ปัจจุบัน RFID ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายประเภท อาทิเช่น

อุตสาหกรรมการผลิต

RFID ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการติดตามการผลิต โดยใช้ Production Line Automation เพื่อให้ทราบว่าในแต่ละกระบวนการผลิตนั้นใช้เวลาในการทำงานเท่าไร และได้จำนวนการผลิตในแต่ละขึ้นตอนเท่าไร สำหรับเป็นข้อมูลในการนำไปคำนวนถึงต้นทุนการดำเนินงานต่าง ๆ

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สามารถคืนทุนจากต้นทุนที่ลงไปได้ทันที, ลดเวลาในแต่ละขั้นตอนการผลิต, เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต, ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น นำข้อมูลที่มีอยู่ไปยืนยันให้เกิดความเชื่อมั่นถึงขั้นตอนในการผลิตและคุณภาพของสินค้า

ธุรกิจการค้า

RFID ถูกนำมาประยุกต์ในธุรกิจการค้าปลีก และ Super Store เพื่อให้ทราบว่า ภายใน 1 วัน สินค้าสามารถขายออกไปได้วันละเท่าไหร่ และ สินค้าที่วางที่ชั้นถูกหยิบไปเท่าไหร่ ควรจะนำสินค้ามาวางเพิ่มที่ชั้นสินค้าหรือไม่

ซึ่งประโยชน์ของ FRID ต่อธุรกิจค้าปลีกที่เห็นได้ชัด ก็คือ การที่มีสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการตลอดเวลา, ไม่ต้องสต๊อคสินค้า, ลดการขโมยสินค้า, นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมลูกค้า

ธุรกิจบริการ

ในธุรกิจสายการบินมีการ RFID มาใช้ในส่วนของระบบการติดตามสัมภาระของผู้โดยสาร ซึ่งระบบนี้สามารถลดการสูญหายหรือส่งสัมภาระไปผิดเครื่อง

สำหรับธุรกิจทางการแพทย์ ข้อมูลจาก The United States of Food and Drug Administration (USFDA) พบว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งในสหรัฐฯ ได้ฝัง RFID Chip ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณท่อนแขน ตรงส่วนกล้ามเนื้อ Triceps ของคนไข้ เพื่อความสะดวกในการตรวจรักษาและติดตามข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย เมื่ออวัยวะที่ได้รับการฝังชิปไว้ภายในถูกสแกนด้วย RFID Reader ระบบจะแสดงข้อมูลการรักษาของคนไข้รายนั้นออกมา ทำให้แพทย์ที่ถูกเปลี่ยนให้มาดูแลรักษาคนไข้รายดังกล่าวได้รับทราบประวัติการรักษาโดยแพทย์คนก่อนหน้านั้นได้อย่างถูก ต้องและรวดเร็ว การฝังชิปลงไปใต้ผิวหนังก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก เพียงแค่บรรจุชิปลงในหลอดฉีดยา แล้วฉีดลงไป ซึ่งชิปจะถูกเคลือบด้วยสารที่ชื่อว่า Biobond ช่วยในการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อภายในร่างกาย และช่วยป้องกันไม่ให้ชิปเสียหายด้วย

ในธุรกิจบ่อนกาสิโน (CASINO) มีการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ โดยนำแผ่น RFID ฝังลงในชิพส์ (CHIPS) แทนเงิน ทำให้ป้องกันการนำแผ่นชิพส์ปลอม ซึ่งใช้แทนเงินภายในบ่อนกาสิโน มาใช้  ทำให้บ่อนลดการสูญเสียรายได้จากการที่ถูกนำชิพส์ปลอมมาใช้ และยังสามารถศึกษาพฤติกรรมของนักพนัน เพื่อจะนำไปวิเคราะห์ศึกษา เหมือนกับการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ทางบ่อนจะได้หาทางเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการต่อไป

ซึ่งจะเห็นได้ว่า RFID มีประโยชน์ต่อธุรกิจบริการ ในด้านความสามารถในการรับทราบข้อมูลของลูกค้าอย่างรวดเร็ว, ลดต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเอกสาร

ธุรกิจการควบคุมสินค้าคงคลัง และการจัดส่งสินค้า (Logistic & Supply Chain)

การควบคุมสินค้าคงคลังและจัดส่งสินค้าถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญต่อ RFID เป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานในด้านนี้เป็นอย่างมาก ปัจจุบันกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย กรมศุลกากร การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการยกระดับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-Port) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ

โดย e-Port เป็นโครงการสนับสนุนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในระดับประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายให้ การปฏิบัติงาน ณ ท่าเรือ เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกทางการค้าและธุรกิจ รวมทั้งเสริมความมั่นคงปลอดภัยในการค้าระหว่างประเทศ โดยระยะแรกนี้จะใช้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือนำร่องของโครงการนี้

สำหรับประโยชน์ของ RFID ต่อ Logistic & Supply Chain ที่เห็นได้ชัด ก็คือ การลดต้นทุนในการดำเนินงาน, สามารถรับทราบถึงข้อมูลสินค้าในขณะนั้น, นำข้อมูลไปใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้

การบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย (Management and Security)

ในส่วนของการบริหารและการจัดการนั้น RFID สามารถนำไปประยุกต์ในเรื่องของ ระบบบริหารงานบุคคล โดยสามารถติดตามเวลาการทำงานของพนักงานรวมถึงสามารถดูได้ว่าพนักงานอยู่ในส่วนไหนของโรงงาน แต่ประเด็นนี้ยังมีปัญหาในส่วนของสิทธิส่วนบุคคล

ในส่วนระบบรักษาความปลอดภัยนั้น มีการนำ RFID ไปประยุกต์โดยทำงานคล้ายๆ กับระบบบริหารงานบุคคล นั่นคือ มีการนำข้อมูลการเข้าถึงระบบต่างๆ บรรจุไว้ใน RFID เพื่อสามารถเข้าไปทำงานในส่วนต่างๆ ได้

ซึ่งประโยชน์ของ RFID ต่อ ระบบ Management and Security นั้นก็คือ การตรวจสอบเวลาทำงาน รวมถึงการเข้าถึงส่วนต่างๆ และการนำข้อมูลไปใช้ร่วมกับระบบอื่นๆ เช่น ระบบเงินเดือน

การเกษตร

RFID ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เชิงเกษตรกรรม ในวงการปศุสัตว์ และกำลังทดลองนำแผ่น RFID มาติดกับใบหูของวัว เพื่อที่จะทำให้ผู้เลี้ยงวัวและทางราชการ สามารถติดตามการเดินทางหรือตำแหน่งได้เป็นอย่างดี และจะมีประโยชน์ในการติดตามโรค ไม่ให้เกิดการกระจายของโรคภายในสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังใช้ในการติดตามการเลี้ยงกุ้งซึ่งที่ทำอยู่ก็ได้แก่การบันทึกข้อมูลว่าให้อาหารอะไรแก่กุ้งบ้าง, ใช้ยาอะไรในการเลี้ยงกุ้ง โดยข้อมูลนี้จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานที่ทำการส่งออกกุ้งไปยังต่างประเทศ

การทหาร

กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ใช้งบประมาณ 11,000 ล้านบาท ในการพัฒนานำอุปกรณ์ RFID มาใช้ติดตามการขนส่งอาวุธ เพื่อป้องกันการโจรกรรม และการนำไปใช้ในสถานที่อันไม่สมควร ประเทศไทย น่าจะพิจารณานำมาใช้ในคลังแสงสรรพาวุธด้วยเช่นกัน

ห้องสมุด

ปัจจุบันห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของไทยได้ทดลองนำ RFID มาใช้กับระบบห้องสมุด โดยการติด RFID Chip ไว้ที่หนังสือในห้องสมุด แล้วใส่ข้อมูลต่างๆ ของหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ใน Chip อย่างเช่น ข้อมูลชื่อหนังสือ ประเภทหนังสือ ชั้นที่เก็บหนังสือ และติดเครื่องอ่านไว้ตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำงานร่วมกันระบบงานที่สำคัญๆ ได้ดังต่อไปนี้

  1. การบริการยืมคืนวัสดุสารสนเทศ (Self-Service)
  2. การบริการรับคืนวัสดุสารสนเทศด้วยตนเอง (Material Return) ที่ตู้รับคืนหนังสืออัตโนมัติ (Book Return)
  3. ระบบรักษาความปลอดภัยของวัสดุสารสนเทศ (RFID Theft Detection/Security Gate)
  4. อุปกรณ์แยกวัสดุสารสนเทศ (Sorting Station) เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อแยกหนังสือ หรือ วัสดุสารสนเทศที่ได้รับคืนจากสมาชิกออกตามหมวดหมู่ หรือชั้นวางที่ถูกต้อง
  5. การสำรวจวัสดุสารสนเทศและการจัดชั้น (Inventory and Shelf Management) การสำรวจหนังสือ หรือ วัสดุสารสนเทศบนชั้น ซึ่งจะตรวจสอบสอบว่าหนังสือเล่มใดวางผิดที่ หรือมีจำนวนหนังสือที่หายไป

อ้างอิง www.arip.co.th

ยุค 1G (ปี 1981)

โทรศัพท์เป็นแบบเซลลูล่าอันใหญ่ๆ ใช้สัญญาณอนาลอก หรือสัญญาณคลื่นวิทยุ  เป็นการใช้โทรศัพท์เพื่อพูดคุยได้อย่างเดียว

ยุค 2G (ปี 1992)

โทรศัพท์เป็นแบบใช้ระบบดิจิตอล คือการนำสัญญาณเสียงมาบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นสัญญาณอิเล็กโทรนิค

โทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ส่งอีเมล์ได้ แต่ยังติดขัดอยู่ในเรื่องของสัญญาณที่ติดๆ ขัดๆ เวลาเคลื่อนไหว

ยุค 3G (ปี 2001)

ระบบโทรศัพท์ถูกพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เพื่อให้สามารถทำให้การพูดคุยแบบเห็นหน้ากันได้

นั่นคือระบบมีความสามารถในการเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้พร้อมๆกันตลอดเวลาด้วยความเร็วที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เราสามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆที่ใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากๆบนเครือข่ายอินเตอร์เนตได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

การคิดราคาจึงคิดตามอัตราการโหลดข้อมูล

ซึ่งในยุคนี้ ซอฟท์แวร์ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโทรศัพท์

นั่นคือ โทรศัพท์จะสามารถส่งสัญญาณควบคุมสิ่งของที่บ้านได้ เช่น ส่งให้เปิดปิดตู้เย็น เปิดปิดหม้อหุงข้าว เป็นต้น

ยุค 4G

เป็นยุคของเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ ที่ใช้เทคโนโลยี LTE หรือ Long Term Evolution

เป็นยุคที่การเข้าถึงข้อมูลสามารถทำได้ในลักษณะที่เป็นสากล และมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์รูปแบบต่างๆ ได้มากขึ้น

เป็นยุคที่รองรับการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง

เครือข่ายมีความสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายในระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ 100 Mbps – 1024 Mbps (1Gbps) ซึ่งเร็วกว่า 3G เดิมถึง 7 เท่า ส่งผลให้

  • สามารถใช้งานมัลติมีเดียที่ดีขึ้น
  • สามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นกว่า
  • สามารถถ่ายทอดสดแบบ Live Broadcast
  • สามารถรับส่งข้อมูลในลักษณะ Realtime
  • สามารถประชุมทางไกลแบบ Interactive ที่ช่วยให้โต้ตอบแบบทันที

เพียงแค่มี Aircard 4G และ Wifi Adaptor ก็สามารถแชร์สัญญาณ 4G ให้กับอุปกรณ์ที่รองรับสัญญาณ Wifi ให้สามารถใช้งานพร้อมกันได้

ยุคสมัยที่บริการไอทีมีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น มีการปรับแต่งรายละเอียดปลีกย่อยตามความต้องการของลูกค้า ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก กำลังจะปิดฉากลงในไม่ช้า เพราะในปัจจุบัน องค์กรธุรกิจต้องการบริการไอทีที่เข้าใจได้ง่าย ปรับใช้ได้สะดวก สอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านธุรกิจ และที่สำคัญก็คือ เชื่อมโยงโดยตรงกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (Return of Investment – ROI)
โลกธุรกิจที่แบนราบ หนังสือของโธมัส ฟรีดแมน ที่มีชื่อว่า The World is Flat: The Globalized World in the twenty-first century (Thomas L. Friedman, 2005) ระบุว่า พลังขับเคลื่อนทางด้านเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญมากที่สุดต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกของเรา
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจดอทคอมอันเฟื่องฟู ส่งผลให้บริษัทโทรคมนาคม ที่มีเงินทุนจำนวนมหาศาล สามารถติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกใต้มหาสมุทรได้ ผลดีที่ได้รับ คือ เราสามารถใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และบริการรับส่งข้อมูลในอัตราค่าบริการที่ถูกลงอย่างมาก
ต่อมาเมื่อถึงยุคฟองสบู่แตก บริษัทต่างๆ จึงจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่าย ด้วยการย้ายฐานการผลิตหรือเอาต์ซอร์สกระบวนการทางด้านธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ที่สามารถบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ต่ำกว่า
ปัจจุบัน ประเทศจีนจึงถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก โดยทำหน้าที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่า 30% ในขณะที่ประเทศอินเดียจะส่งออกบริการไอทีและส่วนงานสนับสนุน ที่มีมูลค่าถึง 57,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2008 ดังนั้น ในทุกประเทศทั่วโลก องค์กรธุรกิจจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รูปแบบธุรกิจใหม่เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาล่าสุดของไอบีเอ็มเกี่ยวกับทัศนะของผู้บริหารระดับซีอีโอ ซึ่งมีชื่อว่า Expanding the Innovation Horizon: The Global CEO Study 2006 (IBM Global Business Services, 1 March 2007) ระบุว่า ผู้นำองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ มองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ไม่ใช่ภัยคุกคามแต่อย่างใด แต่ถือเป็นโอกาสที่ควรไขว่คว้าสำหรับองค์กรต่างๆ โดยประเด็นหลัก 3 ข้อจากผลการศึกษาดังกล่าวได้แก่ เนื่องจากนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการ ยังคงมีบทบาทสำคัญ องค์กรธุรกิจที่สามารถสร้างสรรค์รูปแบบธุรกิจที่แปลกใหม่ จะมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันสูงสุด เพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจที่แปลกใหม่อย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภายนอกองค์กร กล่าวคือ แทนที่จะต้องประดิษฐ์ล้อรถยนต์ด้วยตนเอง คุณสามารถหาคู่ค้าที่สามารถผลิตล้อรถยนต์ได้ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า นอกจากนี้ความร่วมมือจากภายนอก ยังอาจช่วยให้คุณค้นพบแนวคิดที่แปลกใหม่ได้อีกด้วย ในการสร้างรากฐานสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม จำเป็นที่จะต้องปรับระบบไอทีพื้นฐานให้สอดคล้องกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างแท้จริง องค์กรจะต้องผสานเทคโนโลยีเข้ากับแงุ่มมเชิงลึกทางด้านธุรกิจและการตลาด ผลกระทบต่อไอที ผลการศึกษาดังกล่าว ชี้ให้เห็นนัยสำคัญทางด้านธุรกิจ 4 ข้อดังต่อไปนี้: ประการแรก สิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีล้วนๆ อีกต่อไป หากแต่คุณต้องการโซลูชั่นทางธุรกิจ ที่จริงแล้วในปัจจุบัน บรรดาผู้บริหารในสายงานธุรกิจ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านกระบวนการจัดซื้อ โดยอย่างน้อย 90% ของการจัดซื้อสินค้าและบริการไอที เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้บริหารในฝ่ายไอทีและฝ่ายธุรกิจ ประการที่สอง องค์กรธุรกิจไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะรองรับโครงการติดตั้งและโครงการบริการไอทีขนาดใหญ่ที่มีราคาแพงและมีการปรับแต่งรายละเอียดตามความต้องการอีกต่อไป บทความที่มีชื่อว่า IBM repackages its brain power (Financial Times, 11 July 2006) ระบุว่า องค์กรธุรกิจเหล่านี้ เปลี่ยนไปใช้วิธีให้ผู้ผลิตหลายรายแข่งประมูลในโครงการขนาดเล็ก ซึ่งสามารถดำเนินการ บริหารจัดการ และประเมินผลได้ง่ายกว่า ประการที่สาม องค์กรธุรกิจต้องการโซลูชั่นทางไอทีที่แยกเป็นโมดูลย่อย สามารถผนวกรวมเข้าด้วยกัน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย โดยผู้จัดหาโซลูชั่นทางด้านไอทีรับหน้าที่ทดสอบและประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันก่อนที่จะทำการติดตั้ง ประการที่สี่ คู่ค้าทางด้านไอที สามารถนำเสนอแนวคิดหรือแนวทางที่แปลกใหม่ รวมทั้งจัดหาบริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรองรับรูปแบบธุรกิจไอทีแบบใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่สำหรับบริการไอที ในขณะที่บริการไอทีจะมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในโลกธุรกิจแบบใหม่ แต่บริการไอทีในรูปแบบเดิม ๆ กลับไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ได้ ดังนั้นในการนำเสนอความยืดหยุ่นและนวัตกรรม บริการไอทีจะต้องมีลักษณะดังนี้: แยกออกจากกัน เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตและสิ่งที่ต้องส่งมอบได้อย่างชัดเจน และทำการประเมินผลหรือตรวจวัดได้อย่างง่ายดาย ประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้การลงทุนสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ดำเนินการซ้ำได้ เพื่อให้สามารถคัดลอกกรณีที่ประสบความสำเร็จและนำไปปรับใช้กับส่วนอื่นๆ ของธุรกิจตามความจำเป็น เป็นไปตามมาตรฐานและรองรับการผนวกรวม เพื่อให้สามารถ ปรับใช้ร่วมกับระบบและบริการไอทีที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว โดยสรุปก็คือ บริการไอทีจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีลักษณะที่เป็นรูปธรรม สามารถระบุคุณสมบัติและความสามารถต่างๆ ของบริการได้อย่างชัดเจน การประยุกต์บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ คำถามที่เกิดขึ้น คือ ลูกค้าควรจะปรับใช้บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์นี้ในกรณีใดบ้าง มี 3 กรณีหลักๆ ที่องค์กรจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประยุกต์ใช้ นั่นคือ
กรณีที่ 1 ใช้ระบบไอทีอย่างเต็มศักยภาพ เมื่อเวลาผ่านไป เรามีแนวโน้มที่จะติดตั้งส่วนประกอบเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เครื่องใหม่เพื่อรองรับซอฟต์แวร์ตัวใหม่ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลให้ระบบไอทีของเรามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากเราขยายระบบเพื่อรองรับการทำงานในช่วงเวลาที่มีปริมาณงานสูงสุด ดังนั้นในช่วงเวลาส่วนใหญ่ ระบบจึงไม่ได้รับการใช้งานอย่างเต็มที่ บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โซลูชั่นการปรับปรุงระบบไอที จะช่วยระบุและขจัดส่วนที่ไร้ประสิทธิภาพในระบบไอที ในขณะที่โซลูชั่นอื่นๆ จะช่วยกำหนดแผนงานสำหรับการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางด้านไอทีของคุณให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ นอกจากนั้น บริการ กำหนดขนาดที่เหมาะสมของระบบไอทีจะช่วยลดความซับซ้อนของระบบ และทำให้คุณสามารถใช้งานระบบไอทีได้อย่างเต็มศักยภาพ
กรณีที่ 2 ลดความเสี่ยง ในขณะที่คุณประสานงานร่วมกับคู่ค้าและซัพพลายเออร์ในส่วนต่างๆ ของโลก ธุรกิจของคุณ ย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของระบบไอที ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องโดยส่งผลกระทบน้อยที่สุดต่อลูกค้า คุณสามารถปรับใช้บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ เช่น บริการด้านการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงานและการรักษาความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบไอทีของคุณ ตัวอย่างของบริการประเภทนี้ได้แก่ บริการประเมินแผนงานสำหรับความต่อเนื่องในการดำเนินงาน และบริการกู้คืนระบบที่รองรับการทำงาน
กรณีที่สาม ขยายธุรกิจให้เติบโต คุณอาจพบว่าระบบไอทีที่ขาดความยืดหยุ่น เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางด้านธุรกิจใหม่ๆ ดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องปรับใช้ส่วนประกอบที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และด้วยสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นบริการ (Service-Oriented Architectures – SOA) คุณจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับรองรับความยืดหยุ่นและการเติบโตของธุรกิจ บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม เพราะหลักการพื้นฐานของบริการเหล่านี้สอดคล้องกับโครงสร้าง SOA ซึ่งรองรับการเพิ่มเติมส่วนประกอบและการนำกลับมาใช้อีกครั้ง อนาคตของบริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ การนำเสนอบริการไอทีในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในปัจจุบัน มีการนำมาใช้ในบริการไอทีพื้นฐาน เช่น เว็บโฮสติ้ง และเริ่มขยายเข้าสู่บริการไอทีที่ซับซ้อนมากขึ้น ตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรมไอที ไปจนถึงการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงาน และการวางแผนเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจะได้รับคุณประโยชน์สูงสุดเหมือนเช่นเคย กล่าวคือ ลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับบริการไอทีในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถระบุรายการส่วนประกอบพื้นฐาน สิ่งที่จะต้องส่งมอบ และสูตรการกำหนดราคาที่เข้าใจง่าย ลูกค้าสามารถเลือกที่จะผสมผสานส่วนประกอบอื่นๆ ที่แสดงอยู่ในรายการหากต้องการ ผู้ชนะในสนามธุรกิจบริการไอทีรูปแบบใหม่นี้ คือ บริษัทที่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการโซลูชั่นไอทีที่เรียบง่ายมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมทางด้านธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น
อ้างอิง www.arip.co.th

ยุคสมัยที่บริการไอทีมีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น มีการปรับแต่งรายละเอียดปลีกย่อยตามความต้องการของลูกค้า ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก กำลังจะปิดฉากลงในไม่ช้า เพราะในปัจจุบัน องค์กรธุรกิจต้องการบริการไอทีที่เข้าใจได้ง่าย ปรับใช้ได้สะดวก สอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านธุรกิจ และที่สำคัญก็คือ เชื่อมโยงโดยตรงกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (Return of Investment – ROI)

หนังสือของโธมัส ฟรีดแมน ที่มีชื่อว่า The World is Flat: The Globalized World in the twenty-first century (Thomas L. Friedman, 2005) หรือ โลกธุรกิจที่แบนราบ ระบุว่า พลังขับเคลื่อนทางด้านเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญมากที่สุดต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกของเรา

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจดอทคอมอันเฟื่องฟู ส่งผลให้บริษัทโทรคมนาคม ที่มีเงินทุนจำนวนมหาศาล สามารถติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกใต้มหาสมุทรได้ ผลดีที่ได้รับ คือ เราสามารถใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และบริการรับส่งข้อมูลในอัตราค่าบริการที่ถูกลงอย่างมาก

ต่อมาเมื่อถึงยุคฟองสบู่แตก บริษัทต่างๆ จึงจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่าย ด้วยการย้ายฐานการผลิตหรือเอาต์ซอร์สกระบวนการทางด้านธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ที่สามารถบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ต่ำกว่า เช่น ประเทศจีน ซึ่งถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก โดยทำหน้าที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่า 30% ในขณะที่ประเทศอินเดียจะส่งออกบริการไอทีและส่วนงานสนับสนุน ที่มีมูลค่าถึง 57,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2008 ดังนั้น ในทุกประเทศทั่วโลก องค์กรธุรกิจจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รูปแบบธุรกิจใหม่เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาล่าสุดของไอบีเอ็มเกี่ยวกับทัศนะของผู้บริหารระดับซีอีโอ ซึ่งมีชื่อว่า Expanding the Innovation Horizon: The Global CEO Study 2006 (IBM Global Business Services, 1 March 2007) ระบุว่า ผู้นำองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ มองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ไม่ใช่ภัยคุกคามแต่อย่างใด แต่ถือเป็นโอกาสที่ควรไขว่คว้าสำหรับองค์กรต่างๆ โดยประเด็นหลัก 3 ข้อจากผลการศึกษาดังกล่าวได้แก่

  1. นวัตกรรมด้านสินค้าและบริการ ยังคงมีบทบาทสำคัญ องค์กรธุรกิจที่สามารถสร้างสรรค์รูปแบบธุรกิจที่แปลกใหม่ จะมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันสูงสุด
  2. เพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจที่แปลกใหม่อย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภายนอกองค์กร กล่าวคือ แทนที่จะต้องประดิษฐ์ล้อรถยนต์ด้วยตนเอง คุณสามารถหาคู่ค้าที่สามารถผลิตล้อรถยนต์ได้ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า
  3. ความร่วมมือจากภายนอก ยังช่วยให้คุณค้นพบแนวคิดที่แปลกใหม่ เป็นการสร้างรากฐานสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับระบบไอทีพื้นฐานให้สอดคล้องกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างแท้จริง องค์กรจะต้องผสานเทคโนโลยีเข้ากับแงุ่มมเชิงลึกทางด้านธุรกิจและการตลาด ผลกระทบต่อไอที

จากผลการศึกษาดังกล่าว ชี้ให้เห็นนัยสำคัญทางด้านธุรกิจ 4 ข้อดังต่อไปนี้:

  • ประการแรก สิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีล้วนๆ อีกต่อไป หากแต่คุณต้องการโซลูชั่นทางธุรกิจ ที่จริงแล้วในปัจจุบัน บรรดาผู้บริหารในสายงานธุรกิจ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านกระบวนการจัดซื้อ โดยอย่างน้อย 90% ของการจัดซื้อสินค้าและบริการไอที เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้บริหารในฝ่ายไอทีและฝ่ายธุรกิจ
  • ประการที่สอง องค์กรธุรกิจไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะรองรับโครงการติดตั้งและโครงการบริการไอทีขนาดใหญ่ที่มีราคาแพงและมีการปรับแต่งรายละเอียดตามความต้องการอีกต่อไป บทความที่มีชื่อว่า IBM repackages its brain power (Financial Times, 11 July 2006) ระบุว่า องค์กรธุรกิจเหล่านี้ เปลี่ยนไปใช้วิธีให้ผู้ผลิตหลายรายแข่งประมูลในโครงการขนาดเล็ก ซึ่งสามารถดำเนินการ บริหารจัดการ และประเมินผลได้ง่ายกว่า
  • ประการที่สาม องค์กรธุรกิจต้องการโซลูชั่นทางไอทีที่แยกเป็นโมดูลย่อย สามารถผนวกรวมเข้าด้วยกัน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย โดยผู้จัดหาโซลูชั่นทางด้านไอทีรับหน้าที่ทดสอบและประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันก่อนที่จะทำการติดตั้ง
  • ประการที่สี่ คู่ค้าทางด้านไอที สามารถนำเสนอแนวคิดหรือแนวทางที่แปลกใหม่ รวมทั้งจัดหาบริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรองรับรูปแบบธุรกิจไอทีแบบใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่สำหรับบริการไอที

ในขณะที่บริการไอทีจะมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในโลกธุรกิจแบบใหม่ แต่บริการไอทีในรูปแบบเดิม ๆ กลับไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ได้ ดังนั้นในการนำเสนอความยืดหยุ่นและนวัตกรรมบริการไอทีจะต้องมีลักษณะดังนี้:

  • แยกออกจากกัน เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตและสิ่งที่ต้องส่งมอบได้อย่างชัดเจน และทำการประเมินผลหรือตรวจวัดได้อย่างง่ายดาย
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้การลงทุนสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
  • ดำเนินการซ้ำได้ เพื่อให้สามารถคัดลอกกรณีที่ประสบความสำเร็จและนำไปปรับใช้กับส่วนอื่นๆ ของธุรกิจตามความจำเป็น
  • เป็นไปตามมาตรฐานและรองรับการผนวกรวม เพื่อให้สามารถ ปรับใช้ร่วมกับระบบและบริการไอทีที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว

โดยสรุปก็คือ บริการไอทีจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีลักษณะที่เป็นรูปธรรม สามารถระบุคุณสมบัติและความสามารถต่างๆ ของบริการได้อย่างชัดเจน

การประยุกต์บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์นั้น ลูกค้าควรจะปรับใช้ในกรณีหลักๆ ที่องค์กรจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประยุกต์ใช้ ดังนี้

  • กรณีที่ 1 ใช้ระบบไอทีอย่างเต็มศักยภาพ เมื่อเวลาผ่านไป เรามีแนวโน้มที่จะติดตั้งส่วนประกอบเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เครื่องใหม่เพื่อรองรับซอฟต์แวร์ตัวใหม่ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลให้ระบบไอทีของเรามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากเราขยายระบบเพื่อรองรับการทำงานในช่วงเวลาที่มีปริมาณงานสูงสุด ดังนั้นในช่วงเวลาส่วนใหญ่ ระบบจึงไม่ได้รับการใช้งานอย่างเต็มที่ บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โซลูชั่นการปรับปรุงระบบไอที จะช่วยระบุและขจัดส่วนที่ไร้ประสิทธิภาพในระบบไอที ในขณะที่โซลูชั่นอื่นๆ จะช่วยกำหนดแผนงานสำหรับการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางด้านไอทีของคุณให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ นอกจากนั้น บริการ กำหนดขนาดที่เหมาะสมของระบบไอทีจะช่วยลดความซับซ้อนของระบบ และทำให้คุณสามารถใช้งานระบบไอทีได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • กรณีที่ 2 ลดความเสี่ยง ในขณะที่คุณประสานงานร่วมกับคู่ค้าและซัพพลายเออร์ในส่วนต่างๆ ของโลก ธุรกิจของคุณ ย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของระบบไอที ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องโดยส่งผลกระทบน้อยที่สุดต่อลูกค้า คุณสามารถปรับใช้บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ เช่น บริการด้านการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงานและการรักษาความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบไอทีของคุณ ตัวอย่างของบริการประเภทนี้ได้แก่ บริการประเมินแผนงานสำหรับความต่อเนื่องในการดำเนินงาน และบริการกู้คืนระบบที่รองรับการทำงาน
  • กรณีที่สาม ขยายธุรกิจให้เติบโต คุณอาจพบว่าระบบไอทีที่ขาดความยืดหยุ่น เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางด้านธุรกิจใหม่ๆ ดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องปรับใช้ส่วนประกอบที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และด้วยสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นบริการ (Service-Oriented Architectures – SOA) คุณจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับรองรับความยืดหยุ่นและการเติบโตของธุรกิจ บริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม เพราะหลักการพื้นฐานของบริการเหล่านี้สอดคล้องกับโครงสร้าง SOA ซึ่งรองรับการเพิ่มเติมส่วนประกอบและการนำกลับมาใช้อีกครั้ง อนาคตของบริการไอทีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ การนำเสนอบริการไอทีในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในปัจจุบัน มีการนำมาใช้ในบริการไอทีพื้นฐาน เช่น เว็บโฮสติ้ง และเริ่มขยายเข้าสู่บริการไอทีที่ซับซ้อนมากขึ้น ตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรมไอที ไปจนถึงการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงาน และการวางแผนเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจะได้รับคุณประโยชน์สูงสุดเหมือนเช่นเคย กล่าวคือ ลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับบริการไอทีในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถระบุรายการส่วนประกอบพื้นฐาน สิ่งที่จะต้องส่งมอบ และสูตรการกำหนดราคาที่เข้าใจง่าย ลูกค้าสามารถเลือกที่จะผสมผสานส่วนประกอบอื่นๆ ที่แสดงอยู่ในรายการหากต้องการ ผู้ชนะในสนามธุรกิจบริการไอทีรูปแบบใหม่นี้ คือ บริษัทที่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการโซลูชั่นไอทีที่เรียบง่ายมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมทางด้านธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น

อ้างอิง www.arip.co.th

NFC หรือ Near Field Communication

เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้น ซึ่งถูกพัฒนาขึ้น โดย Sony และ NXP

เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 13.56 MHz บนพื้นฐานมาตรฐาน ISO14443 เพื่อให้อุปกรณ์พกพาสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ง่ายขึ้น เพียงแต่นำอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องมาวางชิดกันหรือแตะกันเท่านั้น

เทคโนโลยีนี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกับการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ แต่มีระยะสั้นกว่าและแคบกว่า โดยผู้ใช้งานนั้นจะต้องนำอุปกรณ์มาไว้ในระยะสัมผัสได้เสียก่อน จึงจะสามารถเชื่อมต่อกันได้

ปัจจุบัน บริษัท NTT Docomo ได้นำเทคโนโลยี NFC มาใช้สำหรับการจ่ายเงิน และทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ผ่านการสัมผัสที่จุดบริการได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว

NFC มีโหมดในการใช้งาน 3 โหมดดังนี้

  • NFC Card Emulation Mode ทำงานเสมือนเป็นบัตร Contactless นั่นคือ อุปกรณ์มือถือตามมาตรฐาน NFC จะสามารถทำงานเหมือนกับ Contactless Smart Card เพื่อใช้ในการทำธุรกรรม เช่น Touch SIM จาก True ซึ่งใช้กับระบบ Truemoney หรือ บัตรเครดิต Visa Wave เป็นต้น
  • Peer-to-Peer Mode เป็นการทำงานในลักษณะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ NFC ด้วยกัน คล้ายกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยการจับคู่ (Pair) ผ่าน Bluetooth แต่ทำแค่เลือกข้อมูลที่ต้องการแลกเปลี่ยนแล้วนำอุปกรณ์ NFC ที่รองรับโหมดนี้มาแตะกัน ข้อมูลก็จะทำการถ่ายโอนกันระหว่างเครื่อง ซึ่งรัศมีทำการของ NFC อยู่ในระดับน้อยกว่า 10 ซม.
  • Reader/Writer Mode ซึ่งในโหมดนี้อุปกรณ์ NFC สามารถทำตัวเสมือนเป็นเครื่องอ่านเขียน Contactless Smart Card (หรือบางครั้งเรียกว่า Tag) โดยจะสามารถอ่านข้อมูลจาก Tag ที่ติดอยู่ใน Smartposter หรือจุดให้บริการข้อมูล โดยในโหมดนี้ปัจจุบันถูกนำไปประยุกต์ใช้ในงานส่งเสริมการขาย เหมือนกับลักษณะของการแจกคูปองส่วนลดสำหรับ 50 คนแรกที่มาอ่านโฆษณาที่จุดให้บริการ ซึ่งการกำหนดจำนวนแบบนี้ไม่สามารถทำได้โดยการใช้ 2D Bar Code

Image

ที่มา :

http://www.siamget.com/buyerguide/3432

http://www.kingdomplaza.com/mobile/newsforprint.php?nid=532

GPS หรือ Global Positioning System ทำงานโดยมีดาวเทียม 24 ดวง เคลื่อนที่โคจรรอบโลก และมันจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ภาครับ GPS เพื่อระบุตำแหน่งของคุณบนโลก

การระบุตำแหน่ง ของ GPS นั้น ทำในลักษณะของรูปสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นจากการวัดระยะห่างจากจุด 3 จุดจากดาวเทียม เพื่อหาตำแหน่งของอุปกรณ์ GPS

สมมติว่า เพื่อนของคุณกำลังหลงทางอยู่ คุณทราบว่า เพื่อนคนนี้อยู่ห่างจากบ้านของเขา 50 เมตร ณ.จุดเดียวกันเขาอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้า 200 เมตร และอยู่ห่างจากโรงหนัง 275 เมตร ซึ่งหากวาดวงกลมจากสถานที่ทั้งสาม (รัศมีเท่ากับระยะห่างที่ได้) จะพบว่า จุดตัดของวงกลมทั้งสามจะระบุตำแหน่งของเพื่อนคุณได้

อุปกรณ์ GPS ก็ทำงานด้วยวิธีเดียวกัน โดยมันสามารถรู้ระยะห่างของมันกับดาวเทียม GPS ได้จากการที่ดาวเทียม GPS ในวงโคจรจะส่งสัญญาณพร้อมทั้งระบุเวลา ซึ่งเมื่ออุปกรณ์ GPS ได้รับสัญญาณก็จะเทียบเวลาที่อุปกรณ์ได้รับสัญญาณกับเวลาที่สัญญาณถูกส่งออกมาจากดาวเทียม จากนั้นมันก็จะคำนวณเวลาที่ใช้ในการเดินทางของสัญญาณ เพื่อหาระยะห่างของอุปกรณ์ GPS กับดาวเทียม GPS ได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากสัญญาณที่ส่งมาจะมีการเดินทางด้วยความเร็วคงที่ เมื่ออุปกรณ์ GPS ได้รับสัญญาณจากดาวเทียมที่ GPS แตกต่างกันครบ 3 ดวงก็จะสามารถทราบระยะห่าง

ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ GPS อยู่ห่างจากดาวเทียม GPS ดวงแรกเป็น 12,185.00048 ไมล์ และห่างจากดาวเทียม GPS ดวงที่สอง 11,495.1835 ไมล์ ส่วนดาวเทียม GPS ดวงที่สามอยู่ห่าง 11,382.8513 ไมล์ เพียงแค่นี้ อุปกรณ์ GPS ก็สามารถคำนวณตำแหน่งของมันบนโลกได้อย่างแม่นยำ

ระบบ GPS จะใช้ฐานเวลาที่มาจากสัญญาณนาฬิการะดับอะตอมที่มีความแม่นยำสูงมากในดาวเทียม GPS และชิปคำนวณที่สามารถอ่าน และแก้โจทย์สมการที่จำเป็นต่อการคำนวณหาระยะทาง และตำแหน่งได้นับร้อยๆ ครั้งในหนึ่งนาที

นั่นหมายความว่า แม้อุปกรณ์ GPS จะเคลื่อนที่ไม่อยู่นิ่ง การคำนวณระยะห่างจากดาวเทียม GPS ต่างๆ ตลอดจนการระบุตำแหน่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ซึ่งสัญญาณนาฬิกาจากดาวเทียม GPS จะมีความแม่นยำระดับ 10 นาโนวินาที หรือ 1 ในพันล้านวินาที

ที่มา www.arip.co.th

windows_xp_logo-thumb

สำหรับ คนที่ยังมีปัญหากับการเปลื่ยน Harddisk หรือ Mainboard เวลาที่นำ harddiskที่ลงwindowไปใช้เครื่องอื่นแล้วจะมีปัญหาคือไม่สามารถbootเข้า เครื่องอื่นได้เกิดblue screenบ้าง อะไรบ้างทำให้ต้องลงwindowsใหม่ วิธีการนี้สามารถทำให้นำHarddiskไปใช้เครื่องอื่นได้โดยใช้windowที่มีอยู่

1. เข้าไปที่C:\WINDOWS\Driver Cache\i386

2. จะเห็นไฟล์2ตัวคือ driver.cabและsp3.cabในที่นี้ผมใช้services pack3แต่สำหรับservices packอื่นก็ใช้ได้คับ

เมื่อ มาที่โฟลเดอร์นี้แล้ว จะมีไฟล์สำคัญ 4 ไฟล์ ที่ต้องใช้ในการนี้ คือไฟล์ Atapi.sys, Intelide.sys,Pciide.sys และ Pciidex.sys ซึ่งจะอยู่ในรูปของไฟล์ .CAB ที่ชื่อ Driver.cab หรือ SP1.cab SP2.cab SP1.cab sp3.cab (แล้วแต่กรณีรุ่นของวินโดวส์)ต้องแตกไฟล์พวกนี้ไปไว้ที่โฟลเดอร์ C:/windows/System32/Drivers
ในกรณีที่ใช้ Windows XP ธรรมดา (ไม่มี Service pack)
ให้แตกไฟล์ driver.cabอย่างเดียว แล้วหาไฟล์ดังนี้
atapi.sys
intelide.sys
pciide.sys
pciidex.sys

ในกรณีที่ใช้ Windows XP Service pack1
ให้แตกไฟล์ sp1.cab แล้วหาไฟล์ดังนี้
atapi.sys
intelide.sys
ให้แตกไฟล์ driver.cab แล้วหาไฟล์ดังนี้
pciide.sys
pciidex.sys

ในกรณีที่ใช้ Windows XP Service pack2
ให้แตกไฟล์ sp2.cabแล้วหาไฟล์ดังนี้
atapi.sys
intelide.sys
intelide.sys
pciidex.sys

ในกรณีที่ใช้ Windows XP Service pack3
ให้แตกไฟล์ sp3.cabแล้วหาไฟล์ดังนี้
atapi.sys
intelide.sys
intelide.sys
pciidex.sys

3. ให้copy ไฟล์ที่ให้หาทั้ง4ตัวของแต่ละรุ่นนำไปไว้ในfolder Driversใน C:/windows/System32/Drivers ถ้าเครื่องถามว่าจะConfirm File Replaceให้ตอบYes หรือ Yes to all

4. ให้ก็อป script ข้างล่างนี้ ไปไว้ notepad แล้วเซฟเป็นชื่อ อะไรก็ได้แต่ต้องมีนามสกุลเป็นreg ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์นี้ ตอบ Yes และ OK

Read more »

จากการทำงานที่ต้องอยู่กับการพัฒนาโปรแกรม ทำให้เกิดการพูดคุยกับเพื่อนๆ ในสายงานเดียวกันบ่อยครั้ง ว่า Editor ตัวไหนงานและดีสำหรับการทำงานบ้างซึ่งก็ได้รับคำตอบที่แตกต่างกันไป อาจเพราะความถนัดและความเคยชินในการทำงานของแต่ละคน

Editor ที่ใช้กันอย่างแพร่ได้ เช่น Notepad /Notepad++ / Dreamweaver /Edit plus / Netbean / Eclipse และ Komodoที่มีผู้รู้จักแนะนำมาเมื่อไม่นานนี้ค่ะ 🙂 มาทำความเข้าใจคร่าวๆ ถึง editor แต่ะตัวกันว่าเป็นเช่นไร

Notepad
เป็นโปรแกรมที่แถมมากับ Microsoft Windows อยู่แล้ว สามารถเขียนโปรแกรมได้ทุกภาษา แต่ไม่เหมาะกับการนำมาเขียนโปรแกรมซักเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม่มี feature ที่ช่วยในการพัฒนาโปรแกรม อาจจะดูยากเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้นพัฒนาโปรแกรม
notepad

Notepad++
หลายคนเห็นชื่อโปรแกรมแล้ว คงคิดว่าใกล้เคียงกับ Notepad ใช่ไหมค่ะ แต่ถ้าลองหาโปรแกรมมาลงบเครื่องและเปิดใช้งานจะเห็นความแตกต่างอย่างมาก เพราะ feature ที่พ่วงมากับโปรแกรมนี้ เอื้ออำนวยให้นักพัฒนาโปรแกรมพอสมควร และสามารถพัฒนาได้ทุกภาษาเช่นเดียวกับ notepad ค่ะ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.webthaidd.com/webboard/index.php?topic=584.0
notepad-plus

Dreamweaver
เป็นโปรแกรมตัวหนึ่งที่นิยมและเหมาะสำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์มือใหม่ มีเครื่องมือช่วยเหลือในการทำงานมากมาและสามารถดูผลลัพธ์ที่ทำได้เลย โดยที่ไม่ต้องเปิดโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ แต่เป็นโปรแกรมขนาดใหญ่เช่นกัน
dreamCS

Edit plus
มีความใกล้เคียงกับ notepad แต่จะมีเครื่องมือช่วยในเรื่องพื้นฐานทั่วไป ทำให้ไม่ต้อง key code เองทั้งหมด เช่น ย่อหน้า สีอักษรและพื้นหลัง ตาราง การcomment และขึ้นบรรทัดใหม่ เป็นต้น
editplus

Netbean
เป็นอีกตัวที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่พัฒนา Web Appication สามารถใช้ในการพัฒนาโปรแกรมได้หลายภาษาเช่นกัน
วิธีการใช้งานเบื้องต้น http://component584.blogspot.com/2011/06/netbeans-ide-1.html
Netbean

Eclipse
เป็นโปรแกรม open sourc ฟรีไม่ค่าใช้จ่าย ที่นักพัฒนานิยมใช้เช่นกัน โดยมากจะใช้พัฒนาภาษา java

วิธีการอ่านได้จาก http://www.cp.eng.chula.ac.th/~vishnu/progmeth/2011_slideAndlab/week01_object/howToUseEclipse/lab1_2011.html
Eclipse

Komod
โปรแกรมฟรีที่เพื่อนแนะนำให้ลองใช้เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูหน้าตาแกรม
Dowload Komodo Editor ได้ที่ http://www.activestate.com/komodo-edit
editor-komodo

Social Media เกิดขึ้นมาเพราะความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในความเป็นสัตว์สังคมที่จำเป็นต้องมีการปฎิสัมพันธ์ ติดต่อสื่อสาร ตั้งประเด็นข้อสงสัย ถามตอบ แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน อีกทั้งปัจจุบันการค้า การประชาสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่เพียงรูปแบบ Industrial Media ( “traditional”, “broadcast” หรือ “mass” media ) อันได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ เป็นต้น กระแสของ social media สงผลให้ผู้พัฒนาทั้งหลาย สร้างเครื่องมือหลากหลาย และพัฒนาระบบของตนเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคของ Social Media

เว็บ Social Media แบ่งตามหมวด

หมวดการสื่อสาร (Communication)

  • Blogs: Blogger, LiveJournal, TypePad, WordPress, Vox
  • Internet forums: vBulletin, phpBB
  • Micro-blogging: Twitter,Plurk, Pownce, Jaiku
  • Social networking: Avatars United, Bebo, Facebook, LinkedIn, MySpace, Orkut, Skyrock, Netlog, Hi5, Friendster, Multiply
  • Social network aggregation: FriendFeed, Youmeo
  • Events: Upcoming, Eventful, Meetup.com

หมวดความร่วมมือ และแบ่งปัน (Collaboration)

  • Wikis: Wikipedia, PBwiki, wetpaint
  • Social bookmarking: Delicious, StumbleUpon, Stumpedia, Google Reader, CiteULike
  • Social news: Digg, Mixx, Reddit
  • Opinion sites: epinions, Yelp

หมวด มัลติมีเดีย (Multimedia)

  • Photo sharing: Flickr, Zooomr, Photobucket, SmugMug
  • Video sharing: YouTube, Vimeo, Revver
  • Art sharing: deviantART
  • Livecasting: Ustream.tv, Justin.tv, Skype
  • Audio and Music Sharing: imeem, The Hype Machine, Last.fm, ccMixter

หมวดรีวิว และแสดงความคิดเห็น (Reviews and Opinions)

  • Product Reviews: epinions.com, MouthShut.com, Yelp.com
  • Q&A: Yahoo Answers

หมวดบันเทิง (Entertainment)

  • Virtual worlds: Second Life, The Sims Online
  • Online gaming: World of Warcraft, EverQuest, Age of Conan, Spore (2008 video game)
  • Game sharing: Miniclip

อ้างอิง : http://krunum.wordpress.com/2010/06/02/social-network/

คุณจะเริ่มโพสต์เนื้อหาหรือรูปภาพต่างๆ อย่าลืมตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ระบุว่าใครบ้างที่สามารถเข้ามาดูอัลบั้มภาพถ่าย วิดีโอ โพรไฟล์ สถานะการอัพเดต และอีกสารพันข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคุณได้บ้างคิดก่อนรับเป็นเพื่อน – การค้นหาว่าใครบ้างที่อยู่ในรายชื่อคอนแทกต์บนอีเมล์ของคุณกำลังใช้ Facebook อยู่ เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่ก่อนที่จะรับคนเหล่านั้นให้เป็นเพื่อนบน Facebook อย่าลืมพิจารณาให้รอบคอบด้วย

เสน่ห์ ของ Facebook มีหลายอย่าง แน่นอนว่าการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเพื่อนฝูงที่รู้จัก ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ว่าไปแล้วสิ่งที่หลายคนกลัวมาก ที่สุดก็คือ เรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรให้คนอื่นรู้ แต่กลับถูกเปิดเผยไว้บนวอลล์ของ Facebook ที่ทำให้ทุกคนที่คุณรู้จักได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมไปด้วย ซึ่งถ้าคนที่คุณเป็นเพื่อนด้วยบน Facebook นั้นมีแต่เพื่อนสนิทจริงๆ นั่นก็คงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่หลายครั้งเพื่อนเหล่านั้น — ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นเจ้านายบ้าง คู่ค้าทางธุรกิจบ้าง ลูกน้องบ้าง หรือแฟนเก่าบ้าง

คุณไม่ สามารถคาดเดาหรือควบคุมได้เลยว่า จะมีใครที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนของคุณบ้างบน Facebook จะตอบรับอย่างไรถ้าเจ้านายหรือลูกค้าของคุณขอเป็นเพื่อนบน Facebook ด้วย? จะปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาเห็นพฤติกรรมความร่าเริงแบบเกินตัวของคุณสมัย เรียนหรือที่ยังเป็นอยู่แม้แต่ในขณะนี้ หรือว่าจะกล้าปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนดังกล่าว? นี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนปวดหัวอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเล่น Facebook

การ หลอกลวงทาง Facebook กำลังเริ่มระบาด มีกรณีที่ Facebook ของคนรู้จักโดนแฮก และมีการส่งข้อความหาเพื่อนหลายๆ คนทำนองว่าต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน และเริ่มมีการแช็ตกันจริงจังเพื่อเริ่มกระบวนการหลอกลวง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ระแวงอะไร มันก็เป็นเพียงแค่คำร้องขอจากเพื่อนคนหนึ่งที่คุณรู้จักและเต็มใจจะช่วย เหลือ แต่บางครั้งอาจเป็นเพียงแค่การอาศัยประโยชน์จาก Facebook โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย หากเจอกับสถานการณ์แบบนี้จริง ติดต่อกันโดยตรงดีที่สุด จะทางโทรศัพท์หรือจะนัดเจอกันก็ได้ หากใครพอจะได้เค้าลางว่ากำลังโดนหลอก แจ้งตำรวจเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด

หรือ บางครั้งคุณอาจได้รับคำร้องขอเป็นเพื่อนผ่าน Facebook ที่ชักชวนให้ดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์วิดีโอ ซึ่งโปรแกรมที่ว่านั้นแท้จริงก็คือ โปรแกรมอันตรายที่กำลังจะแอบแฝงตัวเข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเรา ซึ่งอาจจะมีการชักชวนทั้งผ่านทางอีเมล์หรือหน้าเว็บ และด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกันบน Facebook ก็ทำให้หลายคนเผลอเรอไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาภายหลัง

คุณสามารถใช้ Facebook อย่างปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง วิจารณญาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ได้พอสมควร ลองเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ที่ Privacy Settings จากเมนู Settings ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนรายละเอียดในการเผยแพร่ภาพถ่าย ข้อความ ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำงานได้ ซึ่งรวมไปถึงสิ่งที่สมาชิกคนอื่นๆ จะมองเห็นด้วย ฉะนั้นเจ้านายหรือแฟนเก่าของคุณถูกกำหนดให้เห็นข้อมูลที่แตกต่างออกไปบน Facebook ของคุณ

อีกหนึ่งคุณสมบัติ ที่ต้องระวังก็คือ “Find Friends” ซึ่งยอมให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของเว็บเมล์อย่าง Gmail หรือ Yahoo! Mail เพื่อดึงเอาข้อมูลรายชื่อคนที่คุณรู้จักมาใส่ไว้บน Facebook — อย่าลืมดูให้แน่ใจว่า รายชื่อเหล่านั้นไม่มีคนที่คุณติดต่อทางธุรกิจอยู่ด้วย เพราะนั่นอาจจะเสี่ยงต่อการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่ไม่เหมาะไม่ควรให้แก่คน เหล่านั้นได้ทราบ

ทางออกอีก ทางหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การจัดแบ่งกลุ่มความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เช่น หากมีเพื่อนนักธุรกิจหรือลูกค้าที่ต้องการติดต่อกับคุณผ่านเว็บไซต์เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ การหันไปใช้ LinkedIn หรือเว็บอื่นๆ ก็น่าจะดีกว่าการที่รวมเอาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาไว้ภายใต้ Facebook แถมคุณยังมีข้ออ้างดีๆ ในการปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนบน Facebook และชักชวนให้คนรู้จักทางธุรกิจหันไปคบค้าสมาคมกันบนเว็บอื่นที่เฉพาะทางมาก ขึ้นด้วย

อ้างอิงจาก www.arip.co.th

IT Disaster Recovery Planning

เพื่อให้ระบบ IT ทำงานต่อไปเมื่อเกิดภัยพิบัติ เราจึงจำเป็นต้องจัดทำ Disaster Recovery Planning (DRP) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับองค์กร ซึ่ง ภัยพิบัติที่เราพบเจอมีอยู่กัน 2 ประเภท คือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ และ ภัยพิบัติที่เกิดจากมนุษย์ โดยที่ภัยพิบัติจากธรรมชาติเป็นภัยพิบัติที่เราไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่สามารถบริหารจัดการตนเองได้ ส่วนภัยพิบัติจากมนุษย์นั้นบางอย่างเราก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายได้ เช่น การโจรกรรม

Disaster Recovery Planning

คือ การวางแผนเพื่อกอบกู้ระบบ IT ให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้หลังเกิดภัยพิบัติ หรือ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่เกิดภัยพิบัติ ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ กล่าวคือ การจัดการประเภทของภัยพิบัติ การประเมินความเสี่ยง การวางแผนป้องกัน การตรวจวัดและบันทึกข้อมูล

DRP เป็นส่วนหนึ่งของแผนภาพใหญ่ขององค์กรที่เตรียมการไว้เผื่อเผชิญกับภัยพิบัติ หรือที่เรียกว่า Business Continuity Plan (BCP) โดย DRP จะกล่าวถึงด้าน IT เป็นหลัก ในขณะที่ BCP จะกล่าวถึงภาพรวมขององค์กร

ขั้นตอนการทำ DRP

ขั้นตอนแรกคือ Risk Analysis เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงว่าจะมีภัยพิบัติประเภทไหนบ้าง

ขั้นตอนที่ 2 คือ Risk Classification เพื่อจำแนกกลุ่มหรือประเภทความเสี่ยงตามมุมมองต่างๆ เช่น ความเสี่ยงที่เกิดจากภายนอก (External Risk) ความเสี่ยงของข้อมูล (Data System Risk) ความเสี่ยงของการให้บริการ (Service System Risk) ความเสี่ยงของระบบพื้นฐาน (Infrastructure Risk) เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 คือ Disaster Effect Analysis เพื่อประเมินผลของภัยพิบัติว่ามีผลกระทบกับเราอย่างไรบ้าง โดยขั้นตอนนี้มักทำร่วมกับขั้นตอนที่สอง คือ เมื่อแบ่งแยกประเภทความเสี่ยงได้ชัดเจนแล้ว ก็จะวิเคราะห์ว่าภัยพิบัติจะก่อให้เกิดผลอะไรต่อมา

ขั้นตอนที่ 4 คือ Disaster Recovery Plan การวางแผนปฏิบัติงานในกรณีเกิดภัยพิบัติ ได้แก่ แผนรับมือภัยพิบัติขั้นปกติ แผนรับมือภัยพิบัติขั้นรุนแรง แผนการปฏิบัติเมื่อไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้ แผนการกอบกู้ระบบ และ แผนการเริ่มต้นระบบสนับสนุนใหม่ เช่น เมื่อประเมินแล้วพบว่าไม่มีพลังงานไฟฟ้าใช้แล้วในช่วงสุดท้ายของอุทกภัย ก็ควรมีอุปกรณ์สร้างพลังงานสำรองไว้ใช้งาน เป็นต้น