ผมมีประสบการณ์หาแพทย์ที่เพิ่งจบใหม่หลายครั้ง พบว่าบางทีค่ารักษากับหมอใหม่แพงกว่าหมอที่มีประสบการณ์ยาวนาน ทั้งที่ขัดกับหลักตรรกที่ว่า หมอที่ทำงานยาวนานน่าจะคิดค่ารักษาแพงกว่า

เหตุผลก็เพราะว่า…หมอจบใหม่บางคนเกิดอาการเกร็งอาจเกิดความกลัววูบขึ้นมาว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากวินิจฉัยโรคพลาด?” เมื่อเกร็งก็เกิดความไม่แน่ใจ เพื่อความปลอดภัยต่ออาชีพของตน ก็สั่งให้มีการทดสอบในห้องแล็บเพิ่มอีกหลายรายการ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคนไข้ท้องเสีย ก็สั่งตรวจดูว่าเกิดจากเชื้อโรคชนิดใด ทั้งที่คนไข้บอกว่าไม่ได้กินอาหารสกปรกอย่างแน่นอน ผลตรวจที่ออกมาสรุปว่าท้องเสียไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค หากเกิดจากความเครียด เมื่อรวมค่าตัวของหมอใหม่ (ซึ่งไม่สูงนัก) กับค่าตรวจในแล็บและอื่นๆ รวมๆ แล้วก็มากกว่าที่คนไข้ควรจ่าย เมื่อรักษากับหมอที่มีประสบการณ์กว่า

ครั้งหนึ่งผมเกิดอาการปวดหัวตึบๆ หมอใหม่ก็จัดการส่งผมไปสแกนสมอง
ทั้งที่ผมรู้ว่าไม่เป็นอะไรมาก
“เพื่อความชัวร์” หมอว่า
เมื่อเห็นใบเสร็จ ผมก็เกิดอาการปวดหัวกว่าเดิม

เพื่อนสถาปนิก-ผู้รับเหมา คนหนึ่งบอกผมว่า ในงานทุกชิ้นของเขา จะเจาะจงใช้แต่ช่างชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช้ ‘มือใหม่หัดขับ ‘ เลย ทั้งที่ค่าแรงช่างเก่าแพงกว่า 2-3 เท่า “ทำไม?” ผมถาม

เขายกตัวอย่างงานปูน ช่างปูนที่เพิ่งทำงานไม่นานค่าแรงต่อวันถูกมาก แต่เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ จึงใช้ปูนซิเมนต์เปลืองมาก…  

Read more »

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะนำวิธีป้องกันอัคคีภัยเบื้องต้น ผู้อาศัยในแต่ละบ้าน ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟฟ้า ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย และติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงไว้ภายในบ้าน ไม่ควรจุดธูปเทียนทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูแล ปิดสวิตซ์ และถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังเลิกใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า ป้องกันการเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้

สำหรับบ้านหรือห้องที่ติดตั้งเหล็กดัดกันขโมยตามประตู หรือหน้าต่าง ควรทำช่องที่สามารถเปิดออกด้วยการไขกุญแจอย่างน้อย 1 บาน และควรเก็บกุญแจไขเปิดไว้ในที่ซึ่งสามารถหยิบใช้ได้ง่าย

ส่วนผู้ที่เข้าไปในอาคารที่ไม่คุ้นเคย ควรสังเกตทางหนีไฟที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างน้อย 2 แห่ง พร้อมกับมองหาตำแหน่งของอุปกรณ์ดับเพลิง

กรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ควรต้องสติ ไม่ตื่นตระหนก และปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้

  1. ตะโกนหรือส่งสัญญาณแจ้งเหตุให้ผู้อื่นทราบทันที
  2. รีบออกจากอาคารอย่างเป็นระเบียบโดยเร็วที่สุด และไม่ควรกลับเข้าไปในอาคารอีก
  3. หากต้องอพยพออกจากห้อง ควรใช้มือสัมผัสบริเวณผนังหรืออังใกล้ ๆ ลูกบิดประตู ถ้ามีความร้อนสูง แสดงว่าเกิดเพลิงไหม้บริเวณใกล้ ๆ ห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด
  4. ควรหนีไฟลงด้านล่างของอาคาร โดยใช้บันไดหนีไฟด้านนอกอาคาร เนื่องจากลักษณะบันไดภายในอาคารเป็นเหมือนช่อง โพรง ที่เสริมให้เปลวไฟพุ่งขึ้น และลุกลามอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าลงทางบันไดไม่ได้ ให้ลงทางหน้าต่าง โดยใช้เชือก หรือผ้ายาวผูกตัวแล้วโหนลงมา ส่วนการกระโดดลงจากอาคาร ควรมีเบาะหรือฟูกที่นอนรองรับ
  5. ห้ามใช้ลิฟท์ เพราะขณะเกิดเพลิงไหม้ ไฟฟ้าจะดับ ทำให้ลิฟท์ค้าง จะทำให้ด้านในของตัวลิฟท์ไม่มีอากาศ
  6. หากเส้นทางหนีไฟเต็มไปด้วยกลุ่มควันให้ใช้ผ้าชุบน้ำมาคลุมตัว และปิดจมูก ป้องกันการสำลักควัน แล้วหมอบคลานเนื่องจากอากาศบริสุทธิ์จะอยู่ด้านล่าง(เหนือพื้น)
  7. ไม่ควรหนีไฟเข้าไปหลบในห้องต่าง ๆ ที่เป็นจุดอับภายในอาคาร เช่น ห้องน้ำ ที่แม้ในช่วงแรกจะปลอดภัย แต่เมื่อไฟลุกลาม น้ำที่อยู่ในห้องอาจไม่เพียงพอสำหรับดับไฟ และความร้อนของไฟจะส่งผลให้น้ำมีความร้อนสูงขึ้นจนสามารถลวกให้เสียชีวิตได้
  8. กรณีติดอยู่ในห้องที่ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ ให้ปิดประตูหน้าต่าง ใช้ผ้าชุบน้ำอุดตามช่องว่างทั้งหมดป้องกันควันลอยเข้าไป และรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เช่น โทรศัพท์ โบกผ้า หรือเป่านกหวีด
  9. หากถูกไฟไหม้ติดตัว อย่าใช้มือตบไฟ เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น ให้ถอดเสื้อผ้าออกทันที แล้วล้อมตัวลงที่พื้น กลิ้งตัวไปมาเพื่อดับไฟ กรณีที่ไฟไหม้ร่างกายผู้อื่น ให้ใช้ผ้าห่มพันตัวหลาย ๆ ชั้น จนกว่าไฟจะดับ แล้วใช้น้ำราดตัว แล้วห่มด้วยผ้าแห้ง
  10. ถ้าจำเป็นต้องวิ่งฝ่าเปลวไฟให้ใช้ผ้าชุบน้ำจนเปียกคลุมตัวก่อนวิ่งฝ่าออกไป

ทั้งนี้ จงอย่าลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการหนีรอดจากเหตุอัคคีภัย คือ การมีสติเป็นอันดับแรก เพราะจะทำให้คุณสามารถหนีเอาตัวรอด และช่วยเหลือผู้ร่วมชะตากรรมให้ออกมาจากบริเวณดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย

ที่มา: เดลินิวส์

“ไฟคนละแบบ วิธีดับ…วิธีจัดการก็คนละอย่าง”
ฉาดเฉลียว และ ฉานฉลาด บุนนาค สองพี่น้องผู้เชี่ยวชาญการผจญเพลิงภายในอาคาร บริษัท ดี.ดี.ไฟร์ แอนด์ เซฟตี้ บอก

 

เพลิงไหม้แยกได้เป็น 4 ประเภท

 • ประเภท A ไฟไหม้วัสดุที่ใช้น้ำดับได้ เช่น ไม้ ผ้า พลาสติก กระดาษ โฟม
• ประเภท B ไฟไหม้ของเหลวและแก๊สที่ติดไฟ เช่น น้ำมัน แอลกอฮอล์ เหล้า ทินเนอร์
• ประเภท C ไฟไหม้จากกระแสไฟฟ้า เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติให้ระวังตัวขณะปฏิบัติงาน
• ประเภท D ไฟไหม้โลหะติดไฟ เช่น แมกนีเซียม โซเดียม โปแตสเซียม

 

เพลิงไหม้ยังอาจแยกช่วงออกเป็น 4 เฟส…

เฟสที่ 1: ธรรมชาติไฟอาคาร จุดเริ่มเฟสแรกอาจมีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส วัดที่อุณหภูมิห้อง ช่วงเริ่มนี้ ไฟไม่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยน แต่มีกลุ่มควันเกิดขึ้นเยอะแบบฟุ้งๆ …ช่วงไฟไหม้เฟสแรก ยังมี 4 ปัจจัยหลักสนับสนุน…

Read more »

วันนี้มีเรื่องเล่ากันเล่นๆ แต่น่าสนใจสองตัวอย่าง สำหรับวิธีการคิดพิจารณาแก้ปัญหาโดยมุ่ง focus ในมุมมองที่แตกต่างกัน ระหว่างการ focus กรอบความคิดตรงเข้าที่ทฤษฎีของปัญหา กับการ focus ตรงไปที่การมุ่งหาแนวทางแก้ปํญหา

1. ปากกา

เมื่อองค์การนาซ่าได้เริ่มปล่อยจรวดเพื่อการสำรวจอวกาศ พวกเขาพบว่า ปากกาไม่สามารถเขียนได้ที่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับ 0 (น้ำหมึกไม่สามารถไหลออกมาที่กระดาษที่ต้องการเขียนได้)

การแก้ปัญหานี้ ได้ใช้เวลาราว 10 ปี และได้ใช้เงินมูลค่า 12 ล้านดอลล่าห์ (480 ล้านบาท) พวกเขาได้สร้างปากกาที่สามารถใช้งานได้ที่แรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ เขียนแบบคว่ำ หรือเขียนที่ใต้น้ำได้ สามารถเขียนได้ไม่ว่าสภาพผิวเป็นเช่นไร รวมทั้งผิว Crystal และที่อุณหภูมิช่วงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งจนถึงที่มากกว่า 300 องศาเซลเซียลได้

ด้วยปัญหาแบบเดียวกัน ทางรัสเซียใช้ดินสอ

ตัวอย่างถัดมา

2. สบู่

หนึ่งในเรื่องที่นิยมใช้ในการสอนที่ประเทศญี่ปุ่นได้แก่ เรื่องของการเกิดปัญหาที่ว่า สบู่ที่ลูกค้าซื้อไป กลับได้แต่กล่องเปล่าๆ ไม่มีสบู่มาด้วย เรื่องนี้มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ที่ได้รับการร้องเรียนจากทางลูกค้าถึงปัญหาดังกล่าว

ทางด้านวิศวกรที่รับผิดชอบ ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray เพื่อการตรวจดูว่าภายในของกล่องสบู่มีสบู่หรือไม่ และเพื่อการนี้ก็ได้ให้คน 2 คนคอย เฝ้าที่จอเพื่อดูให้แน่ใจได้ว่าไม่มีการหลุดของกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่ไปแน่นอนว่าคน 2 คนที่ดูจอมอนิเตอร์ คงไม่สนุกในการทำงานนี้เท่าไหร่

ด้วยปัญหาเดียวกัน พนักงานหน้างานที่บริษัทผลิตสบู่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาไม่ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray แต่สิ่งที่เขาทำได้แก่ การไปซื้อพัดลมที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แล้วนำมาเป่าที่รางสายพาน ขณะที่กล่องสบู่วิ่งผ่าน หากกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่ เมื่อถูกลมก็จะปลิวออกนอกสายพานลำเลียงเอง

บางครั้งหากเรายึดติดอยู่เฉพาะภายในกรอบของทฤษฎีหรือหลักการหรือความมากรู้จนเกินไปนั้น ก็อาจมองข้ามการแก้ปัญหาด้วยองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาเดิมที่เรามีอยู่ไปได้ ดังนั้นการจัดการองค์ความรู้และการมีระบบคิดที่ดี แม้จากพนักงานระดับเล็กๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามละเลย เพราะหากยอมรับและได้รับการต่อยอด นำมาเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ย่อมสร้างประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน บางเรื่องไม่จำเป็นต้องแก้ไขทำอะไรให้ใหญ่โตเกินกว่าปัญหา ดั่งขี้ช้างจับตั๊กแตน และไม่จำเป็นที่เราต้องเดินตามกรอบความคิดของใคร หรือทำตามสิ่งที่ได้รับการสอนมาแต่เพียงเท่านั้น เพราะนั่นอาจจะเป็นการปิดกั้นวิธีแก้ปัญหาที่ง่าย และได้ผลดีที่สุดออกไปก็ได้