-Consciousness – รับผิดชอบต่อหน้าที่ นอกรีต กบฎ อนุรักษณ์นิยม
Social Boldness – กล้าเข้าสังคม อาย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ไม่ปิดบัง กล้า
Sensitivity – อ่อนไหว หยาบคาบ ดื้อร้น ละเอียดอ่อน อ่อนโยน
Vigilance – ระมัดระวัง ไว้วางใจได้ สบายๆ ระมัดระวัง ขี้สงสัย
Abstractness – คิดในเชิงนามธรรม ตามกฏระเบียบ ปฏิบัติได้จริง ผิดแปลก เพ้อฝัน
Privateness – สันโดษ เปิดเผย เป็นมิตร เงี่ยบ สันโดษ เป็นส่วนตัว
Apprehension – วิตกกังวล เชื่อมั่น มั่นใจในตนเอง กลัว วิตกกังวล
Openness to Change – ใจกว้างเปิดรับต่อการเปลี่ยนแปลง ปิดกั้น ไม่รับสิ่งใหม่ อยากรู้อยากเห็น ชอบสำรวจสิ่งใหม่ ๆ
Self-Reliance – พึ่งตนเอง เป็นอิสระ ขอบสังคม เข้ากับคนอื่นได้ง่าย สันโดษ ต้องการอยู่ลำพัง
Perfectionism – ยึดถือความเป็นสมบูรณ์แบบ ไม่เป็นระเบียบ ยุ่งเหยิง ละเอียด เป็นระเบียบ รอบคอบ
Tension – ความตึงเครียด ผ่อนคลาย ใจเย็น เครียด ไม่พึงพอใจ

๕. Personality 16 Types (MBTI)

คือ ทฤษฏีในการจำแนกบุคลิกภาพของมนุษย์ ที่รวมเอาแนวคิดของ Carl Gustav Jung กับ Katharine Cook Briggs และ Isabel Briggs Myers เข้าด้วยกัน โดยสามารถจำแนกบุคลิกภาพออกเป็น 16 กลุ่ม ซึ่งพิจารณาจากองค์ประกอบใน 4 มุมมอง ดังนี้

  • การวางตัว ความสนใจ การเพิ่มพลังงาน โดยพิจารณาระหว่าง Extraversion (E) ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คน และ Introversion (I) ชอบที่จะอยู่กับตัวเอง
  • บทบาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลหลัก แบ่งเป็น
  1. การรับรู้ข้อมูล โดยพิจารณาระหว่าง Sensing (S) รับรู้โดยสติปัญญาพินิจพิเคราะห์ เน้นข้อมูล รับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 และ iNtuition (N) รับรู้โดยสัญชาตญาณ ประสบการณ์ เน้นความคิดต่อยอด
  2. การตัดสินใจ โดยพิจารณาระหว่าง Thinking (T) ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล และ Feeling (F) ตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึก
  • วิถีทางการดำเนินชีวิต โดยพิจารณาระหว่าง Judgment (J) ดำเนินชีวิตตามกฎระเบียบ และ Perception (P) ดำเนินชีวิตตามความคิด ค่านิยมความเชื่อ

มุมมองผู้เขียน

อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของการมุ่งไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ (LO : Learning Organization) แล้วนั้น ในถ้าองค์การได้จัดให้พนักงานทั้งองค์การได้ทำแบบทดสอบ และนำผลที่ได้มาใช้ทั้งในแง่การบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น การพัฒนาจุดเด่น ปิดจุดด้อยของบุคลากรในองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรนั้น ๆ  และสื่อสารให้บุคลากรในองค์กรเข้าใจในบุคลิกภาพของเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมเป็นแนวทางไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ผู้ให้คำแนะนำในการศึกษาข้อมูล :

Nittaya Onurai, MissConsult.com

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง :

http://www.MissConsult.com

http://en.wikipedia.org/wiki/DiSC_assessment

http://en.wikipedia.org/wiki/Big_Five_personality_traits 

http://www.blogthings.com/thefivefactorpersonalitytest/

http://www.keirsey.com/

http://en.wikipedia.org/wiki/Four_Temperaments

http://en.wikipedia.org/wiki/16_Personality_Factors

http://similarminds.com/

http://en.wikipedia.org/wiki/MBTI

บริษัท ยู สเคป จำกัด (ในเครือ บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด UAE) ได้มีการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “การจำแนกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมแบบมีส่วนร่วม “Stakeholder Identification & Engagement for SIA” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมอย่างถูกต้องมากขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยทีมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA Specialist) จากภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2552 เวลา 08.30-15.30 น. ณ ห้องประกายเพชร โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ

สนใจหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ คุณวชิรวัฒน์ พุ่มโพธิ์ทอง โทรศัพท์ 089-446-2344, 02-763-2874 โทรสาร 02-763-2860 E-mail: vachirawat@uaeconsultant.com

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2/2552 และการประชุม สออ. ประเทศไทย ครั้งที่ 2/2552 ในวันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2552 เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.30-15.00 น. ณ หอประชุมเบญ จรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มจพ .โทรศัพท์ 0-2913-2500-24 ต่อ 2801,1121 ,1166

วิทยาศาสตร์ หมายถึง องค์ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ที่ได้ผ่านการสังเกต ทดลอง ทดสอบ และวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน และพิสูจน์จนยอมรับว่าถูกต้องเป็นจริงตามหลักธรรมชาติ

ธรรมะ จึงเป็น ศาสตร์ ที่ชี้ให้ผู้ที่ศึกษา ได้รู้ถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์ หรือ กฏธรรมชาติ คือ ลักษณะสามัญของสรรพสิ่งซึ่งมีลักษณะประกอบกัน 3 ประการ คือ

  1. อนิจจัง – กฏแห่งการเกิดขึ้น ความไม่เที่ยง
  2. ทุกขัง – กฏแห่งการเสื่อมไป เดินไปสู่การแตกสลาย ความไม่คงที่
  3. อนัตตา – กฏแห่งการเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้ว ความไม่มีตัวตน ไม่เหลือตัวตนให้เห็น ความไม่เที่ยง แตกสลายดับไปได้

อันบัญญัติขึ้นเพื่อ ขันธ์ 5 หรือ สภาพ 5 ส่วนที่ประกอบกันจนเกิดเป็นสรรพสิ่งในธรรมชาติ คือ

  1. รูป คือ ส่วนที่เป็นสภาพ สสาร รูปร่าง วัตถุ
  2. เวทนา คือ ส่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังการรับรู้ ความรู้สึก ทุกข์ สุข หรือ ไม่สุข
  3. สัญญา คือ ส่วนที่จำได้ หมายรู้ในอารมณ์ 6 (นั่นคือ รูปะ – รูปหรือสิ่งที่เห็น, สัททะ – เสียง, คันธะ – กลิ่น, รสะ – รส, โผฎฐัพพะ – สิ่งที่ถูกต้องหรือสัมผัสกาย, ธรรม หรือ ธรรมารมณ์ – อารมณ์หรือความนึกคิดที่เกิดกับใจ)
  4. สังขาร คือ ส่วนที่ปรุงแต่งจิต
  5. วิญญาณ คือ ส่วนที่มารับรู้อารมณ์ที่เกิดจากการกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ซึ่งถือเป็นระบบสมมุติ เรียกว่า สังขตธรรม คือ ธรรมที่ถูกปรุงแต่งได้ ประกอบด้วย

  1. อุปปาโท ปัญญายติ มีการเกิดปรากฏ
  2. วะโย ปัญญายติ มีการเสื่อมปรากฏ
  3. ฐิตัสสะ อัญญะฐัตตัง ปัญญายติ เมื่อตั้งอยู่ มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ

ส่วนระบบวิมุตติ หรือ นิพพาน เรียกว่า อสังขตธรรม คือ ธรรมที่ถูกปรุงแต่งไม่ได้ ประกอบด้วย

  1. นะ อปุปาโท ปัญญายติ ไม่ปรากฏการเกิด
  2. นะ วะโย ปัญญายติ ไม่ปรากฏการเสื่อม
  3. นะ ฐิตัสสะ อัญญะฐัตตัง ปัญญายติ เมื่อตั้งอยู่ ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ

ธรรมชาติและสรรพสิ่งมีการเกิดและการดับ การที่ผู้ใดเฝ้ามองเฝ้าสังเกตเห็นธรรมชาติและสรรพสิ่งที่เกิดและดับไปอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เห็นสาระสำคัญในความเห็นหรือการรับรู้ซึ่งการเกิดการดับเหล่านั้น ไม่อยากรู้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางได้ เนื่องจากเข้าใจถึงความเป็นรูปกับนาม กายกับจิต และอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งไม่เที่ยง เข้าใจว่าสิ่งที่เรามีอยู่ครองอยู่นั้นแตกสลายดับไปได้ เรียกว่าผู้นั้นกำลังเข้าถึงสภาวะที่ไม่เกิดไม่ตาย ไม่ได้แตกสลาย ไม่ดับ เนื่องจากจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย จิตดำรงอยู่ในสภาวะวิมุตติหรือนิพพาน จิตไม่หวาดสะดุ้ง จิตรู้ว่า การเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์สิ้นแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรทำไม่มีอีกแล้ว การที่จิตจะสามารถมาอยู่ที่สภาวะนี้ได้ ผู้นั้นต้องเจริญสติ

มหาสติปัฏฐานสูตร คือ พระสูตรที่ว่าด้วยการเจริญสติไปสู่ความพ้นทุกข์ อันประกอบด้วย 4 หมวดใหญ่ คือ

  1. การตามดูรู้เท่าทันกายภายนอก (รูปร่าง สัญฐาน กาย) และกายภายใน (ลมหายใจ) ว่าตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์
  2. การตามรู้เท่าทันเวทนา ว่าตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ ด้วยใจที่เป็นกลาง วางเฉย
  3. การตามดูรู้เท่าทันจิตในลักษณะต่าง ๆ จนเห็นตามกฏไตรลักษณ์
  4. การตามดูรู้เท่าทันธรรม สังเกตสภาวธรรมที่เกิดขึ้นทางกาย เวทนา จิต ด้วยใจที่เป็นกลาง ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร มีสภาวะผันแปรอย่างไร ดำรงอยู่อย่างไร โดยไม่ไปวิพากษ์ วิจารณ์ ตัดสิน หรือคัดสรร จนเกิดความโล่งโปร่งทางจิต ปล่อยวางความยึดติดถือมั่นในกาย เวทนา จิต ธรรมได้อย่างสมบูรณ์

การเจริญสติสามารถปฏิบัติได้ในทุกที่ ทุกขณะ นั่นคือ นำสติไปกำกับทุกครั้งที่คิด ทุกงานที่ทำ ทุกคำที่พูด เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กายจะสงบ วาจาสงบ ใจสงบ ตระหนักรู้ถึงกฏไตรลักษณ์ และสามารถกลับมาดูความทุกข์ของตน ความผิดของตน และแก้ไขปัญหาตนเองได้ เมื่อแก้ไขปัญหาตนเองได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกเรื่องได้ ใช้ชีวิตประจำวันอย่างบริโภคพอดี อยู่พอดี มีพอดี ประพฤติดี ปฏิบัติดี พูดดี และคิดดี

หากต้องการเข้าใจถึงกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์ เราควรศึกษาหลักปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมอันเป็นธรรมชาติ ว่าด้วยการเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลายที่อาศัยซึ่งกันและกัน อันเนื่องมาจากเหตุและปัจจัย กล่าวคือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ไล่ไปตามลำดับ โดยปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12 ดังนี้

  1. อวิชชา คือ ความไม่รู้ในไตรลักษณ์ และ อริยสัจ 4 ทำให้ไปคลุกเคล้ากิเลศด้วยความเขลา
  2. สังขาร คือ การนึกคิดเพื่อปรุงแต่งกาย วาจา ใจ
  3. วิญญาณ คือ รู้จักจำแนกแยกแยะอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
  4. นามรูป คือ การปรากฏของนามธรรมและรูปธรรม กายและใจ
  5. สฬายตนะ คือ สภาวะที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส หรือ เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์
  6. ผัสสะ คือ การรับรู้ปรากฏการณ์ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
  7. เวทนา คือ ความรู้สึก หรือ ทัศนคติภายหลังการรับรู้ อันได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา
  8. ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ความปรารถนาใน กามตัณหา (หรือ ความอยากได้) ภพตัณหา (หรือ ความอยากเป็น) และ วิภวตัณหา (หรือ ความไม่เป็น)
  9. อุปาทาน คือ ความยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในกาม ทิฏฐิ ลัทธิ พิธีการ วาทะ
  10. ภพ คือ การมีภาระหน้าที่ ภาวะทางใจ อันเป็นกระบวนการกำหนดพฤติกรรมให้สอดคล้องกับอุปทาน อันได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
  11. ชาติ คือ การเกิดเป็นตัวตน เกิดอัตตา รับภพไว้ในครอบครอง แบกน้ำหนักตามบทบาทในกระบวนการพฤติกรรมที่กำหนดสมมุติไว้
  12. ชรามรณะ คือ ความเสื่อม ความสูญสลาย ความแตกดับแห่งตัวตน อันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์

ในเบื้องต้นเราได้กล่าวถึงไตรลักษณ์แล้ว ยังมี อริยสัจ 4 หรือ ความจริง 4 ประการ ซึ่งควรตระหนักถึง อันได้แก่

  1. ทุกข์ สภาพปัญหาในขอบเขตของไตรลักษณ์
  2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อันได้แก่ ตัณหา
  3. นิโรธ สภาพการพ้นทุกข์ ละวางความยึดมั่นถือมั่น
  4. มรรค แนวทางการดับทุกข์

มรรควิธี หรือ แนวทางการดับทุกข์ มีความเหมาะสมในแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่มรรควิธีที่เลือกปฏิบัตินั้นควรอยู่ภายใต้ มรรค 8

มรรค 8 สามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็น ไตรสิกขา ซึ่งประกอบด้วย

  • ศีลสิกขา คือ การปฏิบัติรักษาศีล
  1. พูดชอบ
  2. กระทำชอบ
  3. ประกอบอาชีพชอบ
  • สมาธิสิกขา คือ การพัฒนาคุณภาพจิตให้สว่าง สะอาด สงบเยือกเย็น ประกอบด้วย
  1. ความเพียรพยายามชอบ
  2. ตั้งสติระลึกชอบ
  3. ตั้งจิตชอบ
  • ปัญญาสิกขา คือ รู้เข้าใจสรรสิ่งตามความเป็นจริง ประกอบด้วย
  1. ความเห็นชอบ
  2. ดำริริเริ่มชอบ

บางครั้งการที่เราได้เข้าใจธรรมชาติ ได้เรียนรู้ธรรมะ คิดปฏิบัติในทางที่ชอบ ย่อมมีส่วนช่วยให้กายสงบ วาจาสงบ ใจสงบในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้

ที่มา :

พระคึกฤทธิ์ โสตถิผโล. ธรรมวิจัย, เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ 17 ฉบับที่ 880, หน้า 50-51.

ว.วิชรเมธี โดย นนสิกุล โอวาทเภสัชช์. ท่องแดนธรรม, เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ 17 ฉบับที่ 881, หน้า 16-17

ศจ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์. เป้าหมายชีวิตและแรงจูงใจในการทำงานตามความหมายเชิงพุทธ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2546, 60 หน้า.

ปฏิจจสมุปบาท. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, http://th.wikipedia.org/