ผลิตภัณฑ์สารสกัดชีวภาพจากน้ำนมดิบ (ปุ๋ยนม)  เป็นเทคโนโลยีการแปรรูปน้ำนมดิบที่ด้อยคุณภาพผ่านกระบวนการหมักโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ได้สารสกัดชีวภาพจากน้ำนมดิบที่มีประโยชน์ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะพืชสวนและพืชไร่ ส่งผลต่อปริมาณ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งผลผลิตที่ได้มีคุณภาพทั้งด้านความหวาน, ขนาดผลและคุณภาพผลผลิตอื่นๆ

c9

คุณสมบัติพิเศษ

การใช้ปุ๋ยจากน้ำนมดิบสามารถทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและลดปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศได้ จากการทดลองใช้ปุ๋ยจากน้ำนมดิบส่งผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของหญ้ากินนีสี-ม่วง ซึ่งจากการทดลองพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและลดอันตรายที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีในการเลี้ยงโคนมได้อีกทางหนึ่ง ส่งผลต่อกระบวนการผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการผลิตน้ำนมดิบที่มีความปลอดภัย

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เพื่อการบำบัดสิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงโคนม  เป็นผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่เกิดจากการเลี้ยงโคนม เช่นกลิ่นเหม็น สิ่งสกปรก ในฟาร์มเลี้ยงโคนมของเกษตรกร  ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เหล่านี้  มาจากการคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายสารประกอบก๊าซระเหยสารอินทรีย์ (Volatile organic compounds) สารประกอบฟีนอล (Phenolic compounds) และกรดอินทรีย์บางชนิดที่มีกลิ่นเหม็น ซึ่งมาจากการทำปฏิกิริยาของสารอินทรีย์จากสิ่งขับถ่ายของสัตว์ ทำให้เกิดเหม็นในฟาร์มโคนม ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เพื่อการบำบัดสิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงโคนม มีความสะดวกใช้ง่ายและได้ผล เกษตรกรมีความพึงพอใจ

c10

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

c12

ชุดตรวจคัดกรองโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีก  โครงการนี้มุ่งเป้าในการผลิตแอนตี้บอดี้เพื่อใช้ในการตรวจคัดกรองโรคไข้หวัดนกจากสัตว์ปีก โรคที่บ้านเราเรียกกันโดยทั่วไปว่าไข้หวัดนกนั้นคือ โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อ Influenza virus type A ซึ่งเป็นอาร์เอนเอไวรัสใน family Orthomyxoviridae โดยไวรัสใน family นี้มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิดคือ Influenza virus type A, B, and C, Isavirus, และ Thogotovirus ด้วยข้อมูลการระบาดที่ผ่าน ๆ มาพบว่าเฉพาะเชื้อInfluenza virus type A เท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดโรคติดต่อร้ายแรงในสัตว์ปีกได้ ดังนั้นทาง ฝวช จึงได้พัฒนาแอนตี้บอดี้ต่อ nucleoprotein (NP) ของ Influenza virus type A จากสายพันธุ์ Influenza A/VietNam/HG-178/2004 (H5N1) เพื่อใช้ตรวจคัดกรองเพื่อแยกโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนกออกจากไวรัสตัวอื่นๆ และเนื่องจาก Influenza virus type A ชนิด H5 จากสายพันธุ์ Influenza A chicken/ Nakhonsawan/ Thailand/ CU-39/04 (H5N1), H7 จากสายพันธุ์ Influenza A/ chicken/ Italy/ 445/99 (H7N1), และ H9  จากสายพันธุ์ Influenza A/HongKong/1073/99(H9N2) เป็น subtype ของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกที่ก่อโรคและทำให้เกิดการระบาดของโรคได้รุนแรง ทาง ฝวช จึงได้พัฒนาแอนตี้บอดี้ต่อ hemagglutinin protein (HA) ต่อ subtype H5, H7, และ H9 เพื่อใช้ในการตรวจคัดกรองเบื้องต้นว่าการเกิดโรคไข้หวัดนกอยู่นั้นเป็นสาเหตุมาจาก H5, H7, และ H9 หรือไม่

c13

 

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

c11ผลิตภัณฑ์ยีสต์โปรตีน  เป็นผลิตภัณฑ์แหล่งโปรตีนที่มาจากจุลินทรีย์ คือยีสต์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ส่วนประกอบของโปรตีนในเซลล์สูง โดยมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบประมาณ 40-50% (โดยน้ำหนักแห้ง)

 

 

คุณสมบัติพิเศษ

สามารถใช้เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนได้ในภาวะที่แหล่งอาหารโปรตีนทั่วไปขาดแคลน เนื่องจากเป็นโปรตีนที่มาจากแหล่งจุลินทรีย์  ดังนั้นจึงมีข้อได้เปรียบมากกว่าแหล่งโปรตีน ที่มาจากเนื้อสัตว์หรือพืชโปรตีน กล่าวคือใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงที่สั้นและรวดเร็วในการผลิต  เมื่อเทียบกับการเลี้ยงสัตว์ หรือการปลูกพืชโปรตีน  เนื่องจากจุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็ว ในช่วงเวลา 24- 48 ชั่วโมง อีกประการหนึ่งคือ ใช้พื้นที่ในการผลิตที่น้อยกว่า การใช้ฟาร์มในการเลี้ยงสัตว์ หรือพื้นที่ดินในการเพาะปลูกพืชโปรตีน  สามารถที่จะใช้เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนได้ในกรณีแหล่งอาหารโปรตีนขาดแคลน จุลินทรีย์ยีสต์ คัดมาจากยีสต์ที่มาจากแหล่งอาหารเช่น ผลไม้ หรือ อาหารหมักดองพื้นบ้าน  นำมาคัดเลือกสายพันธุ์ ที่มีปริมาณโปรตีนสูง และเป็นสายพันธุ์ปลอดภัยต่อการบริโภคและสิ่งมีชีวิต

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

เครื่องผนึกสุญญากาศและเติมแก๊ส  เป็นเครื่องที่ออกแบบพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการบรรจุผลิตภัณฑ์โดยเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกรวดเร็วและสอดคล้องกับงานอุตสาหกรรมที่มีการบรรจุภัณฑ์ประเภทต่างๆ ไว้ในเครื่องเดียว ได้แก่ ประเภทของการผนึก ชนิดของวัสดุ บรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ ถุงพลาสติกชนิดหนา/บาง ขนาดความกว้างตั้งแต่ 10-40 ซม. หนา 80-200 ไมครอน เพื่อความสะดวก ลดต้นทุนการผลิตและเป็นการสนับสนุนการสร้างศักยภาพการผลิตผลิตภัณฑ์โดยวิศวกรไทย

d2

 

 

รายละเอียดเครื่อง

                                                                    (กว้าง x ยาว x สูง)

ขนาดเครื่อง                                                75 x 40 x 40 เซนติเมตร

ใช้งานแหล่งจ่ายไฟฟ้า                              AC 220V 50/60Hz

กำลังไฟฟ้า                                                 700 วัตต์

แรงดันลม                                                    5 บาร์

ขนาดความหนาของพลาสติกที่ใช้ได้        80 – 200 ไมครอน

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

เครื่องทอดสุญญากาศ : Vacuum Fryer   เป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพในการทอดผัก ผลไม้และเครื่องเทศต่างๆ ลดการเปลี่ยนแปลงสีและการสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอาหารจากการทอด

d1

 

จุดเด่น

ใช้ระบบสลัดน้ำมันในตัวด้วยการหมุน (900 rpm) ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความกรอบไม่อมน้ำมันและเก็บรักษาได้นาน ด้วยแรงดันสุญญากาศที่ทำได้ 0 ถึง -700 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ให้ความร้อนด้วยไฟฟ้า (ขดลวดความร้อน) ควบคุมอุณหภูมิด้วยอุปกรณ์ควบคุมแบบดิจิตอล (0-120C) มีชุดกรองเศษอาหารจากการทอด สามารถถอดทำความสะอาดได้ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับวัตถุดิบหลากหลายประเภท ขนาดและรูปร่าง

เครื่องทอดสุญญากาศได้รับการวิจัยและพัฒนา โดยฝ่ายวิศวกรรมสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต เครื่องเครื่องทอดสุญญากาศ ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อนำไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์

 

                                                             รายละเอียดเครื่อง

 

(กว้าง x ยาว x สูง)

ขนาดความจุถัง (Capacity)                  100 ลิตร (l) – [Size: d50xh50cm]

200 ลิตร (l) – [Size: d60xh60cm]

ใช้งานแหล่งจ่ายไฟฟ้า ระบบแรงดัน     380V, 220V (3 Phase 4 Wire)

 

 

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

ดุรงค์ฤทธิ์ สุดสงวน กองจัดการความรู้ ศูนย์ความรู้

เป็นเรื่องน่าแปลก  ผมเคยถามเพื่อนๆถึงเรื่อง วันสำคัญทางศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา  วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันดังกล่าว 15 ค่ำ เดือนอะไร ถามผู้ใหญ่บางครั้งตอบกันไม่ได้ ต้องใช้เวลาคิดทบทวน ถูกบ้าง ผิดบ้าง ยิ่งถามเด็กๆที่ร่ำเรียนกันอยู่ ต้องทบทวนกันนาน แถมตอบไม่ถูก เพราะ การศึกษาในเมืองไทย ส่วนใหญ่ชอบสอนอะไรที่เน้นการท่องจำมากกว่าสอนวิธีคิด วิเคราะห์ ทำให้การเรียนการสอนเกิดความเครียด บางครั้งน่าเบื่อ อย่ากระนั้นเลย…วันนี้จะสอนเทคนิคการจำ วันวิสาขบูชา  วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา ว่าผมมีวิธีเชื่อมโยงอย่างไรให้จำวันสำคัญทางศาสนาได้แม่นยำและง่ายดาย

  1. วันวิสาขบูชา ดูที่ ว กลับข้างจะเป็นเลข 6 ทันที…..คำคอบคือ 15 ค่ำ เดือน 6
  2. วันมาฆบูชา  ดูที่ ฆ หัวเป็นเลข ๓ ไทย…..คำคอบคือ 15 ค่ำ เดือน 3
  3. วันอาสาฬหบูชา เอา อ มาสานรวมกันเป็นเลข 8 …..คำคอบคือ 15 ค่ำ เดือน 8

     ง่ายจัง คนชอบถาม คิดได้ยังไง เพราะ สมองชอบการจำที่มีการเชื่อมโยง บางเรื่องไม่ค่อยมีเหตุผลมาก แค่จับบางอย่างมาใส่จินตนาการเข้าไปให้เห็นเป็นภาพ เสร็จแล้วเราก็เอา Mind Map มาจดบันทึก เก็บสะสมไว้กันลืม สามารถเอามาทบทวนใหม่ได้
remember

เทคนิคการจำ อาจมีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล สำหรับผมได้เรียนรู้การใช้ Mind Map ในการจดจำเป็นภาพ ประกอบกับเสริมความสามารถในการวาดรูป ทำให้การจำมีระบบมากขึ้น มีการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ให้จำง่ายขึ้น

การเรียนรู้เรื่อง Mind Map จึงมีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริง จาก เทคนิคการจำ วันสำคัญทางศาสนาพุทธ พร้อมภาพประกอบ Mind Map….เป็นอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้ครับ

วรรณวิภา กาญจนไวกูณฐ์ เรียบเรียง*

writer1

การที่จะเป็นนักเขียนได้ ต้องเริ่มจากอะไร ดร.นฤมล รื่นไวย์ ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้ วว. ได้ให้ข้อสังเกตว่า “คนที่จะเขียนให้ได้ดี ก็ควรจะเป็นคนที่ช่างอ่านด้วย” ผู้เขียนต้องทราบก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายหรือผู้อ่านคือใคร จะลงในพื้นที่ไหน จำนวนหน้าที่จะลง ต้องมีเค้าโครงที่จะมาลงในบทความของเราได้ จะเสนอประเด็นใดเป็นสำคัญ การเขียนบทความที่ดีนั้น เนื้อหาต้องมาจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งหรือคิดขึ้นเองจากจินตนาการ ภาษาที่ใช้ต้องกระชับให้ดีนั้น ประกอบด้วยหลักการต่างๆดังนี้

writer2

 

1. การเริ่มต้นเขียน

START
– ผู้เขียนต้องเลือกว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร ผู้เขียนมีความสนใจในเรื่องที่จะเขียนจริงหรือไม่ จะเขียนให้ใครอ่าน แล้วจึงจัดทำเค้าโครงเนื้อหา กลุ่มเป้าหมายที่จะอ่านคือใคร ต้องการเขียนเพื่อให้เขาเชื่อ เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อให้สาระ

2. วิธีการนำเสนอ/สไตล์การเขียน

STYLE
• การเล่าเรื่องให้ความรู้ทั่วๆไป ควรเรียงลำดับตามหัวข้อ ตามลำดับเวลา ตามลำดับความสำคัญ เรียงตามกระบวนการ
• การเปรียบเทียบระหว่างของสองสิ่ง หรือเรื่องสองเรื่องที่สามารถเปรียบเทียบกันได้ โดยทำการวิเคราะห์และแจกแจงให้เห็นสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ
• การเขียนแบบแสดงเหตุผล ต้องเขียนให้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น
• การเขียนเพื่ออธิบายคำจำกัดความ ให้คำนิยาม ควรอธิบายความเป็นมา ความหมาย มีวิธีการทำขึ้นมาอย่างไร
• การเขียนเพื่อแสดงข้อโต้แย้ง สิ่งที่ขัดแย้งกัน ควรเขียนให้เห็นข้อมูลทั้งสองด้านทั้งด้านที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย

3. หลักในการหาข้อมูลเพื่อการเขียน

data

• ต้องแสดงหลักฐานหรือเหตุผลที่มีน้ำหนัก ต้องมีการค้นคว้า หาข้อมูลหรือเอกสารที่ใช้อ้างอิงในการเขียนมาสนับสนุน รู้ว่า เขียนเรื่องอะไร เรื่องที่เขียน ต้องการข้อมูลอะไรบ้าง ข้อมูลที่ต้องการจะหาได้จากแหล่งไหนบ้าง โดยเลือกข้อมูลจากแหล่งที่ดีที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด
• ข้อมูลจากบุคคลที่น่าเชื่อถือ หนังสือ บทความจาก ห้องสมุด การสัมภาษณ์ เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ (องค์กรหรือหน่วยงานที่มีตัวตน) นำมาสกัดเฉพาะข้อมูลที่ต้องการใช้ เลือกที่มีความทันสมัย โดยดูจากปี พ.ศ. ที่เป็นปัจจุบันที่สุด แล้วนำมาเรียบเรียงเขียนเป็นบทความ

4. คุณภาพของบทความ

QUALITY
บทความที่มีคุณภาพ ควรมีลักษณะดังนี้
• เขียนได้ตรงประเด็น ตอบโจทย์หรือปัญหาที่ต้องการนำเสนอได้ เช่น การลดภาวะก๊าซเรือนกระจก ต้องสรุปตอบโจทย์การแก้ปัญหานั้นได้หรือไม่
• มีความกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ ใช้ภาษาเหมาะสมเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะมีเฉพาะกลุ่มที่เข้าใจ ถ้าจะทำให้ทุกกลุ่มสามารถเข้าใจได้ จะนับได้ว่าเป็นงานเขียนที่ดี
• มีความผิดพลาดทางภาษา และการพิมพ์น้อยที่สุด
• เป็นบทความที่ไม่ละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เช่น ไม่ลอกเลียนเนื้อหา รูปประกอบ รูปแบบตัวอักษร
• มีการอ้างเอกสาร และจัดทำรายการเอกสารอ้างอิง มีชื่อผู้เขียน วัน เดือน ปี พ.ศ
• เอกสารอ้างอิงมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
• ไม่มีฉันทาคติ หรือ ความลำเอียงใดๆ
• ควรมีรูปภาพประกอบ หากนำภาพมาจากแหล่งใด ควรเขียนขอบคุณแหล่งที่มาของภาพ

5. จริยธรรมในการเขียน

COPYPASTE
• ไม่ควรคัดลอกผลงานหรือขโมยความคิดของคนอื่นโดยไม่อ้างอิง
• ห้าม “โจรกรรมทางวิชาการ” หรือ “โจรกรรมทางวรรณกรรม”
• ห้าม copy and paste จากเว็บไซต์
• ห้ามนำข้อความของผู้อื่นมาใส่ไว้ในบทความของตนเอง โดยไม่มีการใส่ “………..” ก่อให้เกิด
ความเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นผู้เขียน
• ควรเขียนด้วยสำนวนตนเอง โดยดัดแปลงโครงสร้างประโยค เพื่อเขียนใหม่โดยไม่ซ้ำ
ประโยคเดิม โดยเนื้อหาถูกต้องครบถ้วน
การเขียนบทความต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1. บทนำ (Introduction)
• แนะนำว่า บทความนี้จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร
• สิ่งที่ผู้อ่านจะได้พบถัดไป เกริ่นนำให้ข้อมูลกว้างๆถึงสิ่งที่จะเขียน
• จุดมุ่งหมาย เพราะเหตุใดจึงเขียนเรื่องนี้ มีความสำคัญอย่างไร เป็นการสร้างมูลค่าหรือคุณค่าให้กับบทความของเรา พึงระลึกเสมอว่า บทความของเราแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร สิ่งที่จะเขียนจะให้ข้อมูลอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น
2. เนื้อหา (Content)
• ทบทวนเอกสาร (literature review) โดยแบ่งเป็นส่วนๆ หรือหัวข้อย่อยหรือย่อหน้า แต่ละส่วน พร้อมทั้งนำเสนอประเด็นแต่ละเรื่อง ตามความถนัดโดยเน้นเรื่องความจริงที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน
3.. บทสรุป
• สรุปย่อๆ ว่าได้เขียนประเด็นอะไร
• เสนอแนะสิ่งที่ผู้อ่านควรทำในตอนจบ
• แนวโน้มที่กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคตของประเด็นนั้นๆ
• การเขียนประโยคที่โดนใจผู้อ่าน เช่น “เริ่มเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีแผ่นดินให้อยู่ในวันหน้า”
เคล็ดลับการเขียนให้ดี
• วางโครงเรื่องดี
• ใช้ข้อมูลที่ดี มีประโยชน์กับผู้อ่าน
• ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับประเภทของบทความหรือกลุ่มผู้อ่าน
• เชี่ยวชาญการใช้ภาษา
• ขยันอ่าน และสังเกต
• ฝึกเขียนสม่ำเสมอ
• ใจกว้าง ยอมรับคำแนะนำ คำวิพากษ์ วิจารณ์

ดร.นฤมล รื่นไวย์ ผู้บรรยายยังได้ทิ้งท้ายว่า ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง (งาน) ได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คู่กับมัน ทำใจให้รัก สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองในการสละเวลาให้กับการเขียน “ถ้าผ่านการฝึกฝน จะสามารถทำได้แน่นอน” ดังนั้นทุกคนต้องฝึกฝนตนเอง สม่ำเสมอ ขจัดความกลัว แล้วก็จะทำได้ดี และถ้าทำด้วยใจรัก จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญมากขึ้น“Practice make perfect” เชื่อมั่นว่า การฝึกฝนจะสร้างนักเขียนได้….อย่างแน่นอน

practice

………………………..
* เรียบเรียงและสรุปจากการถ่ายทอดความรู้ภายในศูนย์ความรู้ วว. เรื่อง “ชาว ศคร.ขอเป็นนักเขียน”
วิทยากร : ดร.นฤมล รื่นไวย์ ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้ วว.

นพวรรณ หาแก้ว
กองจัดการความรู้ ศูนย์ความรู้

note

เมื่อสิ้นสุดคำพูดของผู้อำนวยการ ที่ว่า “ขออาสาสมัครช่วยจดบันทึก” ทุกคนจะก้มหน้า หลบสายตาทันที ถ้าเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ถือว่าจำเป็นต้องทำ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับพนักงานกองจัดการความรู้ (กจค.) จริงๆ ในเรื่องการจดรายงานการประชุม การสรุปสาระสำคัญของการฟังบรรยาย

การจดรายงานประชุมและสรุปสาระสำคัญ นั้น ทุกคนสามารถเรียนรู้ ฝึกฝน เพิ่มทักษะความชำนาญได้ ไม่เกี่ยวกับว่าชอบหรือไม่ แต่ถ้ามีความชอบเป็นพื้นฐานอยู่แล้วจะสามารถทำได้ดี การฝึกฝนส่วนหนึ่งควรมาจากการถ่ายทอดความรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ และการเรียนรู้ในรูปแบบ on the job training “ยิ่งฝึก ยิ่งเก่ง” ต้องอ่าน ฟัง และเขียนบ่อยๆ เพื่อตกผลึกความรู้ให้เกิดความชำนาญยิ่งขึ้น

  • หลักที่นำมาถ่ายทอดครั้งนี้ เป็นเทคนิคเฉพาะของผู้เขียน แต่สามารถนำมาเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และเริ่มต้นการเขียนให้ง่ายขึ้นได้ ดังนี้
  • เรื่องฟังยาก จับประเด็นไม่รู้เรื่อง ส่วนหนึ่งมาจากการไม่มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่ฟัง การเข้าร่วมประชุม รับฟังบรรยาย การอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้อง หรือติดตามข่าวสารเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่เรื่อยๆ นับเป็นสิ่งสำคัญในการปูพื้นฐานความรอบรู้ ความเข้าใจ ให้สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวการประชุม การบรรยายในเรื่องนั้นๆ ได้
  •  การจับใจความ สรุปประเด็น ควรหาบุคคลอ้างอิงที่สะท้อนภาพได้ชัดเจน เช่น ผู้ประกาศข่าว นักพูด หรือพิธีกรในรายการต่างๆ เป็นตัวอย่างในตั้งคำถาม ตอบคำถาม และสรุปประเด็น จะช่วยในเรื่องการฝึกภาษาและการใช้สำนวนการเขียนได้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งถือเป็นรูปแบบเฉพาะของแต่ละบุคคล แต่สามารถลอกเลียนแบบได้ ในลักษณะ “ครูพัก ลักจำ
  •  การจดรายงานประชุม ควรยึดตามรูปแบบมาตรฐาน หัวข้อ/ประเด็นต่างๆ ที่จะมีการพูดคุยได้กำหนดไว้ในระเบียบวาระการประชุม การสรุปประเด็นใช้หลัก 5W 1H (Who What When Where Why How) คือข้อความกระชับ สาระสำคัญครบถ้วน กรณีที่ประชุมมีการอภิปรายจนจับประเด็นสรุปใจความไม่ได้ ขอให้ยึดตามวาระหรือเรื่องที่พิจารณาว่าเป็นเรื่องอะไร และสรุปให้ตรงตามวาระหรือหัวข้อนั้นๆ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องปลีกย่อยที่มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง เพราะบางเรื่องไม่ใช่สาระสำคัญที่ควรนำมาเขียนสรุปในรายงาน และทำให้ไม่หลงประเด็น
  • การเขียนบทความหรือสรุปสาระสำคัญของการรับฟังการบรรยาย ควรเข้าใจเรื่องที่ฟัง ตีโจทย์ให้ได้ก่อนว่าผู้บรรยายต้องการสื่อให้ผู้ฟังรับรู้เรื่องอะไร (theme) ทางที่ดีควรหาอุปกรณ์บันทึกเสียง/วิดีโอไว้ล่วงหน้า เพื่อนำมาทบทวนเนื้อหาอีกครั้งจะทำให้เข้าใจเรื่องราวมากขึ้น ก่อนเขียนควรวางโครงเรื่องก่อนว่า จะเขียนรูปแบบใด แล้วประมวลเรื่องทั้งหมดมาใส่ในโครงเรื่องที่วางไว้
    • ขณะรับฟังต้องมีสมาธิ ไม่พลาดในการจดบันทึกคำสำคัญ/ใจความสำคัญ (keyword) ไว้เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะบทสรุปของผู้พูด/ผู้บรรยาย หรือพิธีกร เพราะจะทำให้มองภาพรวมและเชื่อมโยงเนื้อหาทั้งหมดได้
  • ทางที่ดีควรจัดทำสรุปรายงานหลังเสร็จสิ้นการรับฟังให้เร็วที่สุด เพราะทำให้สามารถจดจำคำพูด หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้แม่นยำกว่าปล่อยทิ้งช่วงเวลาไว้นาน เพราะจะหลงลืมประเด็นและอาจหลุดประเด็นสำคัญๆ ไปได้
  • การใช้ภาษา/สำนวน ในการเขียนบทความ/สรุปสาระสำคัญ เป็นรูปแบบที่แต่ละคนถนัด การ quote คำพูดของผู้บรรยาย เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการใช้สำนวนการเขียน เช่น “บนความผิดหวังจะมีความสมหวัง บนความผิดหวังจะมีประโยชน์อยู่เสมอ” ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมและการเดินโครงเรื่อง
  • ความคิดหรือไอเดียต่างๆ หรือที่เรียกว่า ปิ๊งแว๊บ จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นักเขียนที่ดีควรเตรียมพร้อมอุปกรณ์สำหรับการจดบันทึก เช่น กระดาษ ปากกา หรือบันทึกเสียงไว้ แล้วนำข้อความที่คิดได้นั้นมาใส่ในเนื้อหาที่เขียน
  • ประเด็นต่างๆ ในการประชุมที่มีการพูดคุยหารือในลักษณะข้อมูลตัวเลข สถิติ การเปรียบเทียบ การจดบันทึกให้เขียนแยกเป็นหมวดหมู่ หรือแสดงในรูปแบบตาราง กราฟ จะสามารถสื่อให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจนมากกว่าการจดบันทึกในลักษณะพรรณนาโวหาร
  •  รายงานการประชุม ควรแปลงจากภาษาพูดมาเป็นภาษาเขียนที่เป็นทางการ หลีกเลี่ยงคำทับศัพท์ หรือภาษาที่กำกวม เข้าใจยาก
  • กรณีที่การประชุมมีการอภิปรายกันมากและประธานที่ประชุมมิได้สรุปเป็นมติไว้ในช่วงท้ายวาระ ขอให้ผู้ที่ทำหน้าที่เลขานุการที่ประชุมท้วงติง ให้มีการสรุปเพื่อให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน และสามารถนำมาจดบันทึกเป็นมติไว้ในรายงานการประชุมได้

ทั้งหมดนี้คือประเด็นที่นำมาแลกเปลี่ยนในการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนพนักงาน กจค. ถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ในการจัดทำ CoPs ของ วว. อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจ และทุกคนสามารถพัฒนาทักษะตนเองให้เชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบได้เป็นอย่างดี ขอเพียงมี “ใจ” อะไรๆก็ง่ายนิดเดียว
………………………….

นพวรรณ หาแก้ว , สุรพล ตนานนท์ชัย เรียบเรียง*

jareya1

ไม่ว่าจะทำงานอาชีพใดๆ สิ่งสำคัญที่จะสร้างความภาคภูมิให้เกิดแก่ผู้นั้น คือ การยึดมั่นในหลักปฏิบัติของแต่ละอาชีพ นักวิจัยก็เช่นกัน
ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. ได้บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับจริยธรรม และจรรยาบรรณสำหรับนักวิจัยในการอบรมหลักสูตร “ TISTR Capacity Building : Leading to Professional Researchers การพัฒนาสมรรถนะนักวิจัย วว. สู่นักวิจัยมืออาชีพ” รุ่นที่ 2 โดยกล่าวว่า จริยธรรม จรรยาบรรณ มีความหมายในลักษณะเดียวกัน วิทยากรได้นำเสนอให้เห็นว่า นักวิจัยเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า ทดลองอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้การค้นคว้าวิจัยต่อยอด
ทำไมนักวิจัยจำเป็นต้องเรียนรู้ ศึกษา และประพฤติปฏิบัติตามหลักจริยธรรม
คำตอบนั้นได้มีการกำหนดอย่างชัดเจน โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ว่าจรรยาบรรณสำหรับนักวิจัยเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการประกอบอาชีพ เนื่องจากกระบวนการวิจัยได้เข้าไปเกี่ยวข้อกับสิ่งที่ต้องศึกษาทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อสิ่งที่ศึกษาค้นคว้า ทดลองได้ หากนักวิจัยไม่ประพฤติปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการที่ถูกต้องหรือไม่ระมัดระวัง
วิทยากรนำเสนอจริยธรรมในการปฏิบัติงานในส่วนราชการว่า มีการกําหนดขอบังคับวาดวยจรรยาบรรณขาราชการเพื่อใหสอดคลองกับลักษณะของงานตามหลักวิชาและจรรยาวิชาชีพ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของงานหมวด 5 การรักษาจรรยาบรรณข้าราชการ มาตรา78 ขาราชการพลเรือนสามัญตองรักษาจรรยาบรรณขาราชการตามที่สวนราชการกําหนดไวโดยมุ่งประสงคใหเปนขาราชการที่ดี มีเกียรติและศักดิ์ศรีความเปนขาราชการ โดยเฉพาะในเรื่องดังตอไปนี้

jareya2
1. การยึดมั่นและยืนหยัดทําในสิ่งที่ถูกตอง
2. ความซื่อสัตยสุจริตและความรับผิดชอบ
3. การปฏิบัติหนาที่ดวยความโปรงใสและสามารถตรวจสอบได
4. การปฏิบัติหนาที่โดยไมเลือกปฏิบัติอยางไมเปนธรรม
5. การมุงผลสัมฤทธิ์ของงาน
จรรยาบรรณสำหรับนักวิจัย เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้การดำเนินงานวิจัยอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานการศึกษาค้นคว้าให้เป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของนักวิจัยที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ มี 9 ประการโดยย่อ ดังนี้
1. นักวิจัยต้องมีซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงานวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัยและหน่วยงานที่ตนสังกัด
3. นักวิจัยต้องมีความรู้พื้นฐานในสาขาวิชาการที่ทำการวิจัยอย่างเพียงพอ
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
7. นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
วิทยากรได้นำเสนอตัวอย่างการทำงานวิจัยของฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ที่ใช้สัตว์ทดลองในการศึกษา ค้นคว้า โดยขั้นตอนการทำวิจัยจะต้องยึดหลักของจรรยาบรรณดังระบุข้างต้นทั้งสิ้น
ช่วงท้ายผู้เข้าอบรมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการปฏิบัติงานของแต่ละคน โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม จรรยาบรรณในการทำหน้าที่ ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนรู้และสรุปปิดท้ายการอบรมหลักสูตรนี้ได้อย่างประทับใจและสร้างกำลังใจที่ดีในการทำงานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง
………………………….
*เรียบเรียงจากการบรรยาย โดย ดร. ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. ได้บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับจริยธรรม และจรรยาบรรณสำหรับนักวิจัยในการอบรมหลักสูตร “ TISTR Capacity Building : Leading to Professional Researchers การพัฒนาสมรรถนะนักวิจัย วว. สู่นักวิจัยมืออาชีพ” รุ่นที่ 2 ณ วว.เทคโนธานี คลองห้า