ในกลุ่มสารสำคัญทางยาในพืชสมุนไพร บางชนิดอาจเป็นโทษหรือมีฤทธิ์ ทำให้ถึงตายได้ถ้าเราใช้ในปริมาณที่สูงเกินไปหรือใช้ผิดวิธี สารพิษที่อยู่ในพืชมักประกอบด้วยสารเหล่านี้

5.1 แอลคาลอยด์ (alkaloid)

แอลคาลอยด์บางชนิดไม่เป็นพิษ แต่บางชนิดก็เป็นพิษมาก พืชที่มีแอลคาลอยด์อยู่มีรสขม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์มากิน แอลคาลอยด์ที่เป็นพิษมาก ได้แก่ มอร์ฟีนจากยางของผลฝิ่น นิโคตินจากใบยาสูบ สารพวกโทรเปนแอลคาลอยด์ในต้นลำโพงมีฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการอ่อนเพลียตามด้วยการหลับประมาณ 5-8 ชม. ในขนาดที่สูงมากทำให้เกิดอาการเพ้อฝัน ตื่นเต้น สตริกนีนในเมล็ดแสลงใจมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทไขสันหลัง เกิดความรู้สึกไวกว่าปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้อแข็งไม่ยืดหยุ่น กล้ามเนื้อบิดตัวเกิดการชักกระตุกมาก ในยุโรปมีผู้นำเมล็ดแสลงใจไปใช้ในการเบื่อสุนัขและหนู

5.2 ไกลโคไซด์ (glycosides)

คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ในยี่โถ เมล็ดรำเพย เมล็ดตีนเป็ดน้ำ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเต้นอ่อน และเต้นไม่เป็นจังหวะ ม่านตาขยาย หมดสติ ไกลโคไซด์ในเมล็ดมาสตาร์ดดำ และมาสตาร์ดขาวทำให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนัง

5.3 ซาโปนิน (saponin)

ซาโปนินมีรสขม และกลิ่นฉุน ถ้าอยู่ในรูปผงแห้งจะทำความระคายเคืองแก่เยื่อบุจมูก นอกจากนี้ ซาโปนินยังเป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็น เช่น ปลา กบ แมลง สัตว์เลือดอุ่น ถ้ากินสารนี้จะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร อาเจียนและท้องร่วงได้ ถ้าสารนี้เข้าทางกระแสโลหิตทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ ตัวอย่างเช่น ซาโปนินในผลมะคำดีควาย ในผลมะระที่สุกเต็มที่

5.4 น้ำมันหอมระเหย (essential oil)

เป็นสารที่มีกลิ่น สารพวกนี้มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ไล่แมลง และฆ่าแมลง มีฤทธิ์ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเยื่อเมือก ถ้าขนาดมากทำให้เกิดความระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาเจียนและท้องร่วง ตัวอย่างเช่น น้ำมันหอมระเหยใน ผักชีฝรั่ง จันทน์เทศ พืชจำพวกโกฎจุฬาลำพา

5.5 กรดอินทรีย์ (organic acid)

กรดอินทรีย์ที่เป็นพิษ คือ กรดออกซาลิก (oxalic acid) พบในพืชหลายชนิด อยู่ในรูป แคลเซียมออกซาเลต โซเดียมออกซาเลต และโพแทสเซียมออกซาเลต ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุปากและลำคอ เช่น แคลเซียมออกซาเลตในใบบอน ว่านหมื่นปี และเพชรสังฆาต

การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้สามารถสกัด และแยกสารเคมีบริสุทธิ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยาในพืชสมุนไพร และได้สารสำคัญจำแนกได้ดังนี้

4.1 คาร์โบไฮเดรต (carbohydrates)

เป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถูกสร้างขึ้นจากการสังเคราะห์แสงของพืช คาร์โบไฮเดรตนอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนำมาใช้ประโยชน์ทางยา เช่น

4.1.1 แป้ง ใช้เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณ (diluent) ในการแตกตัวของเม็ดยา (disintegrating agent)

4.1.2 กัม (gum) เป็นสารที่ต้นไม้สร้างขึ้นเมื่อได้รับอันตราย หรือเป็นแผล ใช้ประโยชน์เป็นสารช่วยแขวนตะกอน (suspending agent) และสารช่วยยึดเกาะในยาเม็ด (binding agent) และสารที่ทำให้ชุ่มคอ (demulcent)

4.1.3 วุ้น (agar) เป็นสารที่สกัดได้จากสาหร่ายสีแดง วุ้นใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย เป็นสารช่วยเพิ่มความคงตัวของผลิตภัณฑ์ และสารช่วยในการเตรียมอีมัลชัน

4.1.4 น้ำตาลทราย (sucrose) พบมากในอ้อย และในปาล์มชนิดต่างๆ เข่น มะพร้าว ตาล น้ำตาลทราย ใช้เป็นสารแต่งรสหวาน (sweetening agent) และใช้เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณในยาอม

4.1.5 แมนนิทอล (mannitol) เป็นชูการ์แอลกอฮอล์ (sugar alcohol) ที่ได้จากสาหร่ายสีน้ำตาล ใช้ประโยชน์เป็นสารแต่งรสหวานในผลิตภัณฑ์ยา ใช้เป็นอาหารผู้ป่วยโรคเบาหวานและเป็นยาระบายสำหรับเด็ก

4.1.6 ซอร์บิทอล (sorbitol) เป็นชูการ์แอลกอฮอล์ ที่พบในผลไม้ทั่วไป ใช้ประโยชน์เป็นสารแต่งรสหวานในผลิตภัณฑ์ยาและเป็นอาหารผู้ป่วยโรคเบาหวาน

4.1.7 เซลลูโลส (cellulose) เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์พืช เซลลูโลสที่ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ได้แก่ สำลีที่ได้จากขนหุ้มเมล็ดฝ้าย อนุพันธ์ของเซลลูโลสที่ใช้ประโยชน์ในทางเภสัชกรรม ได้แก่ เมทิลเซลลูโลส (methyl cellulose) และคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (carboxymethyl cellulose) อนุพันธ์ทั้งสองชนิดนี้จะพองตัวเมื่อถูกน้ำ ใช้ประโยชน์เป็นยาระบายชนิดช่วยเพิ่มกาก (bulk laxative) และใช้เป็นสารช่วยแขวนตะกอน

4.1.8 วิตามินซี (ascorbic acide) เป็นชูการ์แอซิด (sugar acid) ใช้ประโยชน์ข่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

4.2 น้ำมันหอมระเหย (essential oil)

น้ำมันหอมระเหย เป็นสารประกอบที่สลับซับซ้อน และระเหยได้ในอุณหภูมิห้อง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า volatile oil พบได้ในส่วนต่างๆของพืช เช่น ดอก ใบ ผล กลีบเลี้ยง เปลือกไม้ ราก สามารถสกัดน้ำมันหอมระเหยออกจากส่วนต่างๆ ของพืชได้หลายวิธี เช่น การกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) การกลั่นด้วยการต้ม (water distillation) การกลั่นด้วยการใช้ตัวทำละลาย (solvent extraction) และการใช้ไขมันดูดกลิ่นหอมแล้วนำไปกลั่นด้วยตัวทำละลาย (enfleurage) น้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นรสเฉพาะตัว มีทั้งเบาและหนักกว่าน้ำ มักเป็นส่วนประกอบของพืชสมุนไพรที่เป็นเครื่องเทศ ในด้านคุณสมบัติทางด้านเภสัชวิทยา มักเป็นด้านขับลมและฆ่าเชื้อรา พบในพืชสมุนไพร เช่น กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด ไพล ขมิ้น เป็นต้น

4.3 แอลคาลอยด์ (alkaloid)

เป็นกลุ่มสารที่พบในพืชชั้นสูง พบบ้างในพืชชั้นต่ำ ในสัตว์และในจุลินทรีย์ แอลคาลอยด์เป็นสารอินทรีย์ที่มีรสขมไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ มักจะมีสมบัติทางเภสัชวิทยาที่เด่นชัด ตัวอย่าง เช่น สารควินิน (quinine) ในเปลือกต้นซิงโคนา (cinchona) มีสรรพคุณรักษาโรค มาลาเรีย เรเซอร์ปีน (reserpine) ในราก ระย่อม มีสรรพคุณลดความดันเลือด มอร์ฟีน (morphine) ในยางของผลฝิ่นมีสรรพคุณระงับอาการปวด เป็นต้น

4.4 ไกลโคไซด์ (glycoside)

เป็นสารประกอบที่พบมากในพืชสมุนไพร มีโครงสร้างแบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นน้ำตาลกับส่วนที่ไม่ได้เป็นน้ำตาลที่เรียกว่า อะไกลโคน (aglycone) หรือ เจนิน (genin) ส่วนที่ไม่ใช่น้ำตาลมีโครงสร้างแตกต่างกันไปหลายประเภท ดังนั้น ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารประกอบในกลุ่มนี้จึงมีได้กว้างขวางแตกต่างกันออกไป ส่วนที่เป็นน้ำตาลไม่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา แต่เป็นส่วนช่วยทำให้การละลายและการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายดีขึ้น อาจจำแนกไกลโคไซด์ตามสูตรโครงสร้างของอะไกลโคน (เนื่องจากเป็นส่วนที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา) ได้ดังนี้

4.4.1 คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (cardiac glycoside) มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อหัวใจ และระบบการไหลเวียนของโลหิต เช่น สารในยี่โถ

4.4.2 แอนทราควิโนนไกลโคไซด์ (anthraquinone glycoside) มีฤทธิ์เป็นยาระบาย สารนี้มีในชุมเห็ดเทศ ใบขี้เหล็ก ใบมะขามแขก เป็นต้น

4.4.3 ซาโปนินไกลโคไซด์ (saponin glycoside) เมื่อเขย่ากับน้ำจะได้ฟองคล้ายสบู่ มักใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาประเภทสเตอรอยด์ เช่น สารในลูกมะคำดีควาย

4.4.4 ฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ (flavonoid glycoside) เป็นสีที่พบในดอกและผลของพืช ทำเป็นสีย้อมหรือสีแต่งอาหาร เช่น สารสีในดอกอัญชัน

4.4.5 ไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (cyanogenic glycoside) เป็นไกลโคไซด์ เมื่อถูกไฮโดรไลส์ด้วยเอนไซม์ กรดหรือด่างจะให้ไฮโดรไซยานิกแอซิด (hydrocyanic acid) ซึ่งเป็นสารพิษต่อมนุษย์และสัตว์

4.4.6 แทนนิน (tannin) เป็นกลุ่มสารที่พบได้ทั่วไปในพืชเกือบทุกชนิด เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่ และโครงสร้างซับซ้อน มีรสฝาด มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน และสามารถตกตะกอนโปรตีนได้ มีฤทธิ์ฝาดสมานและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พบในใบฝรั่ง เนื้อของกล้วยน้ำว้าดิบ

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 11 ซม. ปากเรียวยาวและโค้งลง นกตัวผู้และนกตัวเมียมีสีต่างกัน นก ตัวผู้มีขนด้านบนลำตัวเป็นสีเขียวมะกอก คาง ใต้คอ และอกตอนบนสีดำเหลือบม่วง มีแถบสีน้ำเงินเหลือบเป็นขอบ อกตอนล่างและท้องสีเหลือง นกตัวเมียมีขนด้านล่างเป็นสีเหลืองโดยตลอด

เขตแพร่กระจาย :

พม่า ไทย อินโดจีน จีนตอนใต้ ไหหลำ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ อินโดนิเซีย นิวกินี ออสเตรเลีย

ที่อยู่อาศัย :

พบได้ทั่วไป บนต้นไม้ที่มีดอก

อุปนิสัย :

หากินอยู่บนต้นไม้ กินน้ำหวานดอกไม้ แมงมุม แมลงขนาดเล็ก ๆ ผสมพันธุ์เกือบตลอดทั้งปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กันยายน ช่วงที่ทำรังมากที่สุดอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ใช้เวลาในการฟักไข่นาน 14 วัน

สถานภาพ :

นกประจำถิ่น ที่พบบ่อย

Characteristics :

Size 11 cm. A small bird with a slender, decurved bill. Both sexes are different in plumage colour, A male has olive-green upperpart and yellow underpart; also possessing a purple-glossed black neck patch that extending down to its upper breast, sometimes bordered outwardly by a bluish band. A female has no such a black neck patch.

Distribution :

Myanmar, Thailand, Indo-China, southern China, Hainan, the Philippines, Malaysia, the Andamans, the Nicobars, Indonesia, New Guinea, and Australia

Habitat :

Ubiquitously found on most flowering plants.

Habit :

Hunting for small insects and spiders among the foliage, and sucking nectar from a wide array of flowering plants. Breeding almost all the year round, from November-September, with a peak between January- May. Two is a normal clutch, which will require an incubation period of about 14 days.

Status :

A quite common resident.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 21 ซม. นกตัวผู้มีหางคู่กลางยื่นยาวกว่าหางเส้นอื่นประมาณ 23 ซม. นกชนิดนี้มี 2 รูปแบบ แบบแรกเรียกว่านกแซวสวรรค์ขาว เป็นนกที่ขาวทั้งตัว ยกเว้นบริเวณหัวเป็นสีดำมัน แบบที่ 2 เรียกว่านกแซวสวรรค์แดง มีขนบริเวณหลัง ปีกและหางเป็นสีน้ำตาลแดง นกตัวเมียเหมือนนกแซวสวรรค์แดง แต่หางสั้น

เขตแพร่กระจาย :

เตอร์กีสถาน อาฟกานิสถาน แมนจูเรีย จีน หมู่เกาะซุนดา หมู่เกาะนิโคบาร์ หมู่เกาะอันดามัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่อาศัย : ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น

อุปนิสัย :

หากินตัวเดียวหรือเป็นคู่ ชอบเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ บินจับแมลงในอากาศ ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง

สถานภาพ :

มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ พบน้อย

Characteristics :

Size 21 cm. A male bird has a conspicuous middle tail feathers that extending about 23 cm. longer than other tail feathers. Two colour morphs are known: the pale or white morph is almost all white, except the shiny black hood; and the reddish-brown morph which is reddish brown throughout the upperpart of the body and tail. A female is similar to a male of reddish brown morph, but having a shorter tail.

Distribution :

Turkistan, Afghanistan, Manchuria, China, the Sundas, the Nicobars, the Andamans, and through SE Asia.

Habitat :

Dry evergreen forest, dipterocarp forest and secondary growth.

Habit :

Forages solitarily or in pairs. Preferring to perch motionless on a twig and sallying after a passing insect. Breeding time falls between March-June, when a female will deposit a clutch of 2-3 eggs.

Status :

Both an uncommon resident and migrant.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ : ลำตัวยาว 17 ซม. นกตัวผู้มีสีตัวส่วนใหญ่เป็นสีฟ้าสด ยกเว้นหย่อมสีดำเล็ก ๆ ที่ท้ายทอย และแถบสีดำใต้คอ ท้องสีขาว นกตัวเมียคล้ายนกตัวผู้ แต่สีซีดจางกว่าและไม่มีจุกสีดำที่ท้ายทอย และแถบสีดำที่คอ

เขตแพร่กระจาย : จากอินเดียมายังตอนใต้ของจีน ไหหลำ ไต้หวัน หมู่เกาะซุนดา ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่อยู่อาศัย : ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น ป่าไผ่

อุปนิสัย : หากินเดี่ยว ๆ ชอบหลบซ่อนตัวและหากินแมลงอยู่ในระดับกลางและระดับล่างของ ต้นไม้ที่มีใบร่มครึ้ม กระโดดหากินไปตามกิ่งไม้ ไม่ชอบบินไกล ๆ ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง

สถานภาพ : นกประจำถิ่น พบน้อย มีนกอพยพเข้ามาบ้าง

Characteristics : Size 17 cm. A male is mostly bright blue throughout the body, except a small patch of black feathers at its nape and a dark band under its throat; the belly is much paler, being whitish. A female is subdued in body coloration and lacking a black nape patch and a dark throat band.

Distribution : From India to southern China, Hainan, Taiwan, the Sundas, the Philippines, the Andamans, the Nicobars and SE Asia.

Habitat : Dry evergreen forest, dipterocarp forest, secondary growth and bamboo forest.

Habit : Seen quite often as a single foraging individual, that secretly hiding among thick foliage of the medium and low levels. Prefers to hop among branches than to fly for a long distance. Breeding between June-August; the usual clutch is 3-4 eggs.

Status :  Less frequently seen resident and migrant.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 16 ซม. หลังสีน้ำตาลอมเขียว หัวตาสีดำ คิ้วขาว ท้องสีขาวขุ่น นกตัวผู้มีคางและคอสีส้ม ซึ่งมีแถบเล็ก ๆ สีดำอยู่ตรงขอบด้านข้าง โคนปากมีแถบสีขาวขนาดใหญ่ นกตัวเมียต่างจากตัวผู้ ตรงที่บริเวณคางและคอเป็นสีขาวแทนสีส้ม

เขตแพร่กระจาย :

ตอนเหนือของทวีปเอเชีย แต่อพยพไปยังประเทศอินเดีย จีน ไหหลำ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่อาศัย : ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น

อุปนิสัย :

อพยพเข้ามาในหน้าหนาว ชอบหากินเดี่ยว ๆ อยู่ตามพื้นป่า หรือบนกิ่งไม้พุ่มไม้ เตี้ย ๆ กระดกหางและแพนหางเป็นครั้งคราว กินแมลงและหนอนเป็นอาหาร

สถานภาพ :

นกอพยพ พบน้อย

Characteristics :

Size 16 cm. A small insectivorous brownish bird with a greenish brown back, sullied white belly and a black and white facial pattern. A male bird has a conspicuous orange patch on its chin and throat, bordered on both sides with narrow dark lines; also, a large white band at the base of bill. A female differs in possessing white chin and throat, not so orange as that of a male.

Distribution :

Northern Asia, migrating southwards to India, China, Hainan, Taiwan, the Philippines and Southeast Asia.

Habitat :

Dry evergreen forest, dipterocarp forest and secondary growth.

Habit :

Found only in the winter time, when it is spotted as a single individual foraging on the forest floor or in low shrubbery. While perching, it occasionally cocks and fans its tail. Diet consists of insects and worms.

Status :

Less-frequently seen migratory bird.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ : ลำตัวยาว 11 ซม. ขนคลุมตัวด้านบนสีเขียวออกเหลือง คิ้วยาวใหญ่สีขาวครีม มีแถบสีขาวครีมที่โคนปีก 2 แถบ ด้านล่างของลำตัวสีขาวครีม

เขตแพร่กระจาย : จีน อินเดีย ไหหลำ ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่อยู่อาศัย : ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น ป่าละเมาะ

อุปนิสัย : หากินอยู่ตามเรือนยอด หรือระดับกลางของต้นไม้ บางครั้งลงมาหากินอยู่ตามพุ่มไม้เตี้ย ๆ ขณะหากิน จะขยับปีกอยู่ตลอดเวลา กินแมลงเล็ก ๆ แมลงปีกแข็งและแมงมุม ผสมพันธุ์ในเดือนมีนาคม วางไข่ครั้งละ 4-5 ฟอง ระยะฟักไข่ 12-13 วัน

สถานภาพ : นกอพยพ พบบ่อย

Characteristics : Size 11 cm. A plain-looking small arboreal bird with yellowish green back and paler creamish belly. Its distinctive characters are a long pale eyebrow and two pale wing bands.

Distribution : China, India, Hainan, Taiwan and SE Asia

Habitat : Dry evergreen forest, dipterocarp forest, secondary growth and scrub forest

Habit : Foraging mostly among tree canopy or descending to the middle level of tree crown. Sometimes observed at quite low levels in the undergrowth, where it will incessantly quiver its wings. Diet includes small insects, beetles and spiders. Breeds in March, with a usual clutch of 4-5 eggs. The incubation time lasts 12-13 days

Status : An abundant migratory bird.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 13 ซม. หน้าผากและกระหม่อมสีน้ำตาลแดง ขนด้านหลังสีเหลืองอมเขียว คิ้วยาวสีเหลือง คอและอกสีเหลือง มีลายขีดเล็ก ๆ สีดำ ท้องสีเหลืองอ่อนอมเขียว

เขตแพร่กระจาย :

อินเดีย จีน หมู่เกาะซุนดา พาลาวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่อยู่อาศัย :

ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่ารุ่น ป่าละเมาะ

อุปนิสัย :

ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ตามหย่อมหญ้า ซึ่งเป็นไม้พื้นล่างของป่า ตามปกติชอบอาศัยอยู่ใกล้ลำธาร กินแมลงเป็นอาหาร ผสมพันธุ์ประมาณเดือนกุมภาพันธ์- กรกฎาคม ทำรังอยู่ตามพุ่มไม้เตี้ย ๆ กอไผ่ วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง

สถานภาพ :

นกประจำถิ่น พบบ่อย

Characteristics :

Size 13 cm. This small insect-eating bird is readily recognized by having a reddish brown forehead and crown, yellowish green back, and a paler belly. A distinct yellow eyebrow can be noticed in some individuals. Its chin down to breast is yellow and streaked with black.

Distribution :

India, China, the Sundas, Palawan, and SE Asia.

Habitat :

Dry evergreen forest, dipterocarp forest, secondary growth and scrub forest

Habit :

Keeps in small flocks skulking through thick vegetation of the forest undergrowth; prefers those growing along the streams. Members of the flock will incessantly call to keep in contact with one another. Insects form a main diet of this bird. Breeding starts from February-July, when a globular nest is built among low shrubbery or in bamboo clump. A clutch of 2-4 eggs is laid in a season.

Status :

A common resident.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 33 ซม. ตัวสีน้ำตาลออกแดง ปลายปีกสีฟ้ามีแถบขวางเป็นริ้ว ๆ สีขาว สะโพกขาว กระหม่อมและหางสีดำ หน้าผาก แก้ม คาง และคอสีขาว

เขตแพร่กระจาย :

เทือกเขาหิมาลัย จีน ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่อยู่อาศัย :

ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง

อุปนิสัย :

ชอบอยู่เดี่ยว ๆ บางครั้งพบเป็นคู่ หากินอยู่ในระดับกลางของยอดไม้ กินแมลง ตัวหนอน และผลไม้ ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม วางไข่ 4-5 ฟอง

สถานภาพ :

นกประจำถิ่น พบน้อย

Characteristics :

Size 33 cm. A large brownish red bird with a conspicuous blue patch, barred with white, on outer flight feathers; its crown and tail are sooty black with clearly-seen pale forehead, cheeks, chin and neck. A white rump patch is also evident.

Distribution :

Europe, the Himalayas, China, Taiwan, and SE Asia.

Habitat :

Dipterocarp forest and dry evergreen forest.

Habit :

Seen normally singly, sometimes in loose pairs, foraging among foliage at the middle layer of the tree canopy. Its diet comprises insects, caterpillars and ripe fruits. Usually breeds between March-May, a usual clutch is 4-5 eggs.

Status :

An infrequently-seen resident.

เรียบเรียงโดย :สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ลักษณะ :

ลำตัวยาว 32 ซม. ตัวเพรียวมีขนสีดำมันตลอดทั้งตัว มีขนหงอนเป็นกระจุกสีดำ หางยาวปลายหางแฉกเล็กน้อย มีแกนขนหางเส้นเล็ก ๆ 2 เส้น ยื่นยาวออกไป ตรงปลายแกนหางมีขนเป็นแผงยื่นออกมาเพียงด้านเดียว นกวัยอ่อนมีหงอนสั้นและไม่มีแกนหางยื่นยาวออกมา

เขตแพร่กระจาย :

อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาะไหหลำ หมู่เกาะซุนดา ในประเทศไทย พบได้ทั่วประเทศ

ที่อยู่อาศัย :

ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ป่าไผ่ จากพื้นราบถึงระดับความสูง 1,700 เมตร

อุปนิสัย :

ชอบเกาะอยู่บนต้นไม้สูงเด่น เพื่อมองหาเหยื่อ บางครั้ง ลงมาหากินตามไม้พุ่ม กินแมลง และสัตว์ขนาดเล็ก ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง

สถานภาพ :

นกประจำถิ่น ที่พบได้บ่อย ที่สะแกราชพบมากในฤดูฝน

Characteristics :

Size 32 cm. Body slim covered with glossy black plumage; a distinctive tuft of erect feathers present at bill base; tail long, slightly forked apically, with a pair of long shafts with only one side of vane at the tip. Immature has short crest and lacking long shafts.

Distribution :

India, China, SE Asia, Hainan, the Greater Sundas. Found throughout Thailand.

Habitat :

Dipterocarp forest, dry evergreen forest, bamboo forest, from the lowland up to the elevation of 1,700 m.

Habit :

Usually observed perching at exposed spots to keep its eyes on passing preys. Sometimes descending to forage among the shrubbery for insects and small animals. The breeding time is from March-June; when it lays a clutch of 3-4 eggs

Status :

Ubiquitous resident. At Sakaerat this bird is remarkably common in the rainy season.