เวลาเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์มาแต่ครั้งโบราณกาล เวลาจะบ่งบอกหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิเช่น อายุ ช่วงแห่งการนอน ช่วงเวลาที่จะทำการเกษตร เก็บเกี่ยว หรือฤดูกาล เป็นต้น ถึงวันนี้ เวลามีส่วนสำคัญต่อครอบครัวและธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านธุรกิจ ความเที่ยงตรง แม่นยำ และถูกต้องของเวลา อาจกำหนดอนาคตของธุรกิจนั้น ๆ ด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดของเวลา ที่เรียกว่า วินาที เลยทีเดียว

     ความเที่ยงตรง แม่นยำและถูกต้องของเวลา จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์เราแสวงหา เพื่อให้เกิดความแน่นอนในการนัดหมาย พบปะหรือทำเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอีกหลาย ๆ ด้าน เช่น การทำอาหาร การเดินทาง การแพทย์ การผลิตในอุตสาหกรรม เป็นต้น วิวัฒนาการของการคำนวนด้านเวลา มีมานานหลายพันปี ตั้งแต่การคาดคะเนตำแหน่งของดวงอาทิตย์เพื่อคำนวนเวลาใน 1 วัน ต่อมา ก็ใช้ภาชนะเจาะรูเพื่อหาเวลาที่เป็นหน่วยที่เล็กลงมา พอถึงยุคที่วงการดาราศาสตร์รุ่งเรืองจึงอาศัยดวงดาวเป็นตัวบอกฤดูกาลที่จะมาถึง พัฒนาการด้านเวลายังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง มาเป็นนาฬิกาทราย นาฬิกาลูกตุ้ม (pendulum) นาฬิการะบบกลไกแรงเหวี่ยง (rotary) จนกระทั่ง มาถึงระบบนาฬิกาควอรตซ์ (Quartz) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากมีความแม่นยำสูงมากและมีขนาดเล็ก จนกระทั่งปัจจุบันก็มาถึงยุคของนาฬิกาอะตอม (atomic clock)

     นาฬิกาอะตอม ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการสร้างมาตรฐานการเทียบเวลาทั่วโลก โดยอาศัยหลักการแกว่งตัวของอะตอมธาตุที่สม่ำเสมอ คล้ายการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกาในสมัยก่อน แต่ค่าความคลาดเคลื่อน (slip time) ของนาฬิกาอะตอมมีน้อยมาก ประมาณกันว่า ต้องใช้เวลา 30 ล้านปีขึ้นไป จึงจะคลาดเคลื่อน 1 วินาที นาฬิกาอะตอมจึงตอบสนองความต้องการความเที่ยงตรง แม่นยำและถูกต้องในกิจกรรมต่าง ๆ ภาคธุรกิจ/องค์กร จึงเล็งเห็นความสำคัญในด้านนี้และพยายามปรับใช้เพื่อให้องค์กรของตน เดินหน้าไปพร้อมกับเวลาที่ถูกต้อง

     จะเห็นได้ว่า วิวัฒนาการของนาฬิกาอะตอม ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและทวีคูณความในแม่นยำสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ธาตุที่ถูกนำมาสร้างเป็นนาฬิกาอะตอมที่เป็นที่นิยมได้แก่ ซีเซียม (cesium, Cs, เลขอะตอม 55) ไอโซทอป 133 หรือ Cs-133 และที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและอาจมาแทนที่ Cs-133 ก็คือ สตรอนเทียม (strontium, Sr, เลขอะตอม 38) ซึ่งนักฟิสิกส์แห่งห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติหรือ NPL ของอังกฤษได้สร้างขึ้น จะ slip time อยู่ที่  200 ล้านปี ต่อความผิดพลาด 1 วินาที และอาจถูกนำไปใช้แทนที่นาฬิกาอะตอมเดิมที่ The US National Institute of Standard and Technology (NIST) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานต่าง ๆ รวมทั้งมาตรฐานเวลาของโลกด้วย ปัจจุบัน ทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานเวลากลางและยังอ้างอิงเวลามาตราฐานโลกกับสถาบัน NIST นี้เป็นหลัก

    หากมองกลับมาที่การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเรา คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานและแม้กระทั่งการหาความบันเทิงทางอินเตอร์เน็ตก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุผลที่เป็นช่องทางหนึ่งที่ง่ายและสะดวก แต่ในโลกของอินเตอร์เน็ตเองก็มีภัยร้ายที่แอบแฝง รอคอยที่จะคุกคามชีวิตของเราผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา หน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ดูแลทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคมอย่างกระทรวง ICT จึงได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งส่วนหนึ่งได้กำหนดให้ระบบเครือข่ายต้องจัดเก็บบันทึกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการตั้งค่าเวลากับ time server ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อให้ค่าเวลาและบันทึกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานจับกุมผู้กระทำผิดทางด้านระบบคอมพิวเตอร์ การเทียบเวลาในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น เราสามารถทำได้ด้วยตนเองผ่าน NTP Protocol (UDP/123) ซึ่ง protocol นี้ จะทำหน้าที่ในการเปรียบเทียบเวลาและปรับปรุงให้เทียบเท่ากัน (synchronization) NTP มีกลไกที่ซับซ้อนและให้ความเที่ยงตรงสูงมาก โดยความเที่ยงตรงนี้ จะขึ้นอยู่กับขั้นของลำดับการ synchronize หรือเรียกว่า stratum

     ผู้ที่สนใจศึกษาวิธีการสร้าง NTP Server ด้วยระบบปฏิบัติการ Linux สามารถเข้าไปที่ www.ntp.org ได้ สำหรับผู้ใช้ทั่วไป หากต้องการเปรียบเทียบและปรับปรุงค่าเวลาให้เทียบเท่ากับเวลาของ NTP Server ดังกล่าว ก็สามารถทำได้

[คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม]

ที่มา

เทคโนโลยีทางด้านการจัดเก็บข้อมูลแบบส่วนบุคคล คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงอุปกรณ์จัดเก็บมูลที่เรียกกันว่า USB Mass Storage Device หรือที่แปลตรงตัวก็คือ อุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากผ่านทางช่อง USB ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือแล็บทอป ชื่อที่ใช้เรียก อาจแตกต่างกันไปตามผู้ผลิตที่ต้องการสร้างให้ชื่อเป็นเหมือนตัวแทนของอุปกรณ์ประเภทนี้ เช่น Thumb Drive, Handy Drive หรือ USB Flash Drive เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้ ได้ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมากและหากเทียบกับอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเช่นเดียวกันอย่างแผ่น Diskette ที่เคยเป็นที่นิยมและเป็นทางเลือกเดียวในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อพกพาในอดีต ก็จะพบว่า USB Storage Disk จะให้ความจุข้อมูลและความเร็วในการคัดลอกไฟล์งานต่าง ๆ ได้เร็วกว่าหลายเท่าตัวทีเดียว อุปกรณ์ที่อยู่ในข่ายนี้มีด้วยกันหลายชนิด เช่น Harddisk ภายนอกที่ต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ผ่านช่อง USB หรืออุปกรณ์ที่เรียกว่า USB Flash Disk ซึ่งทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลได้เช่นกัน แต่จะมีขนาดเล็กกว่าและความจุจะน้อยกว่า เป็นต้น

เมื่อมองดูความสะดวกสบายที่ได้รับแล้ว บวกกับราคาที่ไม่สูงนัก กลุ่มคนทำงานหรือนักศึกษาและนักเรียนตามโรงเรียน จึงนิยมหามาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย แต่สิ่งที่ตามมาจากความสะดวกสบายดังกล่าว ก็คือ เรื่องของการติดไวรัสคอมพิวเตอร์จากแหล่งที่มาต่าง ๆ ที่ตัว USB Flash Disk ได้ต่อเชื่อม และจากความซับซ้อนของตัวไวรัสใหม่ ๆ ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ทำให้เราไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ามีการติดไวรัสเข้ามาใน USB Flash Drive ของเราแล้ว และด้วยความไม่รู้นี่เอง ทำให้เราอาจเป็นได้ทั้งเหยื่อของไวรัสและเป็นผู้แพร่กระจายไวรัสโดยรู้เท่าไม่ถึงการถึงแม้ว่าในปัจจุบัน โปรแกรมสำหรับตรวจจับไวรัสจะมีหลายรายที่ออกผลิตภัณฑ์ที่สามารถตรวจจับไวรัสที่ติดมากับ USB Flash Disk ของเราได้ แต่เราจะไว้ใจระบบป้องกันไวรัสที่เรามีอยู่ได้มากน้อยซักแค่ไหน และเราจะฝากความหวังเรื่องความปลอดภัยเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ฉะนั้น เราจึงควรเรียนรู้และจำจดวิธีการหลีกเลี่ยงไวรัสที่ติดมากับอุปกรณ์ USB Flash Disk ไว้ เพื่อป้องกันภัยก่อนที่ความเสียหายจะมาถึงเรา

[คลิกที่นี่เพื่ออ่านวิธี

การปิดการทำงานอัตโนมัติของอุปกรณ์ USB Flash Disk

การตรวจจับไวรัสด้วยโปรแกรมป้องกัน autorun.inf

การตรวจจับไวรัสที่แฝงมากับอุปกรณ์ USB Flash Disk ด้วยโปรแกรมตรวจจับไวรัส

วิธีการเปิด flash drive ด้วย explorer ให้ปลอดภัย]

ที่มา
• “How to disable the Autorun functionality in Windows”, Microsoft, http://support.microsoft.com/kb/967715

แรกเริ่มเดิมที บล็อก (Blog) หรือชื่อเต็ม ๆ คือ เว็บล็อก (Weblog) หมายถึง บันทึกเรื่องราวของบุคคลนั้น ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่มีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ และมุ่งหวังที่จะนำเสนอเนื้อหาทั้งที่เป็นความคิดเห็น ความชอบ ความสนใจ  หัวข้อการอภิปราย งานเขียน หรือแม้กระทั่งแนวบทเพลงที่ผู้เขียนให้ความสนใจ ต่อสาธารณชนทั่วไป ผ่านทางเทคโนโลยีที่เรียกว่า เว็บไซต์ (Website)

ปัจจุบัน บล็อก เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) ประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับ การจัดการความรู้ (Knowlede Management : KM) ซึ่งรวมความถึงการจัดการสารสนเทศ อันได้แก่ ข้อมูล ข่าวสาร องค์ความรู้ แนวคิดทางปัญญา

[คลิกที่นี่เพื่อเปิดดูวิธีการสร้างบล็อกด้วย wordpress.com ]

ที่มา :

จากประสบการณ์การเขียนโปรแกรมในอดีต รูปแบบการทำงานส่วนใหญ่ที่ข้าพเจ้าพบบ่อยและพบกับตัวเองมากที่สุด คือ นักวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) มักเป็นคนคนเดียวกับนักพัฒนาระบบหรือโปรแกรมเมอร์ (Programmer) ทำให้การเริ่มพัฒนาระบบมักจะเริ่มด้วยการกระโดดไปนั่งเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทันที บางครั้งก่อให้เกิดปัญหาภายหลัง เช่น ไม่สามารถพัฒนาต่อเติมความสามารถให้กับระบบภายหลังได้ง่ายดายนัก ซึ่งปัญหานี้เกิดได้ทั้งกับผู้พัฒนาเองหรือผู้ที่มารับช่วงงานพัฒนาต่อ นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุของการใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาและบำรุงรักษาในระยะยาว  การพัฒนาระบบที่จะทำให้ได้ระบบที่มีคุณภาพและสมบูรณ์ที่สุดควรจะเริ่มต้นจากการวางแผน การทำความเข้าใจกับผู้ใช้ระบบ การวิเคราะห์ออกแบบ จนถึงกระบวนการอิมพลีเมนต์ระบบจริง

การพัฒนาซอฟต์แวร์เชิงธุรกิจ โปรแกรมเมอร์จะทำงานประสานกับฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบ และฝ่ายทดสอบระบบก่อนส่งมอบให้ผู้ใช้งานจริง ปัจจุบันการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยหลักการเชิงวัตถุ (Object Orientation) มีหลักการสำคัญ คือ จับต้องได้ (Object), มีการจัดกลุ่มความคิดที่คล้ายกันเป็นหน่วยเดียวกันเพื่ออ้างถึงด้วยชื่อเดียวกัน เข้าใจง่ายๆ ก็คือการรวมโอเปอร์เรชั่นและแอตทริบิวต์เข้าเป็นหน่วยเดียวกัน (Encapsulation), เป็นแม่พิมพ์หรือคลาส (Class) , อินสแทนซ์ (Instance), แอตทริบิวต์ (Attribute), โอเปอร์เรชั่น (Operation) หรือเมธอด (Method), ลายเซ็น (Signature), ข้อความ (Message), อินเทอร์เฟซ (Interface), การสืบทอดคุณสมบัติ (Inheritance), ความสัมพันธ์ระหว่างคลาสหรือออบเจ็กต์ (Relationship), การเปลี่ยนรูป (Polymorphism) หลักการเชิงวัตถุนี้เป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายและมีโปรแกรมภาษาที่สนับสนุนการทำงานด้วยหลักการนี้หลายภาษา เช่น Java, C++, Delphi, Visual Basic เป็นต้น แต่ก็ยังต้องอาศัยการวิเคราะห์และออกแบบด้วยจึงจะได้ซอฟต์แวร์ที่มีความสมบูร์ในทุกๆ ด้าน

UML หรือชื่อเต็ม Unified Modeling Language เริ่มต้นในปี 1994 ในนามของ Unified Method จนเกิดโมเดลสำเร็จและเป็นที่แพร่หลายในปี 1995 โดย Grady Booch, James Rumbaugh และ Ivar Jacobson และถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จากรุ่น 1.1 ในปี 1997 จนปัจจุบันอยู่ที่รุ่น 2.0

ข้อดีของ UML

  • เป็นภาษารูปภาพมาตรฐาน (Standard Visual Modeling Language) หรือภาษาสากล สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนโมเดลได้อย่างสื่อความหมาย
  • นำเสนอและสนับสนุนหลักการเชิงวัตถุได้ครบถ้วนชัดเจน ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถเข้าใจปัญหาและหาวิธีแก้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น
  • ไม่ผูกติดกับภาษาโปรแกรมภาษาใดๆ
  • ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
  • ลดภาระ เวลา และค่าใช้จ่ายการพัฒนาระบบเนื่องจากสามารถถูกแปลงเป็นภาษาที่ใช้ในการสร้างระบบขึ้นจริงได้อย่างอัติโนมัติ
  • สนับสนุนการขยายปรับปรุงระบบ การแก้ไขหรือเพิ่มเติมสามารถทำกับโมเดลก่อนลงมือแก้ไขจริง
  • สามารถบันทึกความคิดของนักพัฒนาหรือโปรแกรมเมอร์ในลักษณะของเอกสาร

องค์ประกอบของ UML

1. สัญลักษณ์ทั่วไป (Things) คือสัญลักษณ์พื้นฐานที่ใช้ในการสร้างไดอะแกรมต่างๆ โดยแบ่งเป็นหมวดย่อยๆ ดังนี

  • หมวดโครงสร้าง (Structural) ได้แก่ ยูสเคส คลาส อินเทอร์เฟซ คอมโพเนนต์ คอลแลบอเรชั่น และโหนด
  • หมวดพฤติกรรม (Behavioral) หรือส่วนที่เป็นไดนามิกของยูเอ็มแอล ได้แก่ อินเตอร์แอ็กชั่น สเตตแมชชี
  • หมวดจัดกลุ่ม (Grouping) ใช้ในการรวบรวมองค์ประกอบต่างๆ ในโมเดลให้เหมาะสม ได้แก่ แพ็กเกจ
  • หมวดคำอธิบายประกอบ (Annotational) ได้แก่ โน้ต

2. ความสัมพันธ์ (Relationships) มี 3 ชนิด

  • ความสัมพันธ์แบบพึ่งพา (Dependency Relationship)
  • ความสัมพันธ์แบบเกี่ยวพันธ์ (Association Relationship)
  • ความสัมพันธ์แบบเจเนอรัลไลเซชั่น (Generalization Relationship) ได้แก่ ความสัมพันธ์แบบสืบทอดคุณสมบัติ (Inheritance)

3. ไดอะแกรมต่างๆ (Diagram) ประกอบด้วย 8 ไดอะแกรม

  • ยูสเคสไดอะแกรม (Use Case Diagram) ใช้ในการโมเดลฟังก์ชันการทำงานของระบบ
  • คลาสไดอะแกรม (Class Diagram) ใช้ในการโมเดลคลาสต่างๆ ที่จำเป็นในระบบ
  • แอ็กทิวิตี้ไดอะแกรม (Activity Diagram) ใช้หลักการเดียวกับโฟลว์ชาร์ต (Flowchart)
  • สเตตชาร์ตไดอะแกรม (Statechart Diagram) ใช้สำหรับแสดงสถานะของออบเจ็กต์ระหว่างทำงาน
  • คอลแลบอเรชั่นไดอะแกรม (Collaboration Diagram) ใช้แสดงการทำงานร่วมกันของออบเจ็กต์ในระบบ
  • ซีเควนซ์ไดอะแกรม (Sequence Diagram) ใช้ในการโมเดลกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับออบเจ็กต์ในระบบ
  • คอมโพเนนต์ไดอะแกรม (Component Diagram) ใช้สร้างโมเดลของคอมโพเนนต์ในระบบ
  • ดีพลอยเมนต์ไดอะแกรม (Deployment Diagram) ใช้แสดงการติดตั้งใช้งานส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ

ปัจจุบันมีเครื่องมือประเภท Visual Modeling Tool ที่ใช้ในการสร้างยูเอ็มแอลไดอะแกรมมากมาย เช่น Rational Rose, Together เป็นต้น

อ้างอิงข้อมูลจาก : หนังสือ “UML ภาษามาตรฐานเพื่อผู้พัฒนาซอฟต์แวร์”

โปรแกรม PDF Creator เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างไฟล์เอกสาร PDF (Portable Document Format) ซึ่งจัดเป็นพวกโอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ (Open Source Software) นั่นคือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการนำมาใช้ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://sourceforge.net/projects/pdfcreator/ จัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างไฟล์ PDF

[คลิกที่นี่เพื่อเปิดดูวิธีการใช้งานคู่มือการใช้ PDF Creator]

เทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน เติบโตรวดเร็วและมีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง จนอาจจะกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการดำรงค์ชีวิตของหลายคน ด้วยเหตุนี้แนวคิดของระบบใหม่ๆ จึงถูกดึงเอาความสามารถของระบบเครือข่ายที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเข้ามาเป็นเครื่องมือบริหารจัดการระบบ
การทำการตลาดก็เช่นกัน มีการสร้างกลยุทธิ์ในการทำ Internet Marketing โดยดึงเอาศักยภาพของอินเตอร์เน็ต และเครื่องมือการตลาดออนไลน์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีความเหมาะสมกับประเภทของสินค้าและบริการ เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จของธุรกิจนั้น

การใช้ SOE หรือ Search engine optimization ซึ่งเป็นการโฆษณาหรือการทำ Internet Marketing ผ่านเซิร์สเอ็นจิ้นด้วยเทคนิคของการปรับแต่งทั้งทางด้าน on-page และ off-page เป็นหนึ่งทางเลือกที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย

On-Pages Factor คือ สิ่งที่ Search engine สามารถมองเห็นจากเว็บไซต์ เช่น เนื้อหา Title Link  เป็นต้น เหมือนกับที่มนุษย์เราสามารถที่มองเห็นได้จากโปรแกรม Text Browser ซึ่งในการทำ On-Page Factor ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ

  1. ที่ Title Tag ควรใส่คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในหน้าเอกสารนั้น ๆ
  2. ควรวางขอบเขตของเนื้อหาในเอกสารแต่ละหน้าให้เป็นข้อมูลเฉพาะของเรื่องนั้นๆ ไม่ปะปนกัน
  3. การสร้าง Links ควรเชื่อมโยงไปที่หน้าเอกสาร ที่เกี่ยวกับข้อความที่ปรากฎใน Links เช่น การทำ HyperLinks ที่ข้อความว่า “ติดต่อ” ก็ควร Links ไปในหน้าที่มีข้อมูลการติดต่อไม่ควร Link ไปในหน้าที่มีเนื้อหาอื่น ๆ เช่น เนื้อเพลง หรือ กลอน
  4. พยายามจัดกลุ่มของเนื้อหา และการเชื่อมโยงต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย
  5. พยายามตั้งชื่อไฟล์ให้สอดคล้องกับหัวข้อของเนื้อหาภายในหน้าเอกสาร

Off-Pages Factor คือ สิ่งต่าง ๆ ที่ Search engine ไปพบเจอมา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎอยู่ในหน้าเอกสารเว็บไซต์

  • การทำ Sitemap
  • การเพิ่ม Link Popularity
  • การเพิ่มรายชื่อเว็บไซต์ใน Directory Listing
  • การทำ Social Networking

SOE ที่ดียังสามารถช่วยเรื่องการ PR และลดค่าใชจ่ายบางส่วนในการใชสื่อโฆษณารูปแบบเดิมได้

นอกจากนี้ยังมี Blog ซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนไม่น้อยสร้าง Blog ส่วนตัวขึ้นมา และเผยแพร่ข้อมูล
ต่างๆที่ตนสนใจเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ ระหว่างกลุ่มสังคมเดียวกันในโลกอินเตอร์เน็ต
หากนำข้อมูลสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ บรรจุลงใน Blog แล้ว ผู้ที่สนใจในสินค้าชนิดเดียวกันก็จะให้ข้อมูลกัน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนและโฆษณาสิ้นค้าได้อีกทางหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องมือต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตในปัจจบัน ยังมีทั้ง auto-responder email  EZine หรือแมกซีนออนไลน์ แม้แต่การสนทนาออนไลน์
ก็ถือเป็นการสร้างการตลาดบนอิเตอร์เน็ตได้เช่นกัน

ข้อมูลด้านเทคนิคเพิ่มเติมจาก :

Meta Tag Optimization (การเขียน Meta Element ให้เหมาะกับการทำ SEO)

ที่มา :

http://www.slclickbiz.com/

On-Page Factor และ Off-Page Factor

  

ล่วงเข้าหน้าฝน หันหน้าเข้าปรึกษาอาจารย์กูเกิ้ล (Google) เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง จะได้ออกนอกกะลาใบใหญ่สักที หลังจากเก็บความสงสัยไว้นานมากแล้ว ในประเด็นหนึ่งซึ่งสะดุดหู เมื่อครั้งได้ฟังท่านวิทยากรบรรยาย คำ ๆ นั้นก็คือ  “Cloud Computing (คลาวด์คอมพิวติ้ง) หรือ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ

Cloud Computing กับคำนิยาม

คำว่า Cloud Computing มีผู้ได้ให้คำนิยามไว้หลากหลาย เช่น

”การประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบ Cloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ ระบบ จัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยระบบสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนทรัพยากรให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องทราบการทำงานเบื้องหลังว่าเป็นอย่างไร” โดย JavaBoom Collection

หรือ คำนิยามจากวิกิพีเดีย ที่ว่า “Cloud Computing อ้างถึงทรัพยากรสำหรับการคำนวณผลที่ถูกเข้าถึง ซึ่งโดยทั่วไปถูกเป็นเจ้าของและถูกดำเนินการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 (third-party provider) ซึ่งได้รวบรวมพื้นฐานที่จำเป็นทั่วไปเข้าไว้ด้วยกันในตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์คอมพิวเตอร์ (Data Center)  โดยผู้บริโภคบริการ cloud computing เสียค่าใช้จ่ายเพื่อความสามารถการคำนวณหรือการประมวลผลตามที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจในเทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งซ่อนอยู่ อันที่ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องแม่ข่าย (server)  อย่างไรก็ตามมีตัวเลือกสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องรู้และต้องคำนึงถึงในเทคโนโลยีสำคัญซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนของการบริการแพล็ตฟอร์ม (platform services)

การที่มีบางท่านให้คำนิยาม Cloud Computing ว่า “การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ”  นั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะ Cloud Computing เป็นการทำงานโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเราเพียงแต่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องสนใจว่าทรัพยากรที่ใช้อยู่นั้นมาจากต่างที่ต่างระบบเครือข่าย ทั้งที่อยู่ใกล้ ๆ หรือไกลออกไป เป็นการใช้ทรัพยากรภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงใช้สัญลักษณ์รูปก้อนเมฆแทนที่ตั้งของทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่มีไว้ให้บริการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่สามแทน

มาถึงตรงนี้คงพอจะเห็นภาพของ Cloud Computing บ้างแล้ว จึงขอกล่าวถึงคำที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก เช่น

  • Cloud Provider สำหรับคำนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก เพราะหมายถึงผู้ให้บริการระบบ Cloud นั่นเอง 
  • Cloud Storage คือสถานที่เก็บทรัพยากรสำหรับระบบ Cloud

ความแตกต่างระหว่าง Cloud Computing กับ Hosting ประเภทต่างๆ เช่น  Application Hosting หรือพื้นที่ให้บริการโปรแกรมประยุกต์, Web Hosting หรือพื้นที่ให้บริการเว็บไซต์, File Hosting หรือพื้นที่ให้บริการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลนั้น อยู่ตรงที่ Cloud Storage มีอิสระในการปรับขีดความสามารถ สมรรถนะ และขนาดทรัพยากรได้ตามภาระงาน เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในการขยายทรัพยากรสำหรับผู้ให้บริการ เพราะมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่เป็นผู้จัดหาและจัดสรรทรัพยากรอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจำนวนโปรแกรมจะใช้ทรัพยากรในการประมวลผลมากขึ้นเท่าไร หรือต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ ผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ Cloud ไม่จำเป็นต้องกังวลในข้อจำกัดนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นจะขึ้นกับการจ่ายตามที่ใช้จริง (pay-per-use) และอาจมีเรื่องอื่นๆ อีกขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละเจ้าที่ให้บริการ โดยปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่มากมาย เช่น Google Apps, Google App Engine, IBM Blue Cloud, Amazon EC2 เป็นต้น

เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของ Cloud Computing

 

ข้อดี

ข้อเสีย

1.ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งานจริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น

2.ลดความเสี่ยงจากการเริ่มต้นหรือทดลองโครงการ

3.มีความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดระบบตามความต้องการ

4.ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองข้อมูลที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง

5.มีผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบและพร้อมให้บริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง

1.เนื่องจากเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการ Host ที่ Local หรืออยู่ภายในองค์การของเราเอง

2.ยังไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล

3.ความไม่มีมาตรฐานของแพลทฟอร์ม ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ

Cloud Computing กับความปลอดภัย (Security)

ในประเด็นเรื่องความปลอดภัยนั้น อันที่จริงในเชิงเทคนิคลูกค้าหรือผู้ใช้บริการสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง เช่น การทำ Virtualization โดยลูกค้ามีสิทธิ์เต็มที่ในลักษณะของผู้ดูแลระบบเพื่อการกำหนดความปลอดภัยให้กับเครื่อง หรือ Virtual Machine ของตน, การใช้ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีผู้ดูแลระบบพยายามดูข้อมูลของลูกค้า และการ Monitoring ทั้งห้อง data center จนถึงขั้น capture หน้าจอ admin

แต่ทั้งนี้ยังคงมีจุดอ่อนสำคัญที่ผู้ใช้บริการควรตระหนักถึง นั่นคือ เมื่อเป็นการจ้างให้บุคคลภายนอกเข้ามาดูแลระบบของเรา เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนนั้นจะไม่แอบเก็บข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเปิดเผยข้อมูลแก่บุคคลอื่น ยิ่งถ้าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ข้อมูลยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ หรือถ้าเป็นองค์กรทางด้านการเงิน ถึงแม้เราจะมีระบบตรวจสอบ หรือ audit เพื่อติดตามว่าใครทำอะไร ตรงไหน แต่เมื่อเกิดเหตุและจับได้ก็คงทำได้แค่ลงโทษตามกฎบริษัทหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นการจัดจ้างบุคคลภายนอก (outsourcing) หรือ ใช้บุคลากรภายใน เหตุการณ์เช่นนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราต่างต้องอาศัยความเชื่อใจและใช้จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ สิ่งที่ผู้ให้บริการ Cloud หรือ Cloud Provider ทำให้ได้ ก็คือ การรับประกันสัญญา หรือกำหนดมาตรฐานการดูแลระบบ และยึดมั่นในมาตรฐานนั้น นอกจากนี้ควรมีการควบคุมการเปิดให้บริการของ Cloud Provider นั่นคือ มีการกำหนดว่าบริษัทที่จะเป็น Cloud Provider ได้ อาจต้องได้รับการรับรอง หรือมี certification อะไรรับรองบ้าง ต้องมี ISO ควบคุม และต้องมีเทคโนโลยีความปลอดภัยอะไรเสนอต่อลูกค้า (Cloud Consumer) บ้าง เป็นต้น

   

อ้างอิงข้อมูลจาก :

  • JavaBoom Collection 
  • Wikipedia
  • I-DIN NINTH CO.,LTD.
  • Whatis.com

และแล้วยุคของจอภาพ LED ก็มาถึง  …หลังจากที่ผมเคยนำเสนอเทคโนโลยีของจอภาพแบบ OLED นี้ลงวารสาร ว&ท. ของ วว. ไปเมื่อปี 2550 …วันนี้คนไทยได้รู้จักกับจอภาพเทคโนโลยี LED จริงจังแล้วในคอนซูมเมอร์โพรดักซ์ อย่าง โทรทัศน์สี และโทรศัพท์มือถือ พีดีเอ  ดังนั้นเราจะมาทบทวนทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้กันอีกครั้งนึงให้เข้ากับเทรนด์ในเวลานี้…

ขณะที่จอภาพแบบ LCD กำลังได้รับความนิยม เป็นสินค้าที่ดูทันสมัยไฮเทคในบ้านเราเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์ ด้วยคุณสมบัติที่ดีกว่าจออ้วน CRT ที่อายุกว่าร้อยปีแล้ว ไปทุกด้าน ไหนจะทั้งบางกว่า เบากว่า ถนอมสายตา ประหยัดพลังงานและพื้นที่การจัดวาง อะไรก็ดีไปหมด (เว้นเพียงค่าตัว) แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เพราะเทคโนโลยีการแสดงผลที่ทันสมัยเข้ากับยุคนาโนในวันนี้จริงๆ นั้น ยิ่งมีคุณสมบัติล้ำกว่าที่กล่าวมาข้างต้นอีกมาก มากพอที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการจอทื่อๆเหลี่ยมๆ กันเลยทีเดียว.วันนี้เรากำลังพูดถึงก้าวที่กำลังมาของ OLED

ทำความรู้จักกับ OLED

OLED หรือ Organic Light-Emitting Diodes คือ อุปกรณ์ที่ทำด้วยฟิล์มของวัสดุอินทรีย์กึ่งตัวนำ ที่สามารถเปล่งแสงได้เองเมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการ Electroluminescence (อิเล็กโทรลูมิเนสเซนซ์) เมื่อนำมาใช้เป็นจอภาพจึงไม่จำเป็นต้องมี Backlight ฉายแสงด้านหลังไปทั่วทั้งจอภาพ อย่างที่ทำกันในจอ LCD หรือ Plasma ซึ่งยังทำให้จุดสีดำใดๆในภาพ ก็จะได้สีที่ดำสนิทมืดมิดจริงๆ เพราะไม่มีแสงสว่างออกมาเลยนั่นเอง ด้วยคุณสมบัติเด่นนี้เองจึงทำให้จอแบบ OLED สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้า และให้ความบางที่มากกว่าจอ LCD ได้.

โครงสร้างและหลักการทำงาน

ขอบคุณภาพจาก Howstuffworks
ขอขอบคุณภาพจาก Howstuffworks
  • 1. กระแสไฟฟ้าจะไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะให้กระแสelectrons แก่ชั้น Emissive layer ขณะเดียวกัน
  • 2. Anode จะดึง electrons ในชั้น Conductive layer ให้เคลื่อนที่เข้ามา เกิดเป็น electron holes ขึ้น
  • 3. ระหว่างชั้น Emissive และ Conductive layer จะเกิดปฏิกิริยา electron (-) เข้าจับคู่กับ hole (+) ขึ้น ซึ่งกระบวนนี้เอง ที่จะเกิดการคายพลังงานส่วนเกินออกมา นั่นก็คือแสงสว่างที่เราต้องการ

สำหรับการให้สีแก่แสงนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลสารอินทรีย์ในชั้น Emissive layer ซึ่งในการผลิตจอ Full-color OLEDs จะใช้สารอินทรีย์ 3 ชนิด เพื่อให้ได้แม่สีของแสงคือน้ำเงิน, แดง และเขียว

ส่วนความเข้มและความสว่างของแสงที่ได้ จะขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าที่ให้เข้าไป ให้มากแสงก็จะสว่างมาก ซึ่งโดยปกติจะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์

และด้วยความที่ทำจากฟิล์มสารอินทรีย์ที่บางระดับนาโนเมตรนี้เอง เราจึงสามารถประกอบอุปกรณ์ OLED บนวัสดุที่พับงอได้ เช่น พลาสติกใส เกิดเป็นจอภาพแบบยืดหยุ่น (Flexible Display) ได้ขึ้นมา ซึ่งทำให้ในอนาคตเราอาจได้เห็นจอภาพแบบนี้ อยู่บนเสื้อผ้าของเราก็เป็นได้

อ่านรายละเอียดต่อ… คลิก Read more »

ในปัจจุบัน เว็บไซต์ (Website) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการประชาสัมพันธ์ และ การตลาด เนื่องจากระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ก่อให้เกิดสภาพของโลกไร้พรมแดน ซึ่งส่งผลให้เกิดช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งที่อยู่ใกล้ อยู่ต่างพื้นที่ จนถึง อยู่ห่างจากกันคนละซีกโลก แต่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จจากการใช้ เว็บไซต์ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกราย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และการออกแบบหน้าตาให้เว็บไซต์ดูดี น่าสนใจ และมีชีวิตอยู่เสมอ โดยผลจากการวิจัยภายใต้โครงการ “The Eyetrack III” ซึ่งศึกษากลยุทธ์ในการออกแบบเว็บไซต์ให้ดึงดูดความสนใจ ของหน่วยงาน 3 สถาบัน ซึ่งได้แก่ The Poynter Institute, The Estlow Center for Journalism & New Media และ Eyetools นั้น พบว่า การที่จะทำให้ เว็บไซต์ มีความเตะตาต้องใจแก่ผู้พบเห็นนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงกฎ 23 ข้อต่อไปนี้

1. ตัวอักษร สามารถดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่า รูปภาพ หรือ ภาพกราฟฟิค หรือ ภาพลายเส้น
2. จุดแรกที่สายตามอง คือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บไซต์
3. คนจะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ จากนั้นจึงจะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ
4. คนส่วนใหญ่ไม่สนใจมอง แบนเนอร์ (Banner) หรือ ป้ายโฆษณา ที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์ (Webpage)
5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากคนดู
6. การแสดงข้อมูลที่เป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตาและความสนใจมากกว่าการเขียนเป็นตัวอักษร
7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรขนาดเล็กจะทำให้คนสนใจอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจจนทำให้คนมองและสังเกตเห็นเป็นอันดับแรก
8. คนส่วนใหญ่อ่านข้อความพาดหัวรอง ในกรณีที่พบว่าบทความหรือข้อมูลข่าวสารนั้น ๆ น่าสนใจจริง ๆ หลังจากได้อ่านข้อความพาดหัวหลัก ยกตัวอย่าง หน้าของหนังสือพิมพ์ ปกติเราจะมองพาดหัวข่าวที่อยู่ในหน้าแรก หากพบว่าข่าวไหนน่าสนใจ เราก็จะตามอ่านพาดหัวรอง และตามไปหน้าต่อไป
9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บไซต์แบบผ่าน ๆ
10. ประโยค หรือ ย่อหน้าสั้น ๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า
11. การออกแบบโครงหน้าการแสดงผลของเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว
12. แบนเนอร์ หรือ ป้ายโฆษณา ที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด
13. การวางโฆษณาใกล้กับส่วนของเนื้อหาดีที่สุด เพราะจะได้รับความสนใจจากผู้อ่านค่อนข้างมาก
14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบรูปภาพหรือภาพกราฟฟิค
15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก
16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริง ๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่า ภาพประเภทดีไซน์จัด ๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือ ภาพนายแบบ-นางแบบ
17. หน้าเว็บไซต์ เปรียบได้กับหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้นการพาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด
18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่าง ๆ ในเว็บไซต์
19. ถ้ามีบทความยาว ๆ ในเว็บไซต์ หรือ บล็อก (Blog) การแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น
20. คนอ่านมักจะไม่อ่านบทความที่มีเนื้อหาติดกันยาว ๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อย ๆ
21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือ ตัวอักษรสีต่าง ๆ แต่ ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน
22. เว้นพื้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่จำเป็นต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกพื้นที่ของหน้าเว็บไซต์
23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ง่ายสำหรับการใช้ที่สุดเมื่อผู้อ่านต้องการใช้ตัวช่วยเหลือ

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ และ http://www.mcot.net