การใช้ Mind Map กับการสร้างสรรค์งานศิลป์

ดุรงค์ฤทธิ์  สุดสงวน  กองจัดการความรู้  ศูนย์ความรู้

 

     คุณเคยบ้างไหม…ที่คิดอะไรแล้วไม่ได้ทำ เพียงแค่คิดจึงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลายเป็นเรื่องของความเพ้อฝัน แต่ถ้าสิ่งนั้นสำเร็จเป็นรูปธรรม (outcome) แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย ถ้ามันเกิดประโยชน์ นำไปใช้ได้ก็จะมีคุณค่ามาก จนบางเรื่องที่เป็นผลงาน… มีการตั้งคำถามว่า….”คิดได้อย่างไร”

     จากข้อสังเกตที่ผ่านมา การศึกษาของคนไทยส่วนใหญ่ มักเรียนรู้จากการท่องจำ แต่เราไม่ค่อยได้สอนวิธีคิด ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่จะต้องอาศัย การวิเคราะห์ และการแยกแยะ ให้รอบคอบ เพื่อจะได้ผลงานที่ออกมาตรงใจของคนทำที่สุด

     ผมใช้ Mind Map ในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอ Mind Map เป็นเครื่องมือบันทึกความจำที่ดี สามารถสรุปสิ่งต่างๆ ได้เพียงกระดาษแผ่นเดียว เขียนได้ง่าย จดจำได้ง่าย เหมือนกิ่งไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาตามจินตนาการของสมอง  Mind Map เป็นกระบวนการหรือเครื่องมือ (tool) ที่เราสามารถรวบรวมทุกสิ่งที่เราคิด จึงมีประโยชน์มากถ้าเราเข้าใจ และใช้มันให้คุ้มค่า อย่ากระนั้นเลย…เข้าเรื่องกันดีกว่า ในส่วนนี้ผมจะอธิบายวิธีใช้ Mind Map เพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์

 

ขั้นตอนการทำ

  1. เก็บทุกสิ่งที่คิดได้ สรุปเป็นเนื้อหาสั้นๆ บันทึกลงในกระดาษ ด้วยเทคนิค Mind Map
  2. เลือกดูในสิ่งต่างๆ ที่เราบันทึก จับเอาบางส่วนที่สำคัญมาใส่ในงานที่เราต้องการทำ โดยการทำงานต้องมีโจทย์ที่ชัดเจน
  3. เมื่อได้โจทย์และรูปแบบต่างๆ ในการสร้างงานศิลป์เรียบร้อยแล้ว จึงทำการแยกแยะ และคัดกรองส่วนประกอบต่างๆ ที่จะมาใส่ในงาน โดยแปลงตัวหนังสือให้เป็นภาพ และวางองค์ประกอบ ในทุกส่วนให้เป็นแบบร่างคร่าวๆ ว่าจะจัดวางอย่างไร ตรงส่วนไหนภาพที่ออกมาจะดูเด่นและน่าสนใจ
  4. ลงมือทำผลงานโดยใช้ข้อมูลจากสิ่งที่คิดมาโดย Mind Map แล้วทำมาสร้างภาพบนงานจริง

20151016_081756

ภาพตัวอย่าง Mind Map กลั่นกรองความคิดเพื่อสร้างผลงานศิลป์

p1

ชื่อภาพ : ชีวิตกับเทคโนโลยี…หอยช้าง

Concept : ในโลกปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ในทางธรรมถือได้ว่าเป็นกลียุค การผสมผสานระหว่าง สัตว์ที่ต่างกัน สามารถได้รูปทรงใหม่ที่ดูแปลกตา อันเป็นผลแห่งเทคโนโลยีกับธรรมชาติที่ดำรงอยู่ร่วมกัน

ขนาดภาพ : 21 x 29.7 cm.

เทคนิค : สีไม้ สีเทียน สีโปสเตอร์

ภาพตัวอย่างผลงานที่เป็นผลิตผลจากการใช้ Mind Map กลั่นกรองความคิด

 

     จะเห็นได้ว่าการใช้ Mind Map ได้ประโยชน์คือ สามารถนำไปใช้สร้างสรรค์งานที่สามารถบอกเรื่องราวของความคิดที่อยู่ภายในงานศิลป์ที่บางครั้งเราคิดว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่แท้จริงแล้วงานดังกล่าวมีความคิดที่แทรกอยู่ภายในงานเสมอ ดูเผินๆ การทำงานศิลปะก็คล้ายกับนักวิจัย เวลาผลิตผลงานต้องใช้ความคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ คัดสรร เลือกใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตผลที่มีคุณภาพตรงใจมากที่สุด ผมหวังว่า ข้อเขียนเรื่อง Mind Map กับการนำไปใช้ประโยชน์จะตอบข้อสงสัยของคนที่สนใจในเรื่องนี้ ซึ่งจะนำเสนอเรื่องอื่นๆ ในลำดับต่อไป

เทคนิคการนำเสนองานอย่างมีประสิทธิภาพ

อัปสร เสถียรทิพย์*

ผศ.ลักษมี  คงลาภ**

TE1

                  การนำเสนอ (Presentation)  เป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน ทั้งในแวดวงการศึกษา แวดวงวิชาชีพ การทำงานทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชนให้ความสำคัญกับทักษะการนำเสนอของบุคลากร  Cheryl Hamilton (1999:6)  อธิบายว่า  มีงานศึกษาพบว่าผู้จ้างงานส่วนใหญ่เห็นว่าทักษะการนำเสนอมีส่วนสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่าทักษะทางวิชาชีพ   จากการศึกษาของ  Michigan State University ศึกษาความคิดเห็นผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล 479 คนจากบริษัทใหญ่ๆ  หน่วยงานของรัฐ  และองค์กรไม่แสวงหากำไร   พบว่าในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน ทักษะการนำเสนอเป็นทักษะที่สำคัญทีสุดที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าทำงาน

ในชีวิตการทำงาน การนำเสนอเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การนำเสนอเป็นวิธีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารและแนวความคิดไปยังกลุ่มผู้ฟัง ที่อาจจะเป็นกลุ่มผู้ฟังขนาดเล็กที่มีความคุ้นเคยกัน เช่น กลุ่มผู้ร่วมงาน หรือกลุ่มผู้ฟังขนาดใหญ่ที่ไม่มีความคุ้นเคยกัน เช่น กลุ่มบุคคลทั่วไป

TE2

 

              ข้อดีของการนำเสนอคือ

-เป็นการสื่อสารสองทาง (Two ways communication) ระหว่างผู้นำเสนอกับผู้ฟังทำให้ผู้นำเสนอสามารถเห็นปฏิกิริยาของผู้มีอำนาจตัดสินใจได้อย่างทันทีทันใด

– สามารถดึงดูดความสนใจและสร้างผลกระทบต่อผู้ฟังรวมทั้งสร้างความจดจำได้ดีกว่าการนำเสนอด้วยการเขียน (Written Presentation)

– สามารถปรับเนื้อหาหรือเรื่องราวที่กำลังพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟังได้อย่างทันท่วงที เช่น เมื่อเห็นว่าผู้ฟังแสดงท่าทางไม่เข้าใจเนื้อหาที่นำเสนอ ผู้นำเสนอก็สามารถปรับปรุงวิธีการนำเสนอเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น

การนำเสนอจะประสบความสำเร็จได้หากมีการเตรียมการที่ดี  “การเตรียมการเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการนำเสนองาน” (Preparation is a major key to delivering a successful presentation) (Nick Morgan 2004:15) เทคนิคการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพประกอบไปด้วย 3 ต.  คือ เตรียมกายและใจ  เตรียมเนื้อหา และเตรียมสื่อ

. ที่ 1 เตรียมกายและใจ  ผู้นำเสนอจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งกายและใจก่อนที่จะนำเสนองาน การเตรียมกายเป็นการเตรียมวิธีการสื่อสารของผู้นำเสนอ  เมื่อกล่าวถึง คำว่า” วิธีการสื่อสาร”หมายถึง การใช้เสียง และภาษากายในการนำเสนองาน

          เสียง (Voice) เสียงของผู้นำเสนอเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งในการนำเสนองาน ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียง ความดังของเสียง และการออกเสียง

โดยธรรมชาติแล้วเวลาพูดเสียงของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงเหมือนเส้นกราฟที่มีขึ้นสูงและลงต่ำ ผู้นำเสนอควรฝึกการใช้เสียงให้มีการใช้ระดับเสียงสูงต่ำอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้น่าสนใจ และเสียงไม่ราบเรียบเกินไป

          ความดังของเสียง ระดับความดังเสียงของผู้นำเสนอ  ควรให้เหมาะสมกับสภาพของสถานที่ ถ้าเป็นการนำเสนอในห้องประชุมขนาดเล็ก ควรใช้ความดังของเสียงระดับปกติ แต่ถ้าเป็นการนำเสนอในห้องประชุมขนาดใหญ่ ควรใช้เสียงที่ดังขึ้น เพื่อให้ผู้ฟังในห้องทุกคนได้ยินเสียงของผู้นำเสนอชัดเจน ทั้งนี้ เสียงที่ดังจะฟังดูมีอำนาจและกระตุ้นความสนใจได้ดี

การออกเสียง เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการนำเสนองาน ถ้าผู้นำเสนอพูดออกเสียงไม่ชัด ผู้ฟังก็จะไม่สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ถูกต้อง นอกจากนั้นความเร็วในการพูดก็มีความสัมพันธ์กับการออกเสียง ถ้าพูดเร็วเกินไปคำที่พูดต่างๆที่พูดออกมา จะฟังไม่รู้เรื่อง  ควรมีการหยุดเว้นช่วงในการนำเสนอ โดยเฉพาะหัวข้อสำคัญ  อาจจะเป็นการหยุดเพื่อจะเริ่มหัวข้อใหม่ หรือหยุดเว้นช่วงเพื่อเปลี่ยนอารมณ์จากอารมณ์หนึ่งเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง

                   สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่นำเสนองานที่ดีที่สุดคนหนึ่ง มีเทคนิควิธีการพูด คือ“เปลี่ยนระดับความดังและสลับน้ำเสียงสูงต่ำอยู่เรื่อยๆเพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้จับจ้องอยู่ที่คำพูดของคุณ เลือกจุดเปลี่ยนที่เหมาะสม เปลี่ยนจังหวะการพูดเพื่อไม่ให้การพูดของคุณราบเรียบจนเกินไป พูดให้เร็วขึ้นในบางช่วงแล้วช้าลง หยุดเว้นช่วงบ้างเพื่อสร้างอารมณ์ ” (Carmine Gallo 2010)

ภาษากาย (Body Language) มีความสำคัญต่อการสื่อสารของผู้นำเสนอ ภาษากายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างความประทับใจแรกพบ (First Impression)ให้เกิดขึ้นในการนำเสนองาน ก่อนที่ผู้นำเสนอจะเริ่มพูด ควรที่จะประสานสายตา      (Eye Contact)กับผู้ฟังเพื่อแสดงความเป็นมิตรและความเข้าใจ    ผู้นำเสนอที่ดีต้องมีการประสานสายตากับผู้ฟังอย่างสม่ำเสมอ การวางท่า(Posture) หรือการปรากฏกายของผู้นำเสนอในขณะที่นำเสนองานต่อผู้ฟังที่เหมาะสม คือควรวางท่าอย่างสบายๆเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดผนวกกับมีความคล่องตัวพร้อมจะสื่อสารกับผู้ฟัง ควรใช้ท่าทางให้เป็นธรรมชาติแสดงถึงความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว และมั่นใจ

เทคนิคในการใช้ภาษากายเพื่อสร้างความประทับใจ

–    เวลาจะนำเสนองาน ควรลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม

–   เดินไปที่เวทีด้วยท่าทางกระตือรือร้น สร้างความรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังเดินขึ้นไปรับรางวัล

–    ก่อนจะเริ่มพูดควรยิ้มอย่างอบอุ่นกับผู้ฟัง

–    ควรสบสายตากับผู้ฟังก่อนจะพูด

วิธีการพูดและภาษากายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง ภาษากายควรสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในคำพูดของผู้นำเสนอ วิธีการสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝนบ่อยๆ ฝึกการอ่านออกเสียงดังๆเพื่อฟังเสียงของตัวเอง หาจุดเด่น จุดด้อยในการใช้เสียง  บันทึกภาพและเสียงการนำเสนองานของตนเองเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องในการสื่อสาร

การเตรียมใจ  การได้รับมอบหมายให้นำเสนองาน  บ่อยครั้งสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ได้รับมอบหมายว่าจะพูดได้ไหม  จะพูดรู้เรื่องหรือเปล่า จะมีคนสนใจฟังไหม จะมีคนถามคำถามหรือเปล่า สารพัดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นและความมั่นใจในการนำเสนองานเพิ่มมากขึ้น  การเตรียมใจด้วยการคิดบวก( Positive Thinking) จึงเป็นสิ่งสำคัญ Elizabeth Tierney (1999:56) กล่าวว่าการคิดบวกเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการขจัดความเครียดและความวิตกกังวลในการนำเสนอ ผู้นำเสนอควรคิดเสมอว่าการนำเสนองานคือการนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มาแบ่งปันให้กับผู้ฟัง เช่น ทำให้ผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกชีวิตดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ฟัง  เป็นต้น

 

. ที่ 2 เตรียมเนื้อหา  เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนองาน ถ้าไม่มีเนื้อหาการนำเสนองานก็เกิดขึ้นไม่ได้ การเตรียมเนื้อหา คือการกำหนดว่าเนื้อหาที่นำเสนอมีประเด็นใดบ้าง ควรมีการจัดลำดับเนื้อหาอย่างไร  เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญในการนำเสนอ ผู้นำเสนอจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาที่ตนนำเสนอเป็นอย่างดี เรียกว่า รู้ลึก รู้จริงในสิ่งที่พูด   เมื่อเรารู้และเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ จะทำให้เราสามารถถ่ายทอดข้อมูลให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังที่ Albert Einstein กล่าวไว้ว่า “ If you can’t explain it simply, you don’t understand it well enough”

 

ก่อนที่จะเตรียมเนื้อหา ผู้นำเสนอควรกำหนดจุดมุ่งหมายในการนำเสนอและศึกษาข้อมูลผู้ฟัง เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางการนำเสนอ การกำหนดจุดมุ่งหมายเป็นการตอบคำถามที่ว่า “ทำไมถึงต้องนำเสนองาน” ผู้นำเสนอคาดหวังว่าจะเกิดผลอะไรจากการนำเสนอ เช่นเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อจูงใจ เพื่อขายหรือเพื่อสอน เป็นต้น ในการนำเสนองานผู้นำเสนอทุกคนควรจะกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ ซึ่งการวัดความสำเร็จของการนำเสนองานสามารถพิจารณาได้จากผลของการนำเสนอนั้นว่าตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่

การศึกษาผู้ฟัง ในการนำเสนองาน ผู้นำเสนอควรที่จะทราบล่วงหน้าว่าใครจะเข้าร่วมฟังบ้าง หากรู้จักกลุ่มผู้ฟังดีเท่าไรก็จะสามารถนำเสนองานให้เข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ผู้ฟังจะมีความหลากหลายทั้งทางด้านภูมิหลัง ลักษณะทางจิตวิทยา ที่สำคัญควรวิเคราะห์ความต้องการของผู้ฟัง (Audiences ’ need)  ว่าผู้ฟังจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างและผู้ฟังต้องการรู้อะไรบ้างจากการนำเสนอ ปัญหาหนึ่งของการนำเสนองานคือการไม่นำเสนอในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการที่จะได้ฟัง หากนำเสนอแต่เพียงสิ่งที่ผู้ฟังจำเป็นต้องรู้ โดยไม่คำนึงว่าผู้ฟังต้องการรู้อะไรบ้าง เมื่อนำเสนอเสร็จอาจทำให้ผู้ฟังเกิดคำถามค้างในใจถึงสิ่งที่ต้องการจะรู้แต่ไม่ได้รู้ การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ฟัง จะทำให้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการกำหนดแนวทางและวิธีการที่ถูกต้องในการนำเสนอแก่ผู้ฟังแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านความคาดหวังและเหตุผลของผู้ฟังที่มีต่อการนำเสนอนั้นๆ การนำเสนอที่ดีที่สุดคือการนำเสนอด้วยวิธีการและแนวทางที่ถูกใจผู้ฟัง

การเตรียมเนื้อหา ผู้นำเสนอควรเขียนโครงร่างเนื้อหาโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ตามโครงสร้างเนื้อหาได้แก่ การเปิด (Opening)  เนื้อหาหลัก (Body) และ การปิด (Closing)

                    การเปิด (Opening) คือ การดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังและทำให้ผู้ฟังสนใจติดตามเนื้อหา   การเปิดที่ดีจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้นำเสนอ ผู้พูดที่ไม่มีประสบการณ์มักจะเริ่มต้นด้วยการกล่าวคำขอโทษในเรื่องที่แสดงถึงความไม่มั่นใจและไม่พร้อม เช่น ขอโทษที่มาสาย , งานยังไม่เรียบร้อย ,ไม่เคยนำเสนอมาก่อน หรือรู้สึกตื่นเต้นมาก ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดี เพราะผู้ฟังจะตัดสินผู้นำเสนอตั้งแต่การเริ่มต้นการนำเสนอ ถ้าเริ่มต้นไม่ดี  จะเป็นการลดความน่าเชื่อถือของผู้นำเสนอ

การกล่าวเปิดที่ดีนั้น ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

  • สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง
  • กล่าวถึงประเด็นสำคัญเป็นหลักแต่สามารถเสนอภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด
  • ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับจากการนำเสนอ
  • ทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือและมั่นใจผู้นำเสนอ

เนื้อหาหลัก (Body )ในช่วงกลางของการนำเสนอเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียด  แต่ผู้พูดควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย จากกราฟที่ 1 แสดงผลการวิจัยทางจิตวิทยาในเรื่องระดับความสนใจของผู้ฟัง กับระยะเวลาในการนำเสนองาน โดยศึกษาการนำเสนองานที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย

GRAPH

                                                  กราฟที่ 1 แสดงระดับความสนใจฟัง

(Antony Jay and Ros Jay 1996: 24)

         

                   จากผลการศึกษามีประเด็นที่น่าสนใจ 4  ประเด็นคือ ประเด็นแรกการนำเสนองานในระยะเวลาสั้นๆจะเป็นช่วงที่ผู้ฟังมีความสนใจอยู่ในระดับที่สูง ประเด็นที่สอง การนำเสนอประเด็นสำคัญเพื่อให้ผู้ฟังเกิดการจดจำควรนำเสนอในช่วงเริ่มต้น และช่วงสุดท้าย ประเด็นที่สาม หลังจาก 10 นาทีแรกระดับความสนใจของผู้ฟังจะลดลง ควรจะใช้สื่อหรือเทคนิคต่างๆ ช่วยในการดึงความสนใจผู้ฟังกลับมา และประเด็นสุดท้ายระดับความสนใจของผู้ฟังจะไม่เพิ่มขึ้นในช่วงท้ายของการนำเสนอ หากผู้ฟังไม่ทราบว่ากำลังจะถึงช่วงท้ายของการนำเสนอ

 

                    การปิด  (Closing)  การปิดมีความสำคัญเท่ากับการเปิด ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผู้นำเสนอจะสามารถสร้างความจดจำและความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง ผู้นำเสนอจำเป็นต้องวางแผนการพูด ควรกล่าวย้ำและทบทวนถึงวัตถุประสงค์ในการนำเสนอและสรุปประเด็นที่สำคัญ รวมทั้งแนวคิดหลักๆ ซึ่งเชื่อมโยงเนื้อหาทุกส่วนเข้าด้วยกัน

 

นอกจากจะเตรียมเนื้อหาแล้ว ผู้นำเสนองานควรเตรียมตัวสำหรับการตอบคำถาม โดยคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับคำถามที่ผู้ฟังจะถาม และเตรียมคำตอบให้พร้อมกับทุกคำถาม ซึ่งการคาดการณ์ล่วงหน้าเกิดขึ้นได้จากการศึกษาผู้ฟัง และจากประสบการณ์ของผู้นำเสนอ นอกจากนั้นการคิดบวกต่อการถามคำถามจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการตอบคำถาม ผู้นำเสนอไม่ควรมองว่าการถามคำถามของผู้ฟังเป็นการจับผิดไม่ไว้ใจหรือ มีอคติกับผู้นำเสนอ พยายามมองคุณค่าของการถามคำถามว่า การตอบคำถามเป็นโอกาสที่ได้อธิบายหรือตอกย้ำประเด็นสำคัญ และที่สำคัญการตอบคำถามเป็นวิธีการที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวผู้นำเสนอ เพราะเป็นการแสดงว่าผู้นำเสนอมีความรอบรู้ในเรื่องที่นำเสนอ

          . ที่ 3  เตรียมสื่อ  การนำเสนองานโดยการพูดหรือบรรยายให้ผู้ฟังฟังแต่เพียงอย่างเดียว บางครั้งอาจจะไม่สามารถสื่อความหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะความยากของเนื้อหาที่นำเสนอหรือ ความสามารถในการอธิบายของผู้นำเสนอไม่ดีพอ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ก็ด้วยการใช้สื่อประกอบในการนำเสนอ

สื่อที่ใช้ประกอบในการนำเสนอเช่น  ภาพถ่าย  แผนภูมิ แผนภาพ คลิปภาพ คลิปเสียง เป็นต้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลในปัจจุบัน ทำให้สื่อที่ใช้ในการนำเสนอมีลูกเล่น มีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการออกแบบสื่อสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบายมากกว่าแต่ก่อน  ผู้นำเสนอบางคนจึงให้ความสำคัญในการเตรียมสื่อ มากกว่าการเตรียมเนื้อหา ประกอบกับความเชื่อว่าหากนำเสนอด้วยสื่อที่ดูดี เทคนิคหลากหลาย จะทำให้การนำเสนอสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ ความเชื่อดังกล่าวมีความถูกต้องแต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะหากผู้นำเสนอนำเสนอด้วยสื่อที่สวยงาม โดยไม่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอ ก็จะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ ดังนั้นการใช้สื่อในการนำเสนอพึงระลึกเสมอว่าให้สื่อเป็นพระรอง ที่ช่วยเสริมความเข้าใจในเนื้อหา ผู้นำเสนอจะต้องเป็นตัวเอกในการนำเสนอ

เทคนิค 3 .การเตรียมกายและใจ การเตรียมเนื้อหา และการเตรียมสื่อ จะช่วยลดความวิตกกังวลในการนำเสนองาน ทำให้ผู้นำเสนอมีความพร้อมที่จะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถสร้างความประทับใจและความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น และหลังจากการนำเสนอผู้นำเสนอควรมีการประเมินตนเอง  หากผู้นำเสนอมองย้อนกลับไป และประเมินในสิ่งที่ทำได้ดีและสิ่งที่ทำได้ไม่ดี รวมถึงพิจารณาสาเหตุของปัญหาก็จะทำให้การนำเสนองานครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังคำกล่าวของวินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่ว่า “ The farther backward you can look, the farther forward you are likely to see” ยิ่งสามารถมองไปข้างหลังได้ไกลเพียงใด ก็จะยิ่งมีโอกาสเห็นข้างหน้าได้ไกลเพียงนั้น

……………………….

บรรณานุกรม

Carmine Gallo.(2010).เก่งPresentationอย่าง สตีฟ จ๊อบส์ ( แปลจากเรื่อง The Presentation Secrets of Steve Jobs โดย ศรชัย จาติกวนิช และ ประสิทธิชัย วีระยุทธวิไล.)กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แมคกรอ-ฮิล.

Jay,Antony. and Jay,Rose. (1996) .Effective Presentation. UK: Pitman Publishing.

Hamilton,Cheryl.(1999).Essentials of Public Speaking. USA: Wadsworth Publishing Company.

Morgan, Nick. (2004) Presentations that persuade and motivate. USA: Harvard Business .

School Press.

Sampson, Eleri. (2003) Creative business presentations. UK: Kogan Page Limited. Tierney, Elizabeth (1999). 101 ways to better presentations. UK : Kogan Page Limited

…………………….

*ผู้อำนวยการกองจัดการความรู้ ศูนย์ความรู้

**อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ผลิตภัณฑ์กาวติดฟันปลอม (Denture Adhesive)  ชนิดเนื้อครีม ผ่านมาตรฐาน ISO 10873: Denture Adhesive ผ่านการทดสอบความเป็นพิษต่อเซล์ (Cutotoxicity Test) ผ่านการทดสอบความระคายเคืองต่อผิวหนัง (Skin Irritation Test) และผ่านการทดสอบการแพ้ทางผิวหนัง (Skin Sensitization Test) ใช้งานง่าย สะดวก มีความสามารถในการยึดติดระหว่างเหงือกและฟันปลอมทั้งในสภาวะร้อน (60°C) และเย็น (5°C) สามารถยึดติดได้นานกว่า 8 ชั่วโมง มีความปลอดภัยต่อเซลล์ร่างกาย ไม่ระคายเคืองต่อผิว วัตถุดิบหาได้ง่าย และมีกระบวนการผลิตที่ง่ายดาย สามารถใช้เครื่องมือผสมที่มีอยู่โดยทั่วไป

e4

 

คุณสมบัติพิเศษ

ผลิตภัณฑ์กาวติดฟันปลอม (Denture Adhesive)  มีวิธีการใช้งานไม่ยุ่งยาก เพียงทากาวลงบนพื้นของฟันปลอมที่จะสัมผัสกับเหงือกจำนวน 3-4 ตำแหน่ง กดฟันปลอมให้แน่นกับเหงือกประมาณ 1 นาที จะเกิดการยึดติดระหว่างฟันปลอมกับเหงือก โดยกระบวนการยึดฟันปลอมของกาวติดฟันปลอมที่พัฒนาโดย วว. นี้อาศัยสมบัติการยึดติด (Adhesive) และแรงดึงดูดภายในโมเลกุลของวัสดุ (Cohesive) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในช่องปาก ทำให้การเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพและเกิดความมั่นใจในตนเองเวลาใช้งานฟันปลอม

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

ปุ๋ยอัลจินัวเป็นผลิตภัณฑ์ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท บริษัท อัลโกเทค จำกัด  ปุ๋ยอัลจินัวเป็น ปุ๋ยที่ได้จากจุลินทรีย์จำพวกสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวที่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นแอมโมเนียซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มปุ๋ย ไนโตรเจนให้แก่ดินและเพิ่มผลผลิตข้าว สาหร่ายนี้เจริญได้ดีในดินชื้นแฉะหรือดินนา น้ำขัง

h10

เมื่อนำมาผลิตเป็นปุ๋ยชีวภาพจึงเหมาะที่จะนำ ไปใช้ในดินที่ปลูกข้าว โดยทางปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดในหลายจังหวัดของประเทศไทยว่า สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวที่นำมาผลิตเป็น ปุ๋ยชีวภาพ สามารถตรึงไนโตรเจน จากอากาศได้จำนวนมาก คิดเทียบกับปุ๋ยยูเรียได้ 8–10 กิโลกรัม ต่อไร่ ในแต่ละฤดูการ ปลูกข้าว นอกจากนั้น ยังสามารถขับสารจำพวกฮอร์โมนที่ช่วยการ เจริญเติบโต ทำให้พืชแข็งแรง ให้ผลผลิตสูง และปุ๋ยชีวภาพ นี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวตายลงจะให้อินทรียวัตถุแก่ดินทำให้โครงสร้างดินดีขึ้น การเพาะปลูกพืชหลังการทำนาจะได้ผลดี

ในกรณีที่มีการส่งเสริมการเลี้ยงปลาในนาข้าวก็จะได้ผลดีด้วย เพราะสาหร่ายเป็นอาหารของปลาและในสาหร่ายมีโปรตีน 65% ทำให้ปลาเจริญเติบโต ได้อย่างรวดเร็วและสาหร่ายนี้แพร่พันธุ์ได้เร็วจึงทันกับการเป็นอาหารของปลา สิ่งขับถ่ายของปลาจะเป็นปุ๋ยในนาข้าวและกระตุ้นการ เจริญเติบโตของสาหร่ายได้อีกทางหนึ่ง

 

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท อัลโกเทค จำกัด 109/4 ตำบลบางระกำ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม 73120 โทร. 0-2319-6677 แฟกซ์ 0-2319-4224

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

Khamin Gel & Khamin Oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท อิโคเว็ท จำกัด วว.พัฒนาสมุนไพรขมิ้นชัน เป็นยารักษาโรคผิวหนังอักเสบในสุนัข โดยพัฒนาในรูปแบบของ เจล Khamin Gel ใช้ทารักษาโรคผิวหนังอักเสบ ผื่น ตุ่มมีหนอง ฝี แผลติดเชื้อจากแบคทีเรีย มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดอาการคัน และบำรุงขนให้เงางาม ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และดื้อยา

สเปรย์ Khamin Oil ใช้ฉีดพ่นรักษาโรคผิวหนังอักเสบ แผลติดเชื้อจากเชื้อรา แบคทีเรียและยีสต์ ผิวหนังเป็นสะเก็ด แห้ง คันจากเชื้อรา ตามตัวและผิวหนังส่วนอื่น เช่น ซอกเท้า รอยพับต่างๆ ช่วยลดอาการคัน ช่วยบำรุงขน ขนงอกใหม่เร็วขึ้น ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และดื้อ  ซึ่งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมยาทา แก่สัตว์เลี้ยงที่ผลิตจากสมุนไพรไทย สามารถใช้ทดแทนยาสังเคราะห์และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ

h9

 

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท อิโคเว็ท จำกัด โทร. 0-2940-2750-51 ซอยลาดปลาเค้า 6 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 e-mail : info@ecovett.com http://www.ecovett.com

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

เจลสูตรสมุนไพร รอยัล เฮิร์บ : Royal Herb เป็นผลิตภัณฑ์ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท รอยัล เฮลธ์ แอนด์ บิวตี้  โดยเริ่มจากการสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรที่ใช้ในลูกประคบ จากนั้นนำมาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบเจลพร้อมใช้ เพื่อความสะดวกในการใช้โดยยังคงประสิทธิภาพในการรักษาและผ่านการทดสอบทางด้านความปลอดภัย  การพัฒนาสูตรตำรับยาแผนโบราณให้อยู่ในรูปแบบที่ทันสมัย เป็นอีกแนวทางหนึ่งของการดำรงไว้ซึ่งภูมิปัญญาไทย และเพื่อให้การแพทย์แผนไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

h8

 

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท รอยัล เฮลธ์ แอนด์ บิวตี้ จำกัด ที่อยู่ 25 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 68 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 โทร. 08-3545-8800 e-mail : sales@rhb.co.th, www.facebook.com/thairoyalherb

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

สาหร่ายมุกหยก Nostoc เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยฝ่ายเทคโนโลยีชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท อิที่ บริษัท สยามนอสตอค แอนด์ ไมโครแอลจี จำกัด  สาหร่ายนอสตอค (Nostoc sp., Cyanophyta) หรือในชื่อภาษาไทยคือ สาหร่ายไข่หิน ดอกหิน เห็ดหิน เห็ดยาควร เป็นสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวที่ตรึงไนโตรเจนได้ ตามภูมิปัญญาไทยเชื่อว่ามีสรรพคุณในการรักษาระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมทั้งช่วยลดอาการร้อนใน ภูมิปัญญาจีนมีความเชื่อว่า การบริโภคสาหร่ายในสกุลนอสตอค ช่วยรักษาโรคเก๊าต์ มะเร็ง ตาบอดในเวลากลางคืน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ตลอดจนอาการเจ็บป่วยต่างๆ ส่วนภูมิปัญญาญี่ปุ่นพบว่าจะช่วยในการลดโคเลสเตอรลและป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้

h7

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท สยามนอสตอค แอนด์ ไมโครแอลจี จำกัด 259 ซอยลาดพร้าว 64(2) ถนนลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10130 โทร. 0-2933-7917 แฟกซ์ 0-2933-7917 e-mail : contact_us@siamnostoc.com

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal-D และ Livetal เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดย ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท บริษัทวี แอนด์ พี เฮลล์แคร์    วว.ได้ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืชสมุนไพรไทยออกฤทธิ์ ป้องกันโรคตับ ซึ่ง วว. นำหลักการเดียวกับการวิจัยของประเทศอินเดียมาประยุกต์ใช้ โดยคัดเลือกสมุนไพรไทยที่สามารถออกฤทธิ์ป้องกันการทำลายของเซลล์ตับหรือ บำรุงรักษาตับมาพัฒนาเป็นอาหารเสริมที่มีประสิทธิผลและความปลอดภัยสูง

h6

–  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทยออกฤทธิ์ในการป้องกันโรคตับของ วว. มี 2 ชนิด ได้แก่

– ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal-D เป็นสารสกัดหยาบของสมุนไพรออกฤทธิ์ที่บำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมี หรือเชื้อไวรัส เช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ดีซ่าน

– ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal เป็นสารสกัดหยาบของสมุนไพรออกฤทธิ์ในการบำรุงและป้องกัน การทำลายเซลล์ตับจากแอลกอฮอล์

 

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท วี แอนด์ พี เฮลล์แคร์ จำกัด ที่อยู่ 1 ซอยอ่อนนุช 62 ถนนสุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและเสริมสร้างความจำ : MD MATE เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดย ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท บริษัท อาณาจักรสุขภาพ จำกัด MD MATE  จะช่วยบำรุงสมองและเสริมสร้างความจำ พัฒนา โดยคัดเลือกจากสารสกัดผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง บัวบก และบร็อคโคลี่ ในรูปแบบยาเม็ดมีประสิทธิภาพในการบำรุงสมองและเสริมสร้างความจำสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในเด็กที่ต้องการช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจดจำและการเรียนรู้และในผู้สูงอายุที่มีอาการเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม ผู้ที่อยู่ในวัยเรียน  วัยทำงาน

h5

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด โทร. 02-866-8190-9  ที่อยู่ เลขที่ 46, 46/1-2 ซอย จรัญสนิทวงศ์ 40 ถนน จรัญสนิทวงศ์ บางยี่ขัน บางพลัด กรุงเทพ 10700 ประเทศไทย

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th

          มายเฮอบัล สเลน-ดี : Myherbal Slen-D เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด เป็นผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพรรวม ผลิตภัณฑ์เพื่อการเผาผลาญสำหรับควบคุมน้ำหนัก จากสมุนไพรที่มีส่วนประกอบของชาและเครื่องเทศไทย ที่ลดการดูดซึมไขมันในทางเดินอาหารและกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกายเพื่อควบคุมน้ำหนักส่วนเกิน

h4

 

คุณสมบัติพิเศษ

มายเฮอบัล สเลน-ดี : Myherbal Slen-D ผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ลดการเพิ่มน้ำหนักตัว ลดการดูดซึมไขมันในทางเดินอาหาร และการทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ (ทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน)

 

 

หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถโทรติดต่อได้ที่ บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด โทร. 02-866-8190-9  ที่อยู่ เลขที่ 46, 46/1-2 ซอย จรัญสนิทวงศ์ 40 ถนน จรัญสนิทวงศ์ บางยี่ขัน บางพลัด กรุงเทพ 10700 ประเทศไทย

 

สนใจติดต่อ กองการตลาด สำนักจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม โทร. 0-2577-9436-38 หรือ Call Center 0-2577-9300 e-mail : marketing_tistr@tistr.or.th