โดย ดร. อัญชนา พัฒนสุพงษ์

test1
มลภาวะสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกที่มีปริมาณการใช้สูงมาก การผลักดันให้ใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการสลายตัวของผลิตภัณฑ์ชีวภาพนั้น นอกจากจะขึ้นกับวัตถุดิบในการผลิต ขนาดของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนลักษณะการใช้งานแล้ว ที่สำคัญยังขึ้นกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่นำไปทิ้งหรือฝังกลบด้วย ดังนั้น การตรวจสอบการสลายตัวได้ทางชีวภาพในระดับภาคสนามหรือในห้องปฏิบัติการ เป็นทางหนึ่งที่สามารถประเมินสมบัติการสลายตัวของผลิตภัณฑ์ในสภาวะธรรมชาติได้

 

     สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยฝ่ายวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ริเริ่มศึกษาการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ มาตั้งแต่ปี 2551 โดยได้ร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร และได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจากคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการตรวจสอบการสลายตัวของวัสดุทดสอบชนิดพลาสติกชีวภาพในเบื้องต้น (preliminary biodegradation test) โดยใช้หลักการตรวจวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมที่เกิดจากกิจกรรมการสลายตัวของวัตถุทดสอบโดยจุลินทรีย์ในปุ๋ยหมัก ภายใต้สภาวะควบคุมในระดับห้องปฏิบัติการ เป็นวิธีการที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการทดสอบตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ วว. ได้ยื่นจดสิทธิบัตรและให้บริการทดสอบดังกล่าวนี้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาตั้งแต่ปี 2553

     กล่าวได้ว่า วว. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ บุคลากร รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพ (Biodegradability Testing Laboratory) ที่มีศักยภาพในการให้บริการวิเคราะห์พลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพตามมาตรฐานสากล ISO 17088 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 17088-2555 และได้รับการยอมรับให้ขึ้นทะเบียนกับสถาบัน DIN CERTCO ประเทศเยอรมนีตั้งแต่ปี 2557 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งศูนย์ทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพที่มีระบบการบริหารงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/ IEC 17025 จากหน่วยรับรองระบบงาน (Accreditation body) ที่เป็นที่ยอมรับ และสามารถให้บริการวิจัยด้านการบำบัดสารอันตรายตกค้างในสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบการสลายตัวได้ทางชีวภาพของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อได้มาซึ่งข้อมูลที่ยืนยันถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีการตามมาตรฐานสากล

     การวิเคราะห์ทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพโดยห้องปฏิบัติการของ วว. นี้  นอกจากจะสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านวัสดุย่อยสลายได้ทางชีวภาพของประเทศ เนื่องจากเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพด้านความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุชีวภาพของไทย ทำให้คู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศยอมรับ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกสินค้า และที่สำคัญยังช่วยแก้ปัญหาการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมจากหลายประเทศทั่วโลกที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับปัญหาขยะพลาสติก จึงนับได้ว่า เป็นความภาคภูมิใจของ วว. ที่มีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมไทยพัฒนาศักยภาพไปสู่ความเป็นมาตรฐานสากลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

test3

เมลามีน

เป็น สารอินทรีย์เคมี ที่มีชื่อทางเคมีว่า 1,3,5-triazin-2,4,6-triamine มีลักษณะเป็นผงสีขาว ละลายน้ำได้เล็กน้อย โครงสร้างมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบถึง 66 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก

การใช้ประโยชน์จากเมลามีน

ใช้ในการผลิตพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหาร โฟม กาว ฟอเมกา ฉนวนไฟฟ้าและเก็บเสียง ตัวกรอง สีย้อมในหมึก สารทำความสะอาดและปุ๋ย

เมลามีนต่อผลกระทบต่อสุขภาพ

เมลามีน มีความเป็นพิษแบบเฉียบพลันในระดับต่ำ สามารถสลายตัวอย่างรวดเร็วในรูปของปัสสาวะภายใน 3 ชั่วโมง โดยพิษหลักที่เกิดจากการได้รับสารเมลามีนในสัตว์ทดลอง คือ ปฏิกิริยาการอักเสบ ความดันโลหิตสูง และพบตะกอนในกระเพาะปัสสาวะ มีผลทำให้เกิดไตวายได้

กรดซัยยานูริค เป็น อนุพันธ์ของเมลามีนที่ได้จากกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก มีความเป็นพิษแบบเฉียบต่ำ สามารถขับถ่ายออกมาในปัสสาวะภายใน 24 ชั่วโมง จากการทดสอบความเป็นพิษแบบเรื้อรัง พบว่า ทำให้เนื้อเยื่อของไตเสียหาย เกิดการขยายตัวของท่อไต การเปื่อยของเซลล์เนื้อเยื่อของหลอดเลือด และการสร้างเนื้อเยื่อเส้นใยที่ผิดปกติ

เมลามีนอนาล็อก เป็น อนุพันธ์ของเมลามีนที่เกิดจากการนำวัสดุเศษเหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพต่ำกลับไปทำของใช้ ประกอบด้วย กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน

จากการศึกษาพบว่า สารเมลามีน กรดซัยยานูริค แอมมีไลด์ และแอมมีลีน เพียงชนิดเดียวไม่ทำให้เกิดความผิดปกติที่ไต ในขณะที่สารผสมระหว่างเมลามีนและกรดซัยยานูริค มีผลทำให้ไตถูกทำลายและเกิดผลึกที่ส่วนขับถ่ายของไต

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ 
มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 1
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

————————————————————

เมลามีนกับความปลอดภัยในอาหาร

เมลามีนไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหาร

แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสินค้าอาหารนานาชาติต่าง ๆ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีการกำหนดระดับเมลามีน รวมทั้ง กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน ที่ปลอดภัยต่อการบริโภคหากเกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป ได้แก่

  • นมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว ไอศกรีม โยเกิร์ต และการแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม ที่ระดับไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • นมและผลิตภัณฑ์อาหารทารก กำหนดไว้ที่ระดับไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ยึดค่าในการบริโภคต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ของเมลามีน ซึ่งครอบคลุมสารประเภทเดียวกัน ได้แก่ กรดซัยยานูริก แอมมีไลด์ และแอมมีลีน ตามหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารประจำสหภาพยุโรป ไว้ที่ระดับ 0.5 มิลลิกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน สำหรับค่าเมลามีนในวัสดุสัมผัสอาหารกำหนดไว้ที่ 30 mg/kg

แต่ยังไม่มีข้อมูลศึกษาค่าความปลอดภัยด้านอาหารจากการรวมกันของสารในกลุ่มเมลามีนมากกว่า 1 ชนิด เช่น สารเมลามีนกับกรดซัยยานูริค เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ค่าความปลอดภัยในการบริโภคเปลี่ยนไป

โอกาสการได้รับพิษจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ต้องได้รับสารดังกล่าวในปริมาณสูง

โดยกรณีที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กิโลกรัม สามารถรับสารเมลามีนได้ถึง 25 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่เป็นอันตราย

ในขณะที่เด็กทารกที่มีค่าน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 5 กิโลกรัม สามารถรับสารเมลามีนได้เพียง 2.5 มิลลิกรัมต่อวัน เทียบเท่ากับการดื่มนมที่มีสารเมลามีนปนเปื้อน หรือ นมคืนรูป 750 มล. โดยระดับสารปนเปื้อนอยู่ที่ 3.3 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ 
มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 2
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

————————————————————

เมลามีนกับการวิเคราะห์ปริมาณ

เนื่องจากสารเมลามีไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจมีโอกาสปนเปื้อนได้จากการสัมผัสกับภาชนะ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่มีเมลามีนเป็นองค์ประกอบ แต่ปริมาณที่ปนเปื้อนมานั้นมีปริมาณต่ำและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อรร่างกายแต่ยังใด ดังนั้น จึงไม่มีการตรวจสอบและวิเคราะห์หาปริมาณเมลามีนในอาหารมาก่อน

การวิเคราะห์สารเมลามีนมีด้วยกันหลายวิธี สำหรับประเทศไทย การตรวจสอบปริมาณไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน ซึ่งอาจแสดงถึงการปนเปื้อนของเมลามีนได้ จะใช้วิธี GCMS หรือ HPLC โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำการตรวจสอบสารเมลามีนในอาหารขณะนี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

การวิเคราะห์สารเมลามีนที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับในด้านการวิเคราะห์การจำแหนกสาร และปริมาณที่วิเคราะห์ได้ คือ การใช้ GC-MS หรือ LC-MS/MS

สามารถดูตารางวิธีการวิเคราะห์เมลามีนในอาหารและอาหารสัตว์ ซึ่งระบุโดยประเทศสหรัฐอเมริกา และ WHO International Food Safety Authoritics Network (INFOSAN) เพิ่มเติมได้ที่ มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 3

ที่มา :
สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่  มารู้จัก เมลามีน ตอนที่ 3
โดย โศรดา วัลภา และ พัชราภรณ์ วชิรศิริ
ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย