“ในหลวง”  ทรงรับการทูลเกล้าฯ  ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง  คุ้มครอง  30 ประเทศในยุโรป   มีพระราชดำรัสระยะนี้บ้านเมืองกำลังล่มจม   ไม่รู้ไปทางไหน   เพราะต่างคนต่างทำ   ต่างแย่งกัน   ขอให้ผู้มีความรู้ร่วมมือกันพาบ้านเมืองให้รอด  ทำให้สำเร็จ

     เมื่อเวลา  17.30  น.  วันที่  21  สิงหาคม   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เสด็จออก  ณ  พระตำหนักเปี่ยมสุข  วังไกลกังวล   อ.หัวหิน  จ.ประจวบคีรีขันธ์   พระราชทานพระบรมราชวโรกาส   ให้นายอำพล   เสนาณรงค์   องคมนตรี  ในฐานะผู้แทนพระองค์ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวง  นำนายอานนท์   บุณยะรัตเวช   เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ  (วช.)  และคณะ   เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิบัตรฝนหลวง   ซึ่งออกโดยสำนักสิทธิบัตรของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป  จำนวน  10  ประเทศ  กับสิทธิบัตรฝนหลวง   ซึ่งออกโดยสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง   และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายจดหมายเหตุสิทธิบัตรฝนหลวง   ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจัดทำขึ้น   โดยรวบรวมการดำเนินการจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวงระหว่างพุทธศักราช  2545-2550  พร้อมทั้งขอพระราชทานพระราชดำริ  เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินสิทธิบัตรฝนหลวง  ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายครั้งนี้

     สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำเนินการขอรับสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย   โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ   กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการ   และได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวงในพระปรมาภิไธย   ต่อสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปในชื่อเรื่อง  Weather  Modification  by  Royal  Rainmaking  Technology  ซึ่งสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิบัตรนี้แล้ว   โดยสิทธิบัตรดังกล่าวมีผลคุ้มครองครอบคลุมประเทศต่างๆ  ในกลุ่มสหภาพยุโรปจำนวน  30  ประเทศ  แต่มี  10  ประเทศที่ออกเป็นสิทธิบัตรแยกแต่ละประเทศ  ได้แก่  สาธารณรัฐไซปรัส,  ราชอาณาจักรเดนมาร์ก,  สาธารณรัฐฝรั่งเศส,  ราชอาณาจักรโมร็อกโก,  ประเทศโรมาเนีย,  สาธารณรัฐตุรกี,  สาธารณรัฐแอลเบเนีย,  สาธารณรัฐลิทัวเนีย,  ประเทศมาซิโดเนีย  และสาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ)

     ส่วนสิทธิบัตรที่ออกโดยสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง   ได้รับการขยายความคุ้มครองมาจากสิทธิบัตรของสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปเช่นกัน   

     โอกาสนี้   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่   มีพระราชดำรัสถึงความร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาประเทศ   ความว่า  “ข้าพเจ้าได้ยินมานานแล้วว่า   การทำงานนั้นไม่ใช่ง่ายๆ  โดยมากความก้าวหน้าจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้  ความรอบรู้  ตั้งใจทำ  โดยนำความรู้ของแต่ละภาคส่วนมาใช้  อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กระทรวงมหาดไทย  และกระทรวงอื่นๆ  รวมทั้งประชาชนมาร่วมมือกัน   โดยไม่มีใครเอาเปรียบกัน   อันนี้สำคัญที่สุด   เราเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าดี   บ้านเมืองจะสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ดี   โดยเฉพาะในระยะนี้บ้านเมืองของเรา   เรียกว่าบ้านเมืองกำลังล่มจม   ไม่รู้ว่าจะไปไหน  ไปอย่างไร  เราก็รู้สึกเป็นห่วงว่า   ประเทศไทยกำลังล่มจม   แต่พวกท่านจะทำให้ไม่จมได้   ซึ่งต้องมีการพัฒนาสร้างให้ดีขึ้น  สร้างบ้านเมืองให้ก้าวหน้า   ประชาชนมีความเจริญ   เราก็มีความหวังมีความรู้สึกว่า  บ้านเมืองจะไม่ล่มจม   เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า   บ้านเมืองเรากำลังล่มจม  เพราะต่างคนต่างทำ  ต่างคนต่างแย่งกัน   ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร   แต่ตอนนี้โชคดีที่มีผู้มีความรู้ต่างๆ  กัน  มาร่วมมือกัน   บัดนี้ขอยืนยันว่า   ถ้าทุกคนที่มีความรู้   ความตั้งใจก็จะสามารถสร้างให้บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง   ขอให้ท่านจงช่วยกันทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง”.

ที่มา: http://www.thaipost.net/node/9634

นักวิจัยเกาหลี ผู้ร่วมบุกเบิกพัฒนาเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วง 40 ปีก่อน เผยแดนกิมจิก้าวหน้าได้ด้วยกลุ่มวิศวกร 20 คน ชี้กระบวนการพัฒนาไม่ได้ใช้คนนับพัน แต่ใช้แค่ไม่กี่คนที่มีความมุ่งมั่น และผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องมีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ทำงานอย่างตั้งใจ

ดร.ยง-อ๊ก อัน (Dr.Young-Ok Ahn) ที่ปรึกษาและนักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนาโน (Institute of Nano Science and Technology) มหาวิทยาลัยฮันยาง (Hanyang University) กรุงโซล เกาหลีใต้ หนึ่งใน 20 วิศวกรเกาหลีที่ร่วมพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของเกาหลี ได้เดินทางมาปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สร้างประเทศเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ภายในการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.52 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

นักวิจัยอาวุโสจากเกาหลีกล่าวปาฐกถาว่า เกาหลีมีแผนพัฒนาประเทศเป็นแผน 5 ปี ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2505 ด้วยความพยายามอย่างยิ่งในการริเริ่มของ ปาร์ก ชุงฮี (Park Chunghee) อดีตประธานาธิบดีเกาหลี ซึ่งแผนพัฒนาฯ หลายฉบับร่างขึ้นโดย มร.โอ วอนชุล (O Wonchul) ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดี และมี มร.คิม กวางโม (Kim Kwangmo) ซึ่งเป็นวิศวกรเคมีและเพื่อนร่วมชั้นกับ ดร.อันด้วยนั้น เป็นทีมงานสำคัญของอดีตประธานาธิบดี

ในช่วงของแผนพัฒนาฉบับที่ 1 นั้น ขนาดเศรษฐกิจของเกาหลียังไม่สำคัญระดับโลก และการวางแผนเน้นไปที่การทดแทนนำเข้า และส่งเสริมการส่งออกโดยอาศัยนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล ช่วงนั้นเกาหลีเริ่มผลิตยางยนต์และส่งออกไม้อัด พร้อมตั้งโรงงานปุ๋ยยูเรีย โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานซีเมนส์และโรงงานแก้ว มาถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 ระหว่างปี 2510-2514 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการก่อตั้ง สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเกาหลี (Korea Institute of Science and Technology: KIST) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเกาหลี
Read more »

นายกรัฐมนตรีเปิดประชุม “สมัชชาวิทย์” ชี้นักวิทยาศาสตร์ไทยยังทำงานซ้ำซ้อน กระจัดกระจายและต่อยอดไม่ได้เท่าที่ควร เป็นโจทย์สำคัญ หากแก้ไขได้จะเป็นหัวใจในการผลักดันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าต่อไป และยอมรับสัดส่วนงบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยยังต่ำ เผยพยายามผลักดันให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็น 1%

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัมนา ครั้งที่ 8 (วทน.) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค.52 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยมี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ยง-อ๊ก อัน (Dr.Yong-Ok Ahn) ที่ปรึกษาสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนาโน (Institute of Nano Science and Technology) มหาวิทยาลัยฮันยาง (Hanyang University) ประเทศเกาหลีใต้ เข้าร่วม และมีผู้ร่วมประชุมจากภาครัฐ เอกชน นักเรียนและนักศึกษาอีกราว 1,000 คน

พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม” ภายในการประชุมซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์เข้าร่วมฟังด้วย โดยกล่าวว่า เมื่อเทียบกับหลายประเทศ ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ยอมรับว่าไทยมีความจำกัดและไม่สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าได้อย่างเต็มที่ จึงจำเป็นต้องทบทวนเรื่องการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้หากสามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานในช่วงวิกฤตได้จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศยิ่งขึ้น

โดยแนวทางในการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยทำให้เศรษฐกิจของไทยเข้มแข็งนั้น อันดับแรกคือเรื่องกำลังคนซึ่งสำคัญที่สุด โดยต้องมีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อเพิ่มสัดส่วนของผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์ในระดับ ม.ปลาย และอุดมศึกษาให้มากขึ้น ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้รับนโยบายตรงนี้แล้ว ถัดมาคือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่เพียงเชิงกายภาพเท่านั้น แต่เทคโนโลยียังมีสำคัญไม่แพ้กัน และเทคโนโลยีไม่จะเป็นต้องแพงหรือใหม่ที่สุด แต่เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม

อันดับที่สามคือกฎกติกาที่สำคัญกับทุกสังคม สำหรับกฎกติกาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ระบบค่าตอบแทนและการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญานั้นนั้นสำคัญและเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และเศรษฐกิจดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้หากหลักประกันด้านทรัพย์สินทางปัญญาอ่อนแอ ตรงจุดนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าทางกระทรวงพาณิชย์กำลังจัดทำระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอยู่

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ในการมองไปข้างหน้าของรัฐบาลนั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถเข้าไปเสริมในทุกภาคส่วนของสังคม เช่น การทำให้ภาคการเกษตรเข้มแข็ง ทั้งนี้มีข้อเท็จจริงว่าประสิทธิภาพและผลิตภาพด้านการเกษตรของเรานั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วงอย่างยิ่ง ตรงนี้เป็นจุดที่รับบาลมองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนปรับปรุงแก้ไขได้ อีกทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังมีส่วนช่วยด้านความมั่นคงของชาติได้ เพราะตอนนี้ผู้ก่อการร้ายเองก็ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการก่อความวุ่นวาย ดังนั้นผู้ที่ดูแลจึงต้องก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าปัญหาด้านวิทยาศาสตร์ของไทยคือเรื่องระบบบริหารจัดการ ที่การหลอมรวมศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ไทยยังมีข้อจำกัดอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ไทยมีหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์อยู่มาก แต่งานวิจัยยังกระจาย และหลายครั้งที่งานซ้ำซ้อน และไม่สามารถต่อยอดได้เท่าที่ควร ตรงนี้ควรเป็นโจทย์สำคัญ ซึ่งหากแก้ไขได้จะเป็นหัวใจในการผลักดันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยใหก้าวหน้า

สุดท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นฐานสำหรับการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยในตอนหนึ่งของปาฐกถาได้กล่าวว่างบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ของไทยนั้นยังต่ำอยู่มาก เพียงแค่ 0.25-0.26% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งนี้จะพยายามเพิ่มให้ได้ 1% และตอนนี้ได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มให้อีก 9,000 ล้านบาท

ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วิทยาศาสตร์ 24 กรกฏาคม 2552
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000083714

ผลจากกิจกรรมการถ่ายทอดความรู้ของกลุ่มวิจัยและพัฒนา ด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้ได้องค์ความรู้เรื่อง การเขียนรายงานการวิจัย เพื่อมาเผยแพร่เทคนิคการเขียนรายงานวิจัยให้กับผู้ที่สนใจ โดยจัดเก็บในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ อันประกอบไปด้วยเนื้อหาต่อไปนี้

  • บทนำ – ที่มาของโครงการ บทคัดย่อ ข้อเสนอแนะเทคนิคการเขียนบทคัดย่อ วัตถุประสงค์ ขอบเขตของโครงการ
  •  ทฤษฎี กับ literature review – แนวทางการเขียน
  • วิธีการทดลอง
  • ผลการทดลอง – การวิจารณ์ผล
  • สรุปและข้อเสนอแนะ
  • สรุปผู้บริหาร
  • การเขียนอ้างอิง
  • การเขียนบรรณานุกรม

คลิกที่นี่เพื่อเปิดไฟล์นำเสนอเรื่องการเขียนรายงานวิจัย