ผลิตภัณฑ์น้ำหอม HIRCUS …เพิ่มมูลค่าจากขนแพะ

วว. วิจัยพัฒนาสำเร็จเป็นครั้งแรกของไทย

“แพะ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capra  aegagrus  hircus  เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องคล้ายวัว มีกระเพาะหมัก ซึ่งอาศัยจุลินทรีย์ที่อยู่ภายในย่อยอาหารและสังเคราะห์วิตามิน การเลี้ยงแพะส่วนใหญ่จะนำเนื้อไปเป็นอาหาร ในส่วนของขนแพะนั้นจะเป็นวัสดุเหลือทิ้งและจะมีปริมาณมากขึ้นตามจำนวนแพะที่ถูกนำไปประกอบอาหาร

          กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในส่วนของ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในโครงการวิจัยและพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากแพะ  (การสกัดแยกกลิ่นและศึกษา Male Pheromone จากขนแพะเหลือทิ้ง)  ประสบผลสำเร็จนำนวัตกรรมการสกัดขนแพะมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำหอมได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องสำอางในอนาคต  โดยผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่พัฒนาสำเร็จมีกลิ่นเฉพาะตัว  โดดเด่น  และลอกเลียนแบบยาก

ในการวิจัยและพัฒนาสกัดสารจากขนแพะ วว. พบว่า มีกลิ่นหอมที่สามารถนำไปพัฒนาเป็นน้ำหอมได้ เนื่องจากมีกรดไขมัน (Fatty acid) สูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxident)  สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำหอมได้ประมาณ  9 กลิ่น ดังนี้  กลิ่นสำหรับผู้หญิง  7  กลิ่น ได้แก่ กลิ่น แจ้สซี่(แจสมิน) โรเซ่(โรส) ฟลาวเวอร์เล็ท(ซ่อนกลิ่น) วิลาเต้(วิลัย) ลักซ์ สำหรับสาวมั่น สดชื่อ ร่าเริง พีเอฟวัน หรือกลิ่นไม้กฤษณา และกลิ่นสำหรับผู้ชาย  2  กลิ่น ได้แก่ กลิ่น Bazz ถือเป็น ตัวท็อป เพราะมีกลิ่นหอมล้ำลึก นุ่มนวลกว่าทุกๆกลิ่น และกลิ่นสมุนไพรหอม ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ  ขณะนี้ วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไป หรือยินดีเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ประกอบการเพื่อทำน้ำหอมเฉพาะส่วนบุคคล

ความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำหอมจากขนแพะ เป็นผลจากการลงพื้นที่ของ วว.  ณ จังหวัดกระบี่ เมื่อเดือนมีนาคม 2563 เพื่อนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาชุมชน แล้วได้โจทย์ขนแพะที่เป็นขยะเหลือทิ้ง ผ่านการนำเสนอความต้องการของพื้นที่โดย นายชวน  ภูเก้าล้วน ประธานกรรมการบริษัท ศรีผ่องพานิช จำกัด โดยทั่วไปขนแพะจะถูกกำจัดโดยวิธีเผาทิ้งอย่างเดียว ซึ่งก่อผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อม

ในการดำเนินโครงการฯ คณะวิจัยซื้อขนแพะจากจังหวัดกระบี่และสตูล โดยใช้แพะ 3 สายพันธุ์คือ ชามี่ ชานัน และบอร์ โดยจะใช้พันธุ์บอร์เป็นหลัก เนื่องจากให้กลิ่นหอมแรงและระยะเวลานาน ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องใช้ขนแพะปริมาณ 100 กรัม จะได้สารสกัด 0.5 มิลลิกรัม ผลิตเป็นน้ำหอมได้ 3 ขวด ส่วนการพัฒนาต่อจากนี้อาจเป็นการนำสิ่งที่เหลืออยู่ ได้แก่ ขนแพะที่เหลือจากการสกัดสารออกแล้ว หรือขนแพะที่สะอาดแล้ว อาจจะทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรงปัดแก้มขนแพะ ซึ่งมีราคาแพงในตลาดต่างประเทศ และอาจพัฒนาการใช้ประโยชน์ในรูปแบบเทคโนโลยีเอนแคปซูเลชัน (encapsulation technology) ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง  ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากโครงการวิจัยนี้สามารถนำกลับไปใช้ในพื้นที่ เนื่องจากโครงการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนในจังหวัดกระบี่ เช่น อาจนำไปใช้ในกิจการโรงแรมและสถานประกอบการต่างๆ เป็นต้น

          หากมีการนำผลิตภัณฑ์น้ำหอมจากขนแพะมาใช้แพร่หลาย จะทำให้เกิดความต้องการจากท้องถิ่นและทำให้ขนแพะมีมูลค่าสูงสามารถจำหน่ายได้ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมนโยบาย BCG  ในการเป็น Circular  Economy  สามารถสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้ง และทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ มีคุณค่า ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของชุมชนดีขึ้น  อีกทั้งยังจะช่วยส่งเสริม วิทยาศาสตร์  เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของประเทศเพื่อการแข่งขันกับนานาชาติ และยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางด้านสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ที่เป็น Green  Economy ในนโยบาย BCG

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับบริการจาก   ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร  วว.  ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2577-9000  Email : tistr@tistr.or.th  เว็บไซต์  www.tistr.or.th