วุ้นมะพร้าว (วุ้นสวรรค์) หรือ วุ้นมะพร้าวหรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “NATA de coco” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกระบวนการหมักน้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นของเหลือทิ้งทางการเกษตร โดยกิจกรรมของแบคทีเรียกรดน้ำส้ม (Acetic acid bacteria) ที่พบได้ทั่วไปในการทำน้ำส้มสายชูหมักตามธรรมชาติแบคทีเรียกรดน้ำส้มนี้มีชื่อเรียกว่า Acetobacter xylinum ผลผลิตจากกระบวนการหมักของแบคทีเรีย กรดน้ำส้มนี้คือ โพลิแซคคาร์ไรด์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วุ้นน้ำมะพร้าว (วุ้นสวรรค์)” นั้นเอง แผ่นวุ้นนี้เป็นเซลลูโลส (Bacterial cellulose) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลกลูโคสเรียงต่อกันเป็นสายยาวด้วยพันธะเบต้า -1,4 ไกลโคซิดิค (B-1,4 glycosidic bond) และกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ซึ่งมีรสเปรี้ยวและจากคุณสมบัติ และลักษณะโครงสร้างทางเคมีของวุ้นน้ำมะพร้าวนี้ เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไป ในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์จะไม่มีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ใดๆ ที่สามารถย่อย สลายวุ้นน้ำมะพร้าวนี้ได้ ดังนั้น วุ้นน้ำมะพร้าวจึงถูกจัดเป็นสารอาหารประเภทเส้นใยอาหาร (Dietary fiber) จากคุณสมบัติดีเด่นของวุ้นน้ำมะพร้าวจึงมีผู้นิยมบริโภค โดยใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก และเป็นประโยชน์ในด้านการส่งเสริมและ/หรือช่วยระบบขับถ่าย ตลอดจนสามารถนำมาแปรรูป/ประยุกต์ใช้เป็นอาหาร และ/หรือส่วนประกอบของอาหารคาวหวานได้มากมายหลายชนิด เช่น ยำ หรือใช้ แทนปลาหมึก หรือแมงกะพรุนในอาหารประเภทต่างๆ วุ้นลอยแก้ว รวมมิตร โยเกิรต์ ไอศกรีม และเยลลี่ เป็นต้น
ปริมาณและสารอาหารในวุ้นมะพร้าว ประกอบด้วย
-น้ำ 94.40 %
-ไขมัน 0.05 %
-ไฟเบอร์ 1.10 %
-เถ้า 0.77 %
-คาร์โบไฮเดรต 3.00 %
-แคลเซียม 34.50 มิลลิกรัม/100 กรัม
-เหล็ก 0.20 มิลลิกรัม/100 กรัม
-ฟอสฟอรัส 22.00 มิลลิกรัม/100 กรัม
-ไทอามีน 0.01 มิลลิกรัม/100 กรัม
-ไรโบเฟลวิน 0.06 มิลลิกรัม/100 กรัม
-ไนอาซีน 0.22 มิลลิกรัม/100 กรัม
(ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ,2518)
การผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว (วุ้นสวรรค์)
วัตถุดิบและอุปกรณ์
การเตรียมหัวเชื้อเริ่มต้น (starter)
– น้ำมะพร้าวสดใหม่                                     100   มิลลิลิตร (ซีซี)
– น้ำตาลทราย (0.5-1.0%)                             0.5-1.0 กรัม
– หัวเชื้อวุ้น Acetobacter  xylinum
– ขวดแก้วสะอาด (เช่น ขวดโซดา)
– สำลีและกระดาษสมุดหน้าเหลือง/กระดาษปอนด์
การผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว
-น้ำมะพร้าวจากผลแก่                                          1  ลิตร
-น้ำตาลทราย (0.5-1.0%)                               50-100  กรัม
-หัวน้ำสมสายชู (5%)                                          1  ช้อนโต๊ะ
-สารแอมโมเนียมซัลเฟต                                0.5-1.0   กรัม
-เหล้าขาว (เอทธานอล)                                 100-150 00มล.
หัวเชื้อ  A.xylinum                                         100-200  มล.
หมายเหตุ; * ถ้าไม่มีไม่ต้องใส่
วิธีการเตรียมหัวเชื้อเริ่มต้น นำน้ำมะพร้าวและน้ำตาลทรายผสมกันตามอัตราส่วนข้างต้นผสมในหม้อ ปิดฝาหม้อ ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที นำไปบรรจุลงในขวดแก้วสะอาด ปิดปากขวดด้วยจุกสำลี นำไปหล่อเย็นในอ่างน้ำ เมื่อขวดอาหานเย็นแล้ว เติมหัวเชื้อวุ้นบริสุทธิ์ลงไปปิดจุกสำลีแล้วหุ้มด้วยกระดาษสมุดหน้าเหลือง หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ นำไปบ่มไว้ที่อุณภูมิห้อง เป็นเวลาประมาณ 2-3 วัน เชื้อจะเจริญเติบโต โดยจะสังเกตเห็นแผ่นวุ้นขุ่นๆ เป็นชั้นบางๆ พร้อมใช้งานเพื่อเป็นหัวเชื่อเริ่มต้น
วิธีการผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว  นำน้ำมะพร้าวมาผสมกับน้ำตาลทรายและแอมโมเนียมซัลเฟต ตามอัตราส่วนข้างต้น ลงในหม้อ ปิดฝาหม้อแล้วต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที จากนั้นนำหม้อมาหล่อเย็นในอ่างน้ำ ทิ้งไว้พออุ่นๆ จึงเติมกรดอะซิติกเหล้าขาว และหัวเชื้อวุ้นลงไป ผสมให้เข้ากัน ( ผสมทุกอย่างตามอัตราส่วนที่กำหนดและถ้าต้องการการผลิตแผ่นวุ้นหลายๆแผ่นจะต้องเพิ่มอัตราส่วนตามกำหนด)นำถาดสเตนเลสหรือถาดพลาสติกที่เตรียมไว้ (โดยผ่านการลวกฆ่าเชื้อถาดด้วยน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว ปิดถาดด้วยกระดาษปอนด์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการใช้เตารีดร้อนๆ) เปิดกระดาษออกเล็กเล็กน้อย เพื่อเดิมอาหารเลี้ยงเชื้อวุ้นข้างต้นลงไปในถาดโดยให้มีความสูงประมาณ 3-4 ซม. จากก้นถาด ปิดด้วยกระดาษเหมือนเดิมเพื่อป้องกันฝุ่นหรือเชื้ออื่นลงไป แต่อากาศยังสามารถผ่านเข้าออกได้ นำไปวางไว้ในห้องบ่มเลี้ยงเชื้อเป็นระยะเวลา 7-14 วันโดยประมาณ หรือทำการเลี้ยงเชื้อจนกระทั่งอาหารเกือบแห้งจะได้แผ่นวุ้นที่มีความหนาประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของอาหารเลี้ยงเชื้อ ข้อควรระวัง ในระหว่างบ่มเลี้ยงเชื้อห้ามย้ายและกระทบกระเถือนถาด  โดยแผ่นวุ้นที่ผลิตได้จะมีกลิ่นเปรี้ยวเนื่องจากเชื้อวุ้นจะผลิตกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ซึ่งมีรสเปรี้ยวออกมาด้วย  หมายเหตุ ; น้ำหมักส่วนที่เหลือจากการเก็บผลผลิต (แผ่นวุ้น) ออกไปแล้ว สามารถนำไปเป็นหัวเชื้อเริ่มต้นสำหรับการหมักครั้งต่อไปได้ หรือนำมากรองแล้วนำไปต้มพอเดือดเพื่อแปรรูปเป็นน้ำส้มสายชูหมักสำหรับปรุงอาหารได้
การแปรรูป
ก่อนนำมาประกอบอาหารหรือแปรรูป ต้องล้าง กรดออกให้หมดก่อน โดยนำแผ่นวุ้นทั้งแผ่น หรือตัดแผ่นวุ้นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดพอคำ หรือเป็นเส้นๆก่อน แล้วนำมาแช่ในน้ำสะอาดนานประมาณ 2-3 คืนโดยหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำที่แช่วันละ 2 ครั้ง (เช้าเย็น) กลิ่นกรดและรสเปรี้ยวก็จางหายไปนำวุ้นข้างต้นขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำเพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นอาหารคาว หวาน ต่อไป หรือนำบรรจุขวดแก้วปิดผาสนิท แล้วนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำเดือดนาน 30 นาที ตั้งทิ้งไว้ให้เย้นสามารถเก็บไว้บริโภคไวได้

วุ้นมะพร้าว หรือ วุ้นสวรรค์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “NATA de coco” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกระบวนการหมักน้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นของเหลือทิ้งทางการเกษตร โดยกิจกรรมของแบคทีเรียกรดน้ำส้ม (Acetic acid bacteria) ที่พบได้ทั่วไปในการทำน้ำส้มสายชูหมักตามธรรมชาติ  แบคทีเรียกรดน้ำส้มนี้มีชื่อเรียกว่า Acetobacter xylinum  ผลผลิตจากกระบวนการหมักของแบคทีเรียกรดน้ำส้มนี้คือ โพลิแซคคาร์ไรด์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วุ้นน้ำมะพร้าว (วุ้นสวรรค์)” นั้นเอง  แผ่นวุ้นนี้เป็นเซลลูโลส (Bacterial cellulose) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลกลูโคสเรียงต่อกันเป็นสายยาวด้วยพันธะเบต้า -1,4 ไกลโคซิดิค (B-1,4 glycosidic bond) และกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ซึ่งมีรสเปรี้ยว

จากคุณสมบัติ และลักษณะโครงสร้างทางเคมีของวุ้นน้ำมะพร้าวนี้ เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไป ในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์จะไม่มีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ใดๆ ที่สามารถย่อย สลายวุ้นน้ำมะพร้าวนี้ได้ ดังนั้น วุ้นน้ำมะพร้าวจึงถูกจัดเป็นสารอาหารประเภทเส้นใยอาหาร (Dietary fiber)

จากคุณสมบัติดีเด่นของวุ้นน้ำมะพร้าวจึงมีผู้นิยมบริโภค โดยใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก และเป็นประโยชน์ในด้านการส่งเสริมและ/หรือช่วยระบบขับถ่าย ตลอดจนสามารถนำมาแปรรูป/ประยุกต์ใช้เป็นอาหาร และ/หรือส่วนประกอบของอาหารคาวหวานได้มากมายหลายชนิด เช่น ยำ หรือใช้ แทนปลาหมึก หรือแมงกะพรุนในอาหารประเภทต่างๆ วุ้นลอยแก้ว รวมมิตร โยเกิรต์ ไอศกรีม และเยลลี่ เป็นต้น

ปริมาณและสารอาหารในวุ้นมะพร้าว ประกอบด้วย

  • น้ำ     94.40 %
  • ไขมัน     0.05 %
  • ไฟเบอร์     1.10 %
  • เถ้า     0.77 %
  • คาร์โบไฮเดรต     3.00 %
  • แคลเซียม     34.50 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • เหล็ก     0.20 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ฟอสฟอรัส     22.00 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไทอามีน     0.01 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไรโบเฟลวิน     0.06 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไนอาซีน 0.22 มิลลิกรัม/100 กรัม

(ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ,2518)

การผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว (วุ้นสวรรค์)

วัตถุดิบและอุปกรณ์

การเตรียมหัวเชื้อเริ่มต้น (starter)

  • น้ำมะพร้าวสดใหม่     100   มิลลิลิตร (ซีซี)
  • น้ำตาลทราย (0.5-1.0%)      0.5-1.0 กรัม
  • หัวเชื้อวุ้น Acetobacter  xylinum
  • ขวดแก้วสะอาด (เช่น ขวดโซดา)
  • สำลีและกระดาษสมุดหน้าเหลือง/กระดาษปอนด์

การผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว

  • น้ำมะพร้าวจากผลแก่      1  ลิตร
  • น้ำตาลทราย (0.5-1.0%)     50-100  กรัม
  • หัวน้ำสมสายชู (5%)     1  ช้อนโต๊ะ
  • สารแอมโมเนียมซัลเฟต     0.5-1.0   กรัม
  • เหล้าขาว (เอทธานอล)     100-150 00มล.
  • หัวเชื้อ  A.xylinum     100-200  มล.

หมายเหตุ; * ถ้าไม่มีไม่ต้องใส่

วิธีการเตรียมหัวเชื้อเริ่มต้น

  1. นำน้ำมะพร้าวและน้ำตาลทรายผสมกันตามอัตราส่วนข้างต้นผสมในหม้อ
  2. ปิดฝาหม้อ ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที
  3. นำไปบรรจุลงในขวดแก้วสะอาด ปิดปากขวดด้วยจุกสำลี
  4. นำไปหล่อเย็นในอ่างน้ำ
  5. เมื่อขวดอาหานเย็นแล้ว เติมหัวเชื้อวุ้นบริสุทธิ์ลงไปปิดจุกสำลีแล้วหุ้มด้วยกระดาษสมุดหน้าเหลือง หรือกระดาษหนังสือพิมพ์
  6. นำไปบ่มไว้ที่อุณภูมิห้อง เป็นเวลาประมาณ 2-3 วัน เชื้อจะเจริญเติบโต โดยจะสังเกตเห็นแผ่นวุ้นขุ่นๆ เป็นชั้นบางๆ พร้อมใช้งานเพื่อเป็นหัวเชื่อเริ่มต้น

วิธีการผลิตวุ้นน้ำมะพร้าว

  1. นำน้ำมะพร้าวมาผสมกับน้ำตาลทรายและแอมโมเนียมซัลเฟต ตามอัตราส่วนข้างต้น ลงในหม้อ
  2. ปิดฝาหม้อแล้วต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที
  3. จากนั้นนำหม้อมาหล่อเย็นในอ่างน้ำ
  4. ทิ้งไว้พออุ่นๆ จึงเติมกรดอะซิติกเหล้าขาว และหัวเชื้อวุ้นลงไป ผสมให้เข้ากัน ( ผสมทุกอย่างตามอัตราส่วนที่กำหนดและถ้าต้องการการผลิตแผ่นวุ้นหลายๆแผ่นจะต้องเพิ่มอัตราส่วนตามกำหนด)
  5. นำถาดสเตนเลสหรือถาดพลาสติกที่เตรียมไว้ (โดยผ่านการลวกฆ่าเชื้อถาดด้วยน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว ปิดถาดด้วยกระดาษปอนด์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการใช้เตารีดร้อนๆ)
  6. เปิดกระดาษออกเล็กเล็กน้อย เพื่อเติมอาหารเลี้ยงเชื้อวุ้นข้างต้นลงไปในถาดโดยให้มีความสูงประมาณ 3-4 ซม. จากก้นถาด
  7. ปิดด้วยกระดาษเหมือนเดิมเพื่อป้องกันฝุ่นหรือเชื้ออื่นลงไป แต่อากาศยังสามารถผ่านเข้าออกได้
  8. นำไปวางไว้ในห้องบ่มเลี้ยงเชื้อเป็นระยะเวลา 7-14 วันโดยประมาณ หรือทำการเลี้ยงเชื้อจนกระทั่งอาหารเกือบแห้งจะได้แผ่นวุ้นที่มีความหนาประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของอาหารเลี้ยงเชื้อ

ข้อควรระวัง

ในระหว่างบ่มเลี้ยงเชื้อห้ามย้ายและกระทบกระเถือนถาด  โดยแผ่นวุ้นที่ผลิตได้จะมีกลิ่นเปรี้ยวเนื่องจากเชื้อวุ้นจะผลิตกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ซึ่งมีรสเปรี้ยวออกมาด้วย

หมายเหตุ

น้ำหมักส่วนที่เหลือจากการเก็บผลผลิต (แผ่นวุ้น) ออกไปแล้ว สามารถนำไปเป็นหัวเชื้อเริ่มต้นสำหรับการหมักครั้งต่อไปได้ หรือนำมากรองแล้วนำไปต้มพอเดือดเพื่อแปรรูปเป็นน้ำส้มสายชูหมักสำหรับปรุงอาหารได้

การแปรรูป

ก่อนนำมาประกอบอาหารหรือแปรรูป ต้องล้าง กรดออกให้หมดก่อน  โดยนำแผ่นวุ้นทั้งแผ่น หรือตัดแผ่นวุ้นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดพอคำหรือเป็นเส้นๆก่อน  แล้วนำมาแช่ในน้ำสะอาดนานประมาณ 2-3 คืนโดยหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำที่แช่วันละ 2 ครั้ง (เช้าเย็น) กลิ่นกรดและรสเปรี้ยวก็จางหายไป  นำวุ้นข้างต้นขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำเพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นอาหารคาว หวาน ต่อไป หรือนำบรรจุขวดแก้วปิดผาสนิท แล้วนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำเดือดนาน 30 นาที ตั้งทิ้งไว้ให้เย้นสามารถเก็บไว้บริโภคไว้ได้

แยมกล้วยผสมมะเขือเทศ
ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้า 50 กรัม
เนื้อมะเขือเทศ 50 กรัม
น้ำสะอาด 200 กรัม
น้ำตาลทราย 150 กรัม
เกลือป่น 1 กรัม
เพคติน 4 กรัม
น้ำมะนาว 15 กรัม
วิธีทำ
ชั่งส่วนผสมตามสูตร
ปอกกล้วยและล้างมะเขือเทศคว้านเมล็ดออกเอาแต่เนื้อ
ปั้นกล้วยและปั่นมะเขือเทศกับน้ำสะอาดจนละเอียด(น้ำกล้วย+น้ำมะเขือเทศ)
ตั้งไฟน้ำมะเขือเทศจนเดือนจับเวลา 10 นาที
ผสมเพคติน เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกันแล้วเติมส่วนผสมของเพคตินในน้ำกล้วย+น้ำมะเขือเทศ
คนให้ละลาย จับเวลา 20 นาที
เติมน้ำมะนาวจับเวลา 10 นาที
บรรจุใส่ภาชนะที่ลวกเสร็จใหม่ๆขณะแยมยังร้อน
แยมกล้วยผสมมะเขือเทศ
ส่วนผสม
  • กล้วยน้ำว้า 50 กรัม
  • เนื้อมะเขือเทศ 50 กรัม
  • น้ำสะอาด 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • เกลือป่น 1 กรัม
  • เพคติน 4 กรัม
  • น้ำมะนาว 15 กรัม
วิธีทำ
  1. ชั่งส่วนผสมตามสูตร
  2. ปอกกล้วยและล้างมะเขือเทศคว้านเมล็ดออกเอาแต่เนื้อ
  3. ปั้นกล้วยและปั่นมะเขือเทศกับน้ำสะอาดจนละเอียด(น้ำกล้วย+น้ำมะเขือเทศ)
  4. ตั้งไฟน้ำมะเขือเทศจนเดือนจับเวลา 10 นาที
  5. ผสมเพคติน เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกันแล้วเติมส่วนผสมของเพคตินในน้ำกล้วย+น้ำมะเขือเทศ
  6. คนให้ละลาย จับเวลา 20 นาที
  7. เติมน้ำมะนาวจับเวลา 10 นาที
  8. บรรจุใส่ภาชนะที่ลวกเสร็จใหม่ๆขณะแยมยังร้อน

ส่วนผสม
เนื้อมะเขือเทศ 90 กรัม
น้ำสะอาด 200 กรัม
น้ำตาลทราย 100 กรัม
เกลือป่น 1 กรัม
เพคติน 4 กรัม
น้ำมะนาว 10 กรัม
วิธีทำ
ชั่งส่วนผสมตามสูตร
ล้างมะเขือเทศคว้านเมล็ดออกเอาแต่เนื้อ
ปั่นมะเขือเทศกับน้ำสะอาดจนละเอียด(น้ำมะเขือเทศ)
ตั้งไฟน้ำมะเขือเทศจนเดือนจับเวลา 10 นาที
ผสมเพคติน เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกันแล้วเติมส่วนผสมของเพคตินในน้ำมะเขือเทศ
คนให้ละลาย จับเวลา 20 นาที
เติมน้ำมะนาวจับเวลา 10 นาทีและเคียวต่อจนกระทั่งน้ำหนักสุดท้ายของผลิตภัณฑ์เหลือ 185 กรัม
บรรจุใส่ภาชนะที่ลวกเสร็จใหม่ๆขณะแยมยังร้อน

ส่วนผสม

  • เนื้อมะเขือเทศ 90 กรัม
  • น้ำสะอาด 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • เกลือป่น 1 กรัม
  • เพคติน 4 กรัม
  • น้ำมะนาว 10 กรัม

วิธีทำ

  1. ชั่งส่วนผสมตามสูตร
  2. ล้างมะเขือเทศคว้านเมล็ดออกเอาแต่เนื้อ
  3. ปั่นมะเขือเทศกับน้ำสะอาดจนละเอียด(น้ำมะเขือเทศ)
  4. ตั้งไฟน้ำมะเขือเทศจนเดือนจับเวลา 10 นาที
  5. ผสมเพคติน เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกันแล้วเติมส่วนผสมของเพคตินในน้ำมะเขือเทศ
  6. คนให้ละลาย จับเวลา 20 นาที
  7. เติมน้ำมะนาวจับเวลา 10 นาทีและเคียวต่อจนกระทั่งน้ำหนักสุดท้ายของผลิตภัณฑ์เหลือ 185 กรัม
  8. บรรจุใส่ภาชนะที่ลวกเสร็จใหม่ๆขณะแยมยังร้อน

ก่อนที่เราจะมาทำแยมผลไม้เพื่อสุขภาพกันนั้น เรามารู้จักส่วนผสมสำหรับทำแยมผลไม้เพื่อสุขภาพกันก่อนดีกว่า

กล้วยน้ำว้า

เป็นกล้วยพันธุ์หนึ่ง พัฒนามาจากลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี บริโภคอย่างแพร่หลาย ปลูกง่าย รสชาติดี อร่อยด้วย  กล้วยน้ำว้ามีธาตุเหล็กในปริมาณสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือกแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง  กล้วยน้ำว้ามีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีช่วยบำรุงกระดูกฟันและเหงือกให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณดี  กล้วยน้ำว้ามีเบต้าแคโรทีน ไนอาซีนและใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่อง  การกินกล้วยน้ำว้าจะช่วยระบายท้อง  กล้วยน้ำว้าดิบและห่ามมีสารแทนนิน เพคติน มีรสฝาดสมานรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ โดยกินครั้งละครึ่งผลหรือ ๑ ผล อาการท้องเสียจะทุเลาลง นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า มีผลในการรักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย

มะเขือเทศ

รูปร่างมีทั้งกลม ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียวหรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้มหรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำ มีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก  มะเขือเทศสามารถยังยั้งการเจริญเติมโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อรา  มะเขือเทศสามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด  มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน มีคุณสมบัติลดการเกิดมะเร็งลำไส้และมเร็งต่อมลูกหมากได้  มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก  มะเขือเทศมีกรดอะมิโนชื่อ กลูตามิค สูง ซึ่งกรดอะมิโนนี้เป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย  มะเขือเทศยังช่วยระบบย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระ  เราสามารถรักษาสิว สมานผิวหน้าให่เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพองหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบางๆแปะบนใบหน้าจะช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มได้

มะนาว

ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะมีสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก  นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรสนอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ  ในมะนาวมีปริมาณของกรดซิตริกมีความลำคัญต่อรสของผลิตภัณท์ประเภทแยมและยังช่วยให้เจลอยู่ตัวมากขึ้น แต่ถ้ามีกรดมากเกินไปก็จะทำลายความอยู่ตัวของแจลได้

แยม

ผลิตภัณฑ์ทำจากผลไม้กับสารที่ให้ความหวาน อาจผสมน้ำผลไม้หรือผลน้ำผลไม้เข็มข้นด้วยก็ได้ และทำให้มีความเหนียวพอเหมาะ  แยมประกอบด้วยส่วนของผลไม้ 45 ส่วนต่อน้ำตาล 55 ส่วน ต้มหรือเคี่ยวไปเรื่อยๆจนมีความเข้มข้นประมาณ 68.5-70 องศาบริกซ์ มีค่า pH 3.5  แยมอาจทำจากผลไม้ชนิดเดียวหรือหลานชนิดผสมกันก็ได้

น้ำตาล

เป็นตัวให้ความหวานและเนื้อแก่ผลิตภัณฑ์ และช่วยให้เพคตินตกตะกอนเป็นเจล  ปริมาณน้ำตาลที่ใช้ขึ้นอยู่กับปริมาณแพคตินและความเป็นกรดด่างของเนื้อหรือน้ำผลไม้ชนิดนั้นๆ ถ้าปริมาณแพคตินมาก ปริมาณน้ำตาลที่ใช้ต่อน้ำหนักของผลไม้ก็มากด้วย แต่ถ้าผลไม้มีความเป็นกรดสูง(เปรี้ยว)จะใช้ประมาณน้ำตาลน้อย

เพคติน

เพคติล ( pectin) เป็นสารละลายน้ำได้  เป็นสารที่สกัดจากผลไม้ เช่น เปลือกส้ม ส้มโอ เป็นต้น  เพคติลจะเกิดเป็นร่างแหในขณะที่ต้มน้ำตาลกับผลไม้ ทำให้เกิดเจลขึ้น ปริมาณเพคติลที่เติมลงไปขึ้นอยู่กับชนิดผลไม้ คือ ถ้าปริมาณเพคตินในผลไม้มากจำนวนเพคติลที่เติมลงไปก็น้อยหรืออาจไม่ต้อง ใช้เลยก็ได้

เกลือ

เป็นแร่ธาตุทางโภชนาการชนิดหนึ่ง โดยหลักแล้วคือโซเดียมคลอไรด์ ( เกลือแกง)  เกลือบริโภคสามารถผลิตได้จากน้ำทะเลหรือดินเค็ม เป็นเครื่องปรุงอาหารที่ให้รสเค็มที่มีมาตั้งแต่โบราณ สามารถใช้ถนอมอาหารได้

เอกสารการแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี 2554

1. Economic Outlook : ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี 2554 [ภาษาไทย] [ภาษาอังกฤษ]

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เว็บไซต์ : www.nesdb.go.th

วันที่ 23 พฤษภาคม 2554

สำหรับหน่วยงานราชการ หน่วยงานกำกับของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ ที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการสนับสนุนให้การดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนงบประมาณประจำปี และจำเป็นต้องรับทราบถึงเกณฑ์ราคามาตรฐานครุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ มีกรอบในการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ อันนำมาซึ่งความคุ้มค่าในการลงทุน และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันทางราคา จึงมีการกำหนดเกณฑ์ราคามาตรฐานของครุภัณฑ์ขึ้น ซึ่งเกณฑ์ราคามาตรฐานล่าสุดต่าง ๆ มีดังนี้

ดิน

หมายถึง วัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการสลายตัวทางกายภาพ และทางเคมีของดิน และแร่ รวมกับสารอินทรีย์ ที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์เป็นผิวชั้นบนที่ห่องหุ้มโลก ซึ่งดินจะมีลักษณะและคุณสมบัติต่างกันไปในที่ต่าง ๆ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัตถุต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิตและระยะเวลาการสร้างตัวของดิน

ความสำคัญของดิน

  • ดินทำหน้าที่เป็นที่ให้รากพืชได้เกาะยึดเหนี่ยวเพื่อให้ลำตันของพืชยืนต้นได้อย่างมั่นคงแข็งแรง
  • ดินทำหน้าที่เป็นแหล่งให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช
  • ดินเป็นแหล่งที่เก็บกักน้ำหรือความชื้นในดินและเป็นแหล่งที่ให้อากาศในดินที่รากพืชใช้ในการหายใจ

กรด

หมายถึง สารประกอบที่มีไฮโดรเจนประกอบอยู่เมื่อละลายน้ำก็จะแตกตัวให้ไฮโดรเจนไออน (H+)

กรดในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำอัดลม

ด่าง

หมายถึง สารประกอบจำพวกไฮดรอกไซด์ของโลหะแอลคาไลด์ ซึ่งละลายน้ำจะแตกตัว ให้ไฮดรอกไซด์ไออน (OH-) เสมอ มีรสฝาด ถูกมือลื่นคล้ายสบู่

ด่างในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำขี้เถ้า น้ำยาล้างจาน สบู่ แชมพู ผงฟู ผงซักฟอก

ความเป็นกรด – ด่างของดินมีความสำคัญอย่างไร

ความเป็นกรด-ด่างของดิน นิยมบอกเป็นค่า pH ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 1-14 โดยดินที่มี pH ต่ำกว่า 7 จัดว่าเป็นดินกรด ส่วนค่า pH สูงกว่า 7 จัดว่าเป็นดินด่าง และค่า pH เท่ากับ 7 จัดว่า ดินเป็นกลาง

ความเป็นกรด-ด่างเป็นตัวควบคุมการละลายธาตุ อาหารในดิน ให้ออกมาอยู่ในรูปสารละลายรวมกับน้ำในดิน ถ้าดินมีความเป็นกรด-ด่างไม่เหมาะสม ธาตุอาหารในดินอาจละลายออกมาได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช หรือในทางตรงกันข้ามธาตุอาหารบางชนิดอาจละลายออกมามากเกินไปจนเป็นพิษต่อพืชได้

ดินกรดหรือดินเปรี้ยว

หมายถึง ดินที่มีระดับ pH ต่ำกว่า 7 มีวิธีการแก้ไขดินกรดโดยเติมปูนขาว หินปูนบด หรือ ใส่น้ำท่วมขังบริเวณที่เป็นกด

ดินด่าง

หมายถึง ดินที่มีระดับ pH สูงกว่า 7 มีวิธีการแก้ไขดินด่างโดยเติมอินทรีย์วัตถุหรือปลูกพืชบำรุงดิน

การวัดความเป็นกรด-ด่างของดิน

วิธีที่นิยมมี 2 วิธีคือ

  • วัดด้วยเครื่องวัดทีเรียกว่า pH Meter หลักการ คือ เปรียบเทียบค่าความต่างศักย์ระหว่าง glass electrode กับ reference electrode ค่าความต่างศักย์ที่ได้จะถูกเปลี่ยนเป็นหน่วย pH
  • การวัดด้วยน้ำยาเปลี่ยนสี (Indicator) น้ำยาเปลี่ยนสีจะเปลี่ยนสีไปตาม pH ของดินที่เปลี่ยนไป

ระดับความรุนแรงกรด-ด่างของดิน

ค่า pH

สภาพความเป็นกรด-ด่าง

น้อยกว่า 3.5 กรดรุนแรงที่สุด (ultra acid)
3.5-4.5 กรดรุนแรงมาก (extremely acid)
4.6-5.0 กรดจัดมาก (very strongly acid)
5.1-5.5 กรดจัด (strongly acid)
5.6-6.0 กรดปานกลาง (moderately acid)
6.1-6.5 กรดเล็กน้อย (slightly acid)
6.6-7.3 กลาง (neutral)
7.4-7.8 ด่างเล็กน้อย (slightly alkaline)
7.9-8.4 ด่างปานกลาง (moderately alkaline)
8.5-9.0 ด่างจัด (strongly alkaline)
มากกว่า 9.0 ด่างจัดมาก (very strongly alkaline)

งานบริการวิเคราะห์ดิน ปุ๋ย

รายการ

ราคา(บาท)/หน่วย

ความเป็นกรด-ด่าง 100
ค่าการนำไฟฟ้า 100
อินทรียวัตถุ 200
ไนโตรเจนทั้งหมด 200
ฟอสฟอรัสทั้งหมด 200
โพแทสเซียมทั้งหมด 200
แคลเซียม 200
แมกนีเซียม 200
เหล็ก 200
ทองแดง 200
แมงกานีส 200
สังกะสี 200

สนใจติดต่อ ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร (ฝทก.)

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

โทร 025779243, 025779280-1

โทรสาร 025779246

โดย ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

1. ความสำคัญ

การขยายพันธุ์พืชจัดว่ามีความสำคัญในการปลูกพืช เพราะขั้นตอนแรกของการเพาะปลูกต้องมีต้นกล้าพืชเสียก่อน การเลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชที่เหมาะสมจะทำให้สามารถผลิตต้นกล้าได้ตามปริมาณและคุณภาพที่ต้องการ ซึ่งเป็นผลไปถึงคุณภาพหรือปริมาณของผลผลิตของพืชนั้นๆ นอกจากนี้การขยายพันธุ์พืชยังมีความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่หายากหรือใกล้จะสูญพันธุ์

2. การขยายพันธุ์พืชวิธีต่างๆ

การขยายพันธุ์พืชแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด กับการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพันธุ์โดยการใช้ส่วนต่างๆ ของต้นพืช เช่น     การปักชำ การตอนกิ่ง การติดตา การต่อกิ่ง รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

2.1. การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ

การเพาะเมล็ด (seeding)

การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ เป็นการขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนของเมล็ดที่เกิดจากการผสมเกสรระหว่างเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย โดยนำมาเพาะในวัสดุเพาะ เช่น  ทรายหยาบ แกลบดำ ปุ๋ยคอก และดิน ในอัตราส่วน  1 : 1 : 1 : 0.5  โดยปริมาตร

วิธีการเพาะให้กดเมล็ดด้วยนิ้วมือลึกประมาณ 2-3 เท่าของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเมล็ด ดูแลรดน้ำให้วัสดุมีความชื้นพอเหมาะ ระวังอย่างให้แฉะ

2.2 การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ หมายถึง การขยายพันธุ์พืชด้วยการใช้ส่วนต่างๆ ของพืช ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ โดยส่วนต่างๆ ของพืชเหล่าที่สามารถเกิดราก และเจริญเติบโตเป็นต้นพืชได้ การขยายพันธุแบบไม่อาศัยเพศ เช่น การปักชำกิ่ง การตอนกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น

การปักชำกิ่ง (Stem Cutting)

  1. เลือกใช้กิ่งชนิดกึ่งแก่กึ่งอ่อนลักษณะสีเขียวปนน้ำตาล ความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตัดส่วนโคนกิ่งใต้ข้อห่าง 1 เซนติเมตร เป็นรูปปากฉลามเอียงทำมุม 45 องศา
  2. แล้วนำมาจุ่มในสารละลายเร่งการเกิดราก ผึ่งให้แห้งเล็กน้อย นำกิ่งไปปักในถุงขี้เถ้าแกลบให้กิ่งเอียงทำมุม 30 องศา จากแนวตั้งฉาก
  3. ประมาณ 20-30 วัน กิ่งปักชำมีการเกิดราก จากนั้นนำไปย้ายเลี้ยงในดินผสมบรรจุในถุงดำประมาณ 1-2 เดือน จนกิ่งปักชำมีการแตกใบใหม่ออกมา แล้วจึงนำลงปลูกในแปลง

การตอนกิ่ง (Layering)

เป็นการทำให้กิ่งพืชเกิดใหม่ในขณะที่ยังอยู่บนต้นแม่

ข้อดีคือมีอาหารจากต้นแม่มาเลี้ยงในช่วงที่รอให้เกิดราก

นิยมทำในฤดูฝน โดยเลือกตอนกิ่งที่แข็งพอสมควร มักนิยมใช้กิ่งที่ตั้งตรง เพราะออกรากง่ายกว่ากิ่งที่อยู่ในแนวนอน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 0.5 ซม. ขึ้นไป มีวิธีการดังนี้

  1. การเลือกกิ่ง เลือกกิ่งตอนที่มีความสมบูรณ์ ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกิ่งตั้งแต่ 0.5 เซนติเมตรขึ้นไป มักใช้กิ่งตั้งตรงมากกว่ากิ่งที่อยู่ในแนวนอน เช่น กิ่งกระโดง เพราะมีการเกิดรากดีกว่า
  2. การควั่นกิ่ง เพื่อให้เกิดการสะสมอาหารบริเวณตอนบนของรอยควั่น ความยาวแผลที่ควั่นกิ่งประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นใช้มีดขูดเนื้อเยื่อด้านนอกออก
  3. การใช้สารเร่งราก  นำเซราดิกซ์ (IBA ความเข้มข้น 3,000 ppm) ละลายด้วยน้ำ ใช้พู่กันทาบริเวณรอยแผลด้านบน ทิ้งให้แห้งพอหมาดๆ
  4. การหุ้มกิ่งตอน ใช้ขุยมะพร้าวเป็นตุ้มตอน โดยนำมาแช่น้ำแล้วบีบพอหมาดๆ   บรรจุใส่ถุงพลาสติกขนาดประมาณ 2 x 4 นิ้ว แล้วนำไปหุ้มกิ่งตอน
  5. การดูแลรักษากิ่งตอนขณะออกราก  ต้องรักษาความชื้นให้เหมาะสม ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งต้องมีการให้น้ำตุ้มตอนเพิ่มขึ้น หลังจากตอนประมาณ 1-2 เดือน ตัดกิ่งตอนลงถุง และเลี้ยงไว้ในโรงเรือนเพาะชำประมาณ 1-2 เดือน แล้วจึงนำปลูกในแปลงได้

การต่อกิ่งแบบเสียบยอด ( Cleft  Grafting)

การต่อกิ่ง คือ การนำกิ่งพันธุ์ดีมาต่อบนต้นตอ มักใช้สำหรับการเปลี่ยนพันธุ์พืชมากกว่าการขยายพันธุ์ นิยมใช้แพร่หลายและได้ผลดีกับทั้งไม้ผลและไม้ประดับ เช่น มะม่วง  ขนุน  เฟื่องฟ้า  ชบา  โกศล เป็นต้น ปัจจัยสำคัญที่สุดในการต่อกิ่งคือ ต้นตอและต้นพันธุ์ดีเมื่อต่อแล้ว  เนื้อเยื่อเจริญของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีต้องเชื่อมต่อกันได้ สามารถเจริญเติบโต ออกดอก และติดผลได้

  1. การเตรียมต้นตอ  เลือกต้นตอขนาดใกล้เคียงกับกิ่งพันธุ์ดี  ตัดต้นตอบริเวณที่ไม่มีข้อหรือตาให้เป็นมุมฉาก  ผ่าต้นตอตามยาวให้ลึกประมาณ 1-2 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของกิ่ง
  2. การเตรียมกิ่งพันธุ์ดี  เลือกกิ่งพันธุ์ดีให้มีขนาดใกล้เคียงกับต้นตอ  เฉือนโคนกิ่งพันธุ์ดีให้เฉียงลงทั้งสองข้างเป็นรูปลิ่มยาวประมาณ 1-1/2 นิ้ว
  3. การเสียบกิ่งพันธุ์ดีบนต้นตอ  เผยรอยผ่าบนต้นตอโดยใช้ใบมีดสอดเข้าไป บิดมีดให้รอยผ่าเผยออก  สอดโคนกิ่งพันธุ์ดีให้แนวเนื้อเยื่อเจริญของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีทับกัน พันด้วยเทปพลาสติกให้แน่น

การทาบกิ่ง (Approach  Grafting)

การทาบกิ่ง คือ การนำพืชสองต้นมาทำการต่อเชื่อมให้เป็นต้นเดียวกัน โดยมีเซลล์เนื้อเยื่อเป็นตัวเชื่อมติดกัน การทาบกิ่งประกอบส่วนที่เป็นต้นตอ (Stock) ทำหน้าที่เป็นระบบรากของต้นพืชใหม่ และส่วนของกิ่งพันธุ์ดี (Scion) อยู่เหนือรอยต่อ ทำหน้าที่เป็นส่วนยอดหรือกิ่งก้านลำต้นของพืชต้นใหม่

  1. เลือกต้นตอขนาดใกล้เคียงกับกิ่งพันธุ์ดี  เฉือนกิ่งต้นตอให้เป็นปากฉลามยาวประมาณ 2 นิ้ว แล้วเฉือนปลายเป็นรูปลิ่ม
  2. เลือกกิ่งพันธุ์ดีให้ขนาดใกล้เคียงกับต้นตอ เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เข้าในเนื้อไม้เฉียงขึ้นไปยาวประมาณ 2 นิ้ว ตัดส่วนปลายของเปลือกไม้ที่เฉือนไว้เหลือประมาณ ½ นิ้ว
  3. นำต้นตอประกบเข้ากับกิ่งพันธุ์ดี จัดให้แนวเนื้อเยื่อเจริญสัมผัสกันมากที่สุด แล้วพันด้วยเทปพลาสติกให้แน่น
  4. เมื่อรอยแผลต่อเชื่อมกันสนิทดีแล้วให้ตัดที่โคนกิ่งพันธุ์ดีใต้รอยต่อ และนำไปปักชำต่อไป

ดูรายละเอียดและภาพประกอบเพิ่มเติมที่ การขยายพันธุ์พืช

นกกระเต็นเฮอร์คิวลิส (Blyth’s Kingfisher: Alcedo hercules) Blyth’s
Kingfisher: Alcedo hercules (Coraciiformes: Alcedinidae)……………………….3
งูลายสอจุดเหลือง Yellow-spotted mountain stream snake (Serpentes:
Colubridae: Natricinae)…………………………………………………………………………………..5
ปลาตีนใหญ่อันดามัน (Periopthalmus walailakae) Walailak’s mudskipper
(Gobiidae: Oxudercinae)………………………………………………………………………………..7
ค้างคาวยอดกล้วย (Kerivoula spp.) ชนิดใหม่ของไทย Two new records
of Thai Kerivoula (Chiroptera: Vespertilionidae)………………………………10
แหล่งแพร่กระจายแห่งใหม่ของค้างคาวปีกขนใหญ่ (Harpiocphalus
mordax) ในประเทศไทย New locality of Harpiocephalus mordax
(Chiroptera: Vespertilionidae) in Thailand………………………………………….13
จิ้งเหลนห้วยเขมร Tropidophorus microlepis Gunther,1861 จากภาค
ตะวันออกของประเทศไทย On the Khao Sebab water skink (Tropidophorus
microlepis Gunther, 1861) in Eastern Thailand…………………………………………..16
พบงูปล้องฉนวนเขมร (Lycodon cardamomensis Daltry and Wuster,
2002) ที่จังหวัดชลบุรี New distributional records for Lycodon
cardamomensis Daltry & Wuster, 2002 (Ophidia: Colubridae) in Chon
Buri province, Thailand………………………………………………………………………………..20
งูทางมะพร้าวแดงภูหลวง (Oreophis porphyraceus coxi (Schulz &
Helfenberger, 1998)) รายงานแรกจากจังหวัดพิษณุโลก New Record
of Oreophis porphyraceus coxi (Schulz & Helfenberger, 1998)
(Serpentes: Colubridae) from Pitsanulok Province, Thailand……….22
พบถิ่นอาศัยใหม่ของกบดอยช้าง (Nanorana aenea) และภัยคุกคาม
ที่ยังดำรงอยู่ A new locality of Nanorana aenea (Amphibians: Anura:
Dicroglossidae) and their threatened factors……………………………………..24
พฤติกรรมการปอ้ งกันศัตรูของอึ่งกรายขา้ งแถบ (Brachytarsophrys
carinensis) Self-defence techniques of the Burmese Horned Frog
Brachytarsophrys carinensis (Anura: Megophryidae)……………………27
ปลาหมอแคระ (Badis spp.) ที่พบในประเทศไทย Badis spp.
(Perciformes: Actinopterygii: Badidae) of Thailand…………………………30
พฤติกรรมการป้องกันอาณาเขตแมลงปอเข็มภูเขาหางส้ม
(Rhinagrion mima) Territory defending of Rhinagrion mima (Insecta:

Odonata: Megapoagrionidae) and other damselflies in

Thailand…..34

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ หมายเหตุนิเวศวิทยา (Ecological Notes) บันทึกธรรมชาติหลากเผ่าพันธุ์ The record of natures ที่ เว็บไซต์ วว. หรือ หมายเหตุนิเวศวิทยา

ซึ่งภายในบันทึกประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้

  • นกกระเต็นเฮอร์คิวลิส (Blyth’s Kingfisher: Alcedo hercules) Blyth’s Kingfisher: Alcedo hercules (Coraciiformes: Alcedinidae)
  • งูลายสอจุดเหลือง Yellow-spotted mountain stream snake (Serpentes: Colubridae: Natricinae)
  • ปลาตีนใหญ่อันดามัน (Periopthalmus walailakae) Walailak’s mudskipper (Gobiidae: Oxudercinae)
  • ค้างคาวยอดกล้วย (Kerivoula spp.) ชนิดใหม่ของไทย Two new records of Thai Kerivoula (Chiroptera: Vespertilionidae)
  • แหล่งแพร่กระจายแห่งใหม่ของค้างคาวปีกขนใหญ่ (Harpiocphalus mordax) ในประเทศไทย New locality of Harpiocephalus mordax (Chiroptera: Vespertilionidae) in Thailand
  • จิ้งเหลนห้วยเขมร Tropidophorus microlepis Gunther,1861 จากภาคตะวันออกของประเทศไทย On the Khao Sebab water skink (Tropidophorus microlepis Gunther, 1861) in Eastern Thailand
  • พบงูปล้องฉนวนเขมร (Lycodon cardamomensis Daltry and Wuster, 2002) ที่จังหวัดชลบุรี New distributional records for Lycodon cardamomensis Daltry & Wuster, 2002 (Ophidia: Colubridae) in Chon Buri province, Thailand
  • งูทางมะพร้าวแดงภูหลวง (Oreophis porphyraceus coxi (Schulz & Helfenberger, 1998)) รายงานแรกจากจังหวัดพิษณุโลก New Record of Oreophis porphyraceus coxi (Schulz & Helfenberger, 1998) (Serpentes: Colubridae) from Pitsanulok Province, Thailand
  • พบถิ่นอาศัยใหม่ของกบดอยช้าง (Nanorana aenea) และภัยคุกคามที่ยังดำรงอยู่ A new locality of Nanorana aenea (Amphibians: Anura: Dicroglossidae) and their threatened factors
  • พฤติกรรมการปอ้ งกันศัตรูของอึ่งกรายข้างแถบ (Brachytarsophrys carinensis) Self-defence techniques of the Burmese Horned Frog Brachytarsophrys carinensis (Anura: Megophryidae)
  • ปลาหมอแคระ (Badis spp.) ที่พบในประเทศไทย Badis spp. (Perciformes: Actinopterygii: Badidae) of Thailand
  • พฤติกรรมการป้องกันอาณาเขตของแมลงปอเข็มภูเขาหางส้ม (Rhinagrion mima) Territory defending of Rhinagrion mima (Insecta: Odonata: Megapoagrionidae) and other damselflies in Thailand

ไส้เดือนดิน จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Animalia) ศักดิ์แอนนิลิดา (Phylum: Annelida) ชั้น (Class: Oligochaeta ) ตระกูล (Order: Opisthopora) โดยมีการจำแนกวงศ์ (Family)ไว้ 21 วงศ์ และทั่วโลกมีมากกว่า 4,000 ชนิด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อไส้เดือนดินได้แก่ ความชื้นของดินหรืออาหารที่ไส้เดือนอยู่ประมาณ 60-80%, อุณหภูมิประมาณ 15-28 องศาเซลเซียส และมีความเป็นกรด-ด่างเป็นกลาง

1. วงจรชีวิตของไส้เดือนดิน

ไส้เดือนดินเป็นสัตว์ที่มี 2 เพศในตัวเดียวกัน แต่การสืบพันธุ์เป็นแบบผสมข้าม (จับคู่ผสม) กับไส้เดือนดินตัวอื่น วงจรชีวิตของไส้เดือนดินจึงประกอบด้วย ระยะถุงไข่ ระยะตัวอ่อน และระยะตัวเต็มวัย

2. บทบาทของไส้เดือนดิน

ไส้เดือนดินส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ต่อดินและพืช แต่ก็มีบางกลุ่มที่เป็นโทษ

2.1 ด้านที่เป็นประโยชน์

  • ช่วยในการปรับปรุงดินและสภาพแวดล้อม ทำให้ดินร่วนซุย
  • ช่วยกระจายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
  • ช่วยกำจัดขยะอินทรีย์และวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
  • เป็นแหล่งโปรตีนของอาหารสัตว์
  • เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของดินและสารพิษที่ปนเปื้อนในดิน

2.2 ด้านที่เป็นโทษ

  • เป็นตัวนำพาเชื้อโรคพืชมาสู่พืช
  • เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดปรสิตสู่พืช
  • บางชนิดมีผลทำให้ดินจับตัวเป็นก้อนจนไม่สามารถปลูกพืชได้ เนื่องจากมีสารเคลือบอยู่ที่ก้อนดิน 

3. การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดิน

ปัจจุบันไส้เดือนดินทั่วโลกที่นำมาใช้ในการกำจัดขยะอินทรีย์หรือวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในรูปแบบของการค้า เช่น จำหน่ายพันธุ์ และมูลไส้เดือนเพื่อใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ เป็นต้น มีประมาณ 15 สายพันธุ์เท่านั้น ส่วนในประเทศไทยมีการนำมาวิจัยประมาณ 8 สายพันธุ์ แต่ที่มีการส่งเสริมจนเป็นการค้ามีประมาณ 3 สายพันธุ์คือ ไทเกอร์วอร์มหรืออายซิเนีย ฟูทิดา (Eisenia foetida),  อัฟริกัน ไนท์ ครอเลอร์หรือยูดริลลัส ยูจินิแอ (Eudrillus eugeniae) และ ขี้ตาแร่หรือฟีเรททิมา พีกัวนา (Pheretima peguana)

3.1 รูปแบบของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดินในประเทศไทย

  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในตระกร้าหรือกระบะวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในชั้นพลาสติก
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในวงบ่อซีเมนต์
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในซองซีเมนต์หรือซองบล็อกประสาน

ควรวางระบบระบายน้ำปุ๋ยหรือรองรับน้ำปุ๋ยที่มาพร้อมกับมูลไส้เดือนดิน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำปุ๋ยขัง เพราะอาจทำให้ไส้เดือนดินขาดอากาศและตายได้

3.2 อาหารสำหรับไส้เดือนดิน

  • ขยะอินทรีย์จากครัวเรือนหรือตลาด
  • มูลสัตว์
  • เศษตอซังพืชจากภาคการเกษตร

4. ปัญหาและอุปสรรคของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดิน

4.1 การเก็บมูลไส้เดือนมักติดถุงไข่และตัวอ่อนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนไส้เดือนลดลง ประสิทธิภาพในการผลิตมูลไส้เดือนลดลงด้วยเช่นกัน

 4.2 สิ้นเปลืองพลังงานและต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการต้องใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรมาแยกไส้เดือนดินออกจากมูล เช่น การใช้แสงไฟไล่ หรือเครื่องคัดแยกตัวไส้เดือนดิน

4.3 ไม่ควรใช้เศษพืช อาหาร และมูลสัตว์ ที่มีความเป็นกรด-ด่างสูง หรือเศษอาหารที่มีน้ำมันปนอยู่ เพราะเป็นอันตรายต่อไส้เดือนดิน

4.4 สัตว์ที่เป็นอันตรายต่อไส้เดือนดิน เช่น ไก่ นก หนู และมด เนื่องจากเศษพืชผักเป็นอาหารของสัตว์เหล่านี้ รวมทั้งไส้เดือนดินด้วย

5. เทคนิคการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดินโดยตั้งกองแบบปริซึมสามเหลี่ยม

ปัญหาสำคัญของผู้เลี้ยงไส้เดือนดินสำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์คือการเก็บมูลไส้เดือน เพราะถ้าเก็บไม่ถูกวิธีก็จะติดทั้งตัวอ่อนและถุงไข่ของไส้เดือน ทำให้มีปริมาณของไส้เดือนลดลง จึงไม่มีไส้เดือนดินสำหรับผลิตปุ๋ยหรือจำหน่ายพันธุ์ในระยะยาวได้ ดังนั้นสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนาการเลี้ยงไส้เดือนดินกองรูปปริซึมสามเหลี่ยมและให้อาหารด้านเดียว          

การทำฐานที่อยู่อาศัย

ผสมดินกับมูลสัตว์ในอัตราส่วน 4:1 และปรับความชื้นประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ แล้วเกลี่ยให้มีความสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร ควรทำซองหรือคอกสำหรับกั้นสัตว์เลี้ยงมาคุ้ยเขี่ยและตาข่ายคลุมเพื่อกันนกหรือหนู

จำนวนไส้เดือนดิน

ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร

การเพิ่มประชากรไส้เดือนดิน

เติมอาหาร เช่น มูลสัตว์ผสมกับเศษผักหรือผลไม้ โดยมีความหนาครั้งละไม่เกิน10 เซนติเมตร เมื่ออาหารหมดให้เติมอาหารใหม่ จนกระทั่งมีความสูงประมาณ 45 เซนติเมตร

การตั้งกองรูปปริซึมสามเหลี่ยม

แต่งกองไส้เดือนใหม่ให้เป็นรูปคล้ายกับปริซึมสามเหลี่ยม ฐานกว้างและสูงประมาณ 45 เซนติเมตร

การให้อาหาร

หลังจากนั้นนำอาหารมาใส่เพียงหน้าเพียงด้านเดียวของกองแบบปริซึมสามเหลี่ยมให้มีความหนาประมาณ 5-10 เซนติเมตร เมื่ออาหารหมดก็ทยอยเติมด้านเดียวไปเรื่อยๆ

การเก็บมูลไส้เดือน

ส่วนอีกด้านของกองอาหารที่ไส้เดือนกินหมดแล้ว ปล่อยให้ความชื้นลดลงจนไม่มีไส้เดือนอาศัยอยู่ จึงปาดมูลของไส้เดือนดินออกมาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ 

สนใจติดต่อ

สถานีวิจัยลำตะคอง

333 หมู่ที่ 12 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30130

โทรศัพท์ 044-390107 และ 044-390150 แฟกซ์ 044-390107

E-mail: lamtakhong@tistr.or.th