ไส้เดือนดิน จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Animalia) ศักดิ์แอนนิลิดา (Phylum: Annelida) ชั้น (Class: Oligochaeta ) ตระกูล (Order: Opisthopora) โดยมีการจำแนกวงศ์ (Family)ไว้ 21 วงศ์ และทั่วโลกมีมากกว่า 4,000 ชนิด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อไส้เดือนดินได้แก่ ความชื้นของดินหรืออาหารที่ไส้เดือนอยู่ประมาณ 60-80%, อุณหภูมิประมาณ 15-28 องศาเซลเซียส และมีความเป็นกรด-ด่างเป็นกลาง

1. วงจรชีวิตของไส้เดือนดิน

ไส้เดือนดินเป็นสัตว์ที่มี 2 เพศในตัวเดียวกัน แต่การสืบพันธุ์เป็นแบบผสมข้าม (จับคู่ผสม) กับไส้เดือนดินตัวอื่น วงจรชีวิตของไส้เดือนดินจึงประกอบด้วย ระยะถุงไข่ ระยะตัวอ่อน และระยะตัวเต็มวัย

2. บทบาทของไส้เดือนดิน

ไส้เดือนดินส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ต่อดินและพืช แต่ก็มีบางกลุ่มที่เป็นโทษ

2.1 ด้านที่เป็นประโยชน์

  • ช่วยในการปรับปรุงดินและสภาพแวดล้อม ทำให้ดินร่วนซุย
  • ช่วยกระจายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
  • ช่วยกำจัดขยะอินทรีย์และวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
  • เป็นแหล่งโปรตีนของอาหารสัตว์
  • เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของดินและสารพิษที่ปนเปื้อนในดิน

2.2 ด้านที่เป็นโทษ

  • เป็นตัวนำพาเชื้อโรคพืชมาสู่พืช
  • เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดปรสิตสู่พืช
  • บางชนิดมีผลทำให้ดินจับตัวเป็นก้อนจนไม่สามารถปลูกพืชได้ เนื่องจากมีสารเคลือบอยู่ที่ก้อนดิน 

3. การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดิน

ปัจจุบันไส้เดือนดินทั่วโลกที่นำมาใช้ในการกำจัดขยะอินทรีย์หรือวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในรูปแบบของการค้า เช่น จำหน่ายพันธุ์ และมูลไส้เดือนเพื่อใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ เป็นต้น มีประมาณ 15 สายพันธุ์เท่านั้น ส่วนในประเทศไทยมีการนำมาวิจัยประมาณ 8 สายพันธุ์ แต่ที่มีการส่งเสริมจนเป็นการค้ามีประมาณ 3 สายพันธุ์คือ ไทเกอร์วอร์มหรืออายซิเนีย ฟูทิดา (Eisenia foetida),  อัฟริกัน ไนท์ ครอเลอร์หรือยูดริลลัส ยูจินิแอ (Eudrillus eugeniae) และ ขี้ตาแร่หรือฟีเรททิมา พีกัวนา (Pheretima peguana)

3.1 รูปแบบของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดินในประเทศไทย

  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในตระกร้าหรือกระบะวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในชั้นพลาสติก
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในวงบ่อซีเมนต์
  • การเลี้ยงไส้เดือนดินในซองซีเมนต์หรือซองบล็อกประสาน

ควรวางระบบระบายน้ำปุ๋ยหรือรองรับน้ำปุ๋ยที่มาพร้อมกับมูลไส้เดือนดิน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำปุ๋ยขัง เพราะอาจทำให้ไส้เดือนดินขาดอากาศและตายได้

3.2 อาหารสำหรับไส้เดือนดิน

  • ขยะอินทรีย์จากครัวเรือนหรือตลาด
  • มูลสัตว์
  • เศษตอซังพืชจากภาคการเกษตร

4. ปัญหาและอุปสรรคของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดิน

4.1 การเก็บมูลไส้เดือนมักติดถุงไข่และตัวอ่อนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนไส้เดือนลดลง ประสิทธิภาพในการผลิตมูลไส้เดือนลดลงด้วยเช่นกัน

 4.2 สิ้นเปลืองพลังงานและต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการต้องใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรมาแยกไส้เดือนดินออกจากมูล เช่น การใช้แสงไฟไล่ หรือเครื่องคัดแยกตัวไส้เดือนดิน

4.3 ไม่ควรใช้เศษพืช อาหาร และมูลสัตว์ ที่มีความเป็นกรด-ด่างสูง หรือเศษอาหารที่มีน้ำมันปนอยู่ เพราะเป็นอันตรายต่อไส้เดือนดิน

4.4 สัตว์ที่เป็นอันตรายต่อไส้เดือนดิน เช่น ไก่ นก หนู และมด เนื่องจากเศษพืชผักเป็นอาหารของสัตว์เหล่านี้ รวมทั้งไส้เดือนดินด้วย

5. เทคนิคการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดินโดยตั้งกองแบบปริซึมสามเหลี่ยม

ปัญหาสำคัญของผู้เลี้ยงไส้เดือนดินสำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์คือการเก็บมูลไส้เดือน เพราะถ้าเก็บไม่ถูกวิธีก็จะติดทั้งตัวอ่อนและถุงไข่ของไส้เดือน ทำให้มีปริมาณของไส้เดือนลดลง จึงไม่มีไส้เดือนดินสำหรับผลิตปุ๋ยหรือจำหน่ายพันธุ์ในระยะยาวได้ ดังนั้นสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนาการเลี้ยงไส้เดือนดินกองรูปปริซึมสามเหลี่ยมและให้อาหารด้านเดียว          

การทำฐานที่อยู่อาศัย

ผสมดินกับมูลสัตว์ในอัตราส่วน 4:1 และปรับความชื้นประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ แล้วเกลี่ยให้มีความสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร ควรทำซองหรือคอกสำหรับกั้นสัตว์เลี้ยงมาคุ้ยเขี่ยและตาข่ายคลุมเพื่อกันนกหรือหนู

จำนวนไส้เดือนดิน

ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร

การเพิ่มประชากรไส้เดือนดิน

เติมอาหาร เช่น มูลสัตว์ผสมกับเศษผักหรือผลไม้ โดยมีความหนาครั้งละไม่เกิน10 เซนติเมตร เมื่ออาหารหมดให้เติมอาหารใหม่ จนกระทั่งมีความสูงประมาณ 45 เซนติเมตร

การตั้งกองรูปปริซึมสามเหลี่ยม

แต่งกองไส้เดือนใหม่ให้เป็นรูปคล้ายกับปริซึมสามเหลี่ยม ฐานกว้างและสูงประมาณ 45 เซนติเมตร

การให้อาหาร

หลังจากนั้นนำอาหารมาใส่เพียงหน้าเพียงด้านเดียวของกองแบบปริซึมสามเหลี่ยมให้มีความหนาประมาณ 5-10 เซนติเมตร เมื่ออาหารหมดก็ทยอยเติมด้านเดียวไปเรื่อยๆ

การเก็บมูลไส้เดือน

ส่วนอีกด้านของกองอาหารที่ไส้เดือนกินหมดแล้ว ปล่อยให้ความชื้นลดลงจนไม่มีไส้เดือนอาศัยอยู่ จึงปาดมูลของไส้เดือนดินออกมาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ 

สนใจติดต่อ

สถานีวิจัยลำตะคอง

333 หมู่ที่ 12 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30130

โทรศัพท์ 044-390107 และ 044-390150 แฟกซ์ 044-390107

E-mail: lamtakhong@tistr.or.th

 เรียบเรียงโดย :ทรงเกียรติ วิสุทธิพิทักษ์กุล  

 ทุกคนรู้จักดิน แต่การที่จะรู้จักดินให้ถี่ถ้วนจริงๆ ต้องใช้เวลาการ ศึกษาและวิจัยเป็นสิบๆ ปี นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากใช้เวลา กว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตศึกษาดิน วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับดินนั้นเรียกรวมๆ กันว่า “ปฐพีวิทยา” ซึ่งแยกสาขาออกไปมากมาย เช่น ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเกิด ของดินว่าเกิดได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรเป็นตัวควบคุมการเกิดของดิน ศึกษา การสำรวจรวมทั้งทำแผนที่ดินเพื่อแบ่งชนิดของดินทางลักษณะต่างๆ ศึกษาเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การแก้ไขหรือปรับปรุงดินให้ เหมาะสำหรับการเพาะปลูก ศึกษาชนิด ปริมาณและแร่ธาตุอาหารต่างๆ ที่พืชจะสามารถนำไปใช้ ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางเคมีต่างๆ ที่ เกิดขึ้นในดินและคุณสมบัติทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น ลักษณะเนื้อดิน ความสามารถใน การอุ้มน้ำของดิน อุณหภูมิในดิน ตลอดจนคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช ศึกษาวิธีการป้องกันและรักษาดินให้มี ความอุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ในการเกษตร

ดินในแง่ของการเพาะปลูกมีส่วนประกอบดังนี้

  1. ส่วนที่เป็นอินทรียวัตถุ ได้แก่ ส่วนที่เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังหรือ การสลายตัวของเศษพืชและสัตว์ ส่วนนี้มักจะอยู่ที่ผิวดิน และมีความสำคัญ คือเป็นแหล่งกำเนิดอาหารให้พืชและจุลินทรีย์ในดิน
  2. ส่วนที่เป็นอนินทรียวัตถุ ได้แก่ ส่วนที่เกิดจากการสลาย ผุพังของ หินและแร่โดยกระบวนการทางเคมี กายภาพ และชีวเคมี ดินส่วนนี้มีความ สำคัญเช่นเดียวกับดินส่วนแรกคือเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารแก่พืชและ จุลินทรีย์และเป็นส่วนควบคุมโครงสร้างของดิน
  3. ส่วนที่เป็นน้ำ ได้แก่ น้ำที่อยู่ในช่องว่างระหว่างก้อนดินหรืออนุภาค ของดิน ซึ่งมีความสำคัญคือเป็นตัวละลายและนำส่งอาหารให้แก่พืช
  4. ส่วนที่เป็นอากาศ ได้แก่ อากาศซึ่งแทรกอยู่ระหว่างก้อนดินหรือ อนุภาคของดิน ส่วนประกอบของอากาศที่สำคัญ ได้แก่ ออกซิเจน ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์

ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกโดยทั่วๆ ไปควรจะประกอบด้วยส่วนที่ 1 ประมาณ 5% ส่วนที่ 2 ประมาณ 45% ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 ประมาณ อย่างละ 25% การปลูกพืชจะได้ผลดีจำเป็นต้องพยายามรักษาความสมดุล ของส่วนประกอบดังกล่าวด้วย