ได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการบรรยายพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการจัดทำนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศกรณีศึกษาของประเทศญี่ปุ่น : i-Japan Strategy 2015 ที่จัดโดย NECTEC ACADEMY เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2552 ซึ่งได้เชิญ Prof. Toshio Obi ผู้เชี่ยวชาญจาก Waseda University ประเทศญี่ปุ่น อดีตประธานในการจัดทำนโยบาย i-Japan Strategy 2015 มาให้ความรู้และประสบการณ์ในการจัดทำนโยบายด้าน ICT ทำให้เราสามารถเห็นแนวทาง วิธีการ และกระบวนการในการจัดทำนโยบายด้าน ICT จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนา ICT อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

เราได้พบว่าในมุมมองของประเทศญี่ปุ่น หากมองงานที่เกี่ยวกับบริหารจัดการแล้ว เขาได้ให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ในส่วนต่าง ๆ ดังนี้

  • E-Gov : Electronic Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์)
  • U-Gov : Ubiquitous Government (การบริหารจัดการภาครัฐที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง)
  • M-Gov : Mobile Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่)
  • TV-Gov : TV Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่อโทรทัศน์)
  • Gov.20 : Government 2.0 (การบริหารจัดการภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยี Web 2.0 นั่นคือ สามารถสื่อสารโต้ตอบ 2 ทาง)
  • Smart Gov : Smart Government (การบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ชาญฉลาด)
  • i-Gov : Innovation + Inclusion Government (การบริหารจัดการภาครัฐเพื่อเกิดนวัตกรรมและการผนวกรวมไว้ด้วยกัน)

รวมทั้งมีการตระหนักถึงรูปแบบการจัดการองค์กรสมัยใหม่ที่มีการนำ ICT มาประยุกต์ใช้เพื่อตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง
  • ความสามารถในการเป็นผู้นำ
  • ความร่วมมือและเครือข่ายความร่วมมือ
  • การเตรียมพร้อมเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลง
  • การมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์
  • การบริหารจัดการที่ไม่อิงรูปแบบของหน่วยงาน
  • กระจายอำนาจจากจุดศูนย์กลาง
  • การขับเคลื่อนโดยรายได้มากกว่างบประมาณ
  • การแข่งขัน

เนื่องจากผู้บริหารถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันและสนับสนุนให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสบผลสำเร็จ เขาจึงได้มอง สมรรถนะหลัก หรือ Core Competences สำหรับ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง หรือ Chief Information Officer (CIO) ไว้ว่าต้องสามารถมองภาพรวมของงานต่อไปนี้เพื่อนำมาบูรณาการและจัดทำยุทธศาสตร์ด้าน ICT ให้สอดคล้องและสนับสนุน

  • ในมุมมองของ CFO : Cheif Financial Officer ด้าน
  1. Procurement Management (การบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง)
  2. System Architecture (สถาปัตยกรรมระบบ)
  3. IT Investment (การลงทุนด้าน IT)
  • ในมุมมองของ CTO : Cheif Technology Officer ด้าน
  1. Management Strategy (การบริหารกลยุทธ์)
  2. Intellectual Property (ทรัพย์สินทางปัญญา)
  3. MOT/R&D (วิจัยและพัฒนา)
  • ในมุมมองของ CKO : Cheif Knowledge Officer ด้าน
  1. Policy (นโยบาย)
  2. Decision-making process (กระบวนการตัดสินใจ)
  3. Knowledge Management (การบริหารจัดการความรู้)
  • ในมุมมองของ CRO : Cheif Risk Officer ด้าน
  1. Project Management (การบริหารจัดการโครงการ)
  2. Risk Management (การบริหารจัดการความเสี่ยง)

ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า i-Japan Strategy 2015 (2010-2015)

Striving to Create a Citizen-Driven, Reassuring & Vibrant Digital Society ( I = Innovation + Inclusion )

มุ่งไปสู่การสร้างสังคมดิจิตอลแห่งความเชื่อมั่น มีชีวิตชีวา และขับเคลื่อนสังคม เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการผนวกรวม เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

หากเรามาพิจารณาดู i-Japan Strategy 2015 จะเห็นว่าญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญในประเด็นต่อไปนี้

  • การสร้างสังคมที่เทคโนโลยีดิจิตอลเปรียบเสมือนปัจจัยในการดำรงชีวิตที่แทรกซึมเป็นเนื้อเดียวกับเศรษฐกิจและสังคม นั่นคือ คุ้นเคยในการใช้งาน ง่ายในการใช้งาน มีความมั่นคงเชื่อถือได้ ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง และขาดไม่ได้ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นและเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน
  • การนำเทคโนโลยีดิจิตอลและสารสนเทศไปสนับสนุนการเกิดนวัตกรรมดิจิตอลและการสร้างมูลค่าใหม่ ๆ ให้กับเศรษฐกิจและสังคม
  • สร้างโครงสร้างที่รองรับการบริหารจัดการภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ชาญฉลาด
  • นำเทคโนโลยีดิจิตอลมารองรับและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง มีการดำเนินงานดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง สะดวก รวดเร็ว  ทั่วถึง และเสมอภาค ครอบคลุมทั้งในเมืองและชนบท
  • กระตุ้นการนำเทคโนโลยีดิจิตอลไปใช้ในห้องเรียน สร้างความปรารถนาในการเรียนรู้ ความสามารถด้านวิชาการ และความสามารถในการใช้สารสนเทศ รวมทั้งพัฒนาทักษะด้านดิจิตอลของทรัพยากรมนุษย์อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
  • นำเทคโนโลยีดิจิตอลมาเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมและชุมชนท้องถิ่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติ
  • สนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสะอาด (Green IT และ ITS)
  • สร้างตลาดใหม่ที่เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ และเพิ่มจำนวนพนักงานที่ทำงานทางไกลนอกสถานที่ทำงาน
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล

ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าวิสัยทัศน์ในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของญี่ปุ่นและไทยจะมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน เพียงแต่ว่าการก้าวย่างของไทยจะเชื่องช้ากว่า และมุ่งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT เพื่อสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจประเทศ ในขณะที่ญี่ปุ่นได้ก้าวผ่านและมองการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเน้นไปที่ความต้องการและความจำเป็นของผู้ใช้หรือประชาชนเป็นหลัก

ที่มา :

  • Prof. Dr. Toshio Obi, “Japanese Lessons on formulating national ICT Strategies”, NECTEC-IAC Thailand Forum, November 30, 2009.

ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Thailand ICT Excellence Awards 2008 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2552 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมมือกับ SIPA, NECTEC, Software Park Thailand และ CITU ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสรรหาองค์กรและผู้บริหารที่สามารถนำระบบไอทีไปใช้พัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งไฮไลต์ของงานนอกจากเป็นการประกาศผลและมอบรางวัลแล้ว ยังมีการเสวนาและอภิปรายที่น่าสนใจดังพอสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้

การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในปัจจุบัน

  • วิกฤต มีทั้ง อันตราย และ โอกาส
  • ดังนั้นในภาวะวิกฤตจึงควรคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • ควรหานวัตกรรมที่ไม่ใช้เงิน
  • ในโลกปัจจุบัน นวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการที่ตอบสนองความต้องการตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นสิ่งจำเป็น
  • บุคลากร ถือเป็น โอกาส ที่สำคัญขององค์กร
  • เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยน โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวเอง
  • ทัศนคติ หรือ Mindset ของคนในองค์กรต้องเปลี่ยนไปสู่ทิศทางเดียวกัน
  • การสื่อสารต้องมีประสิทธิภาพ
  • การทำงานที่มีความตึงเครียดจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ

ไอทีกับวิกฤต

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการ
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการรวบรวมข้อมูลไปสู่ผู้ที่ต้องใช้
  • ในภาวะวิกฤตควรนำเครื่องมือที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การบริหารจัดการด้านไอที

  • จำเป็นต้องสำรวจความต้องการของผู้ใช้ ว่างานที่ทำอยู่มีความยากง่ายแค่ไหน มีการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนหรือไม่ ที่นำมาสนับสนุนมีการใช้เต็มประสิทธิภาพหรือยัง สามารถนำเทคโนโลยีอื่น ๆ มาสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนได้อีกหรือไม่ อย่างไร

บทบาทซีอีโอ

  • เป็นผู้ผลักดัน กระตุ้น จุดประเด็น นวัตกรรมในองค์กร
  • เป็นผู้เชี่ยวชาญของการบริหารจัดการความเสี่ยง
  • เป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
  • เป็นผู้ที่เห็นและเข้าใจเทคโนโลยีชัดเจน
  • เป็นผู้ที่คิดใหม่ และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการ หรือ Business Process
  • เป็นผู้ที่เห็นโอกาสในการเปลี่ยนสารสนเทศเป็นนวัตกรรม
  • เป็นผู้ที่เข้าใจในประเด็นธุรกิจขององค์กร รู้ว่าองค์กรจะอยู่รอดด้วยอะไร เชื่อมโยงสิ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอดกับเครื่องมือที่เหมาะสม
  • เป็นผู้มีความสามารถในการบริหาร Multisourcing
  • เป็นผู้ที่ต้องรักษา บุคลากรที่เชี่ยวชาญ กับ องค์ความรู้ ขององค์กร
  • เป็นผู้ที่ต้องกระตุ้นให้บุคลากรมีใจที่จะทำตาม Vision ขององค์กร

ไอทีกับการเพิ่มความเร็ว

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับกระบวนการและการปฏิบัติงาน
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
  • แต่ความสำเร็จอยู่ที่ผู้ใช้เครื่องมือ
  • คนไอทีต้องมีความสามารถในการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น ภายในองค์กร ภายนอกองค์กร และเทคโนโลยี เป็นต้น และสามารถนำเทคโนโลยีมาตอบสนองอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
  • คนไอทีต้องรู้ Business Process ขององค์กร เพื่อสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

ไอทีกับงานด้านการตลาด

  • การตลาดจะสำเร็จได้ต้องมีกลยุทธ์ มี Brand และมีบริการ
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และสังคม
  • ดังนั้นไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารถึง Branding และ Brand Value
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารและเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า
  • การสร้างเว็บไซต์จึงควรใช้ Template ที่สื่อถึง Brand ขององค์กร
  • ไอทีนำมาใช้ในการสนับสนุนงานด้านการตลาด ในส่วนของ CRM

CRM (Customer Reationship Management) หรือ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า จัดลำดับความสำคัญ แยกว่าใครเป็นลูกค้าที่มี ROI (Return of Investment) ที่สำคัญ เพื่อใช้ตัดสินว่าจะทำ CRM หรือ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ อะไร แบบไหน และอย่างไร
  • แต่ CRM จะสำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะไอที
  • การจะทำให้ CRM สำเร็จได้ขึ้นกับ 3 P คือ People, Process, Product
  • ปัจจัยที่ทำให้ CRM สำเร็จ คือ คน นั่นคือต้องมีบุคลากรที่มีจิตใจในการให้บริการที่ดี มีความหลงใหล ทุ่มเท และให้ใจกับองค์กร

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่า ณ ตอนนี้เป็นยุคของโลกข้อมูลข่าวสาร ยุคของเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรนั้น ยังคงอยู่ที่คนขององค์กร หากคนในองค์กรมีใจ มีความทุ่มเท มีความเสียสละ พร้อมที่จะเปลี่ยน พร้อมที่จะพัฒนา พร้อมที่จะเรียนรู้ เพื่อไปสู่เป้าหมายขององค์กร องค์กรนั้นก็จะสามารถอยู่รอดได้แม้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และในทางกลับกัน องค์กร และผู้บริหารขององค์กร ก็ต้องตระหนักถึงสินทรัพย์ที่มีค่าขององค์กร นั่นคือ คน ต้องรู้วิธีที่จะรักษาสินทรัพย์นี้ โดยเฉพาะที่มีคุณภาพให้คงอยู่กับองค์กร