ตู้ปันสุขกับดอกบัวสี่เหล่า
โดย ดร.ปฐมสุดา อินทุประภา และ วรวิทย์ อินทร์กง
กองพัฒนาและจัดการความรู้องค์กร (กจค.)
ในขณะที่ Covid-19 ยังคงระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ประชาชนทั่วโลกในหลายต่อหลายประเทศก็เริ่มมีการแบ่งปันอาหาร สิ่งของต่างๆ ให้แก่กัน เนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้หลายคนต้องตกงาน ประชาชนในหลายๆที่ จึงเริ่มเกิดความเห็นอกเห็นใจกันและอยากแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้แก่กันตามที่ตนเองสามารถทำได้ ตู้ปันสุขจึงเกิดขึ้นในหลายๆ ที่ในประเทศไทย อันที่จริงตู้ปันสุขนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นได้มาแต่ตั้งช่วงแรกๆ ของการระบาดของ Covid-19 โดยในช่วงที่ประเทศแถบตะวันตกมีการกักตุนสินค้า อาหารแห้ง แต่มีหลายบ้านที่เริ่มมีการแบ่งปันสิ่งของและอาหารแก่กัน ด้วยการวางสิ่งของและอาหารแห้งต่างๆ ไว้ ตรงหน้าบ้าน และแปะป้ายไว้ให้คนส่งของหรือคนเก็บขยะ มาหยิบไปได้ จากนั้น จึงเริ่มมีการตั้งตู้เล็กๆ ขึ้นมา และแปะป้ายให้บุคคลทั่วไปที่ผ่านไปมาในละแวกนั้น สามารถหยิบไปได้ โดยคนในชุมชนละแวกนั้น ก็สามารถนำสิ่งของ หรืออาหารแห้ง ต่างๆ มาใส่เพิ่มเติมได้ เป็นการแบ่งปันน้ำใจให้แก่กันในช่วงเวลาวิฤกติเช่นนี้ ซึ่งในประเทศแถบตะวันตก เมื่อมีการทำเช่นนี้ และมีการนำเสนอสู่โลกออนไลน์ ทำให้ประเทศไทยอย่างเรา ก็นำสิ่งดีเช่นนี้มาปฏิบัติด้วย
สำหรับตู้ปันสุขในประเทศไทยขณะนี้มีอยู่ใน 51 จังหวัดทั่วประเทศแล้ว และมีตู้ปันสุขถึง 249 ตู้แล้ว โดยใน กทม. นั้น มีถึง 43 ตู้แล้ว ซึ่งตรงนี้ทำให้เห็นได้ว่า พวกเราชาวไทย มีศรัทธา ซึ่งกันและกัน เรามีศรัทธาในการการแบ่งปัน ในการทำความดี เรามองเห็นถึงประโยชน์ในการแบ่งปันกัน เรามีศรัทธาในการช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก มองเห็นคุณค่า ความหมาย และประโยชน์ของการกระทำเช่นนี้ ซึ่งศรัทธานี้สามารถเกิดขึ้นได้ในระดับต่างๆ และในหลายๆ เรื่อง การมีศรัทธาในนั้น ทำให้เรายังคงยึดมั่นในการทำสิ่งดีๆ เช่นนี้ต่อไป ซึ่งนี่ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงามด้วยน้ำใจของคนไทย เพราะเรามีศรัทธาในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
อย่างไรก็ตาม มีข่าวเรื่องการที่มีกลุ่มคนบางกลุ่ม วนเวียนไปขนของจากตู้ปันสุขนั้น อาจทำให้คนที่ทำความดี ริเริ่มในการทำตู้ปันสุขเสียศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ไปบ้าง เพราะถูกคุกคามและต้องเยกเลิการทำตู้ปันสขไปเนื่องจากต้องการตัดปัญหา ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะบางครั้งการเสียศรัทธาในการทำแบ่งปัน เสียศรัทธาในพฤติกรรมของคนบางกลุ่ม ก็อาจทำให้เราล้มเลิกสิ่งดีๆ ไปเลย แต่อย่าลืมว่า มนุษย์นั้นมีหลายกลุ่ม ดังเช่น พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาสัตว์โลกโดยเปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า คือ
1.ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัว เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
2.ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัว ซึ่งจะบานในวันถัดไป
3. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัว ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
4. ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร ปรียบเสมือนดอกบัวที่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องดอกบัว 4 เหล่า แล้ว เราจึงจะเข้าใจในความเป็นไปของมนุษย์ เราจึงควรที่จะตั้งมั่นและมีศรัทธาในการทำความดีต่อไปกับบัวเหล่าอื่นๆ ซึ่งหลายคนก็ยังคงไมเสียศรัทธาในการทำความดีและยังคงต้องการแบ่งปันสิ่งต่างๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่สนใจกับคนบางกลุ่มที่มีแต่ความละโมบ ดังจะเห็นได้จากจำนวนของตู้ปันสุข และสิ่งของในตู้ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
Leave a Reply