ปัจจุบัน ผู้คนนิยมจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์ซึ่งมีนามสกุลเป็น PDF เนื่องจากเอกสารที่เก็บในรูปแบบดังกล่าวสามารถป้องกันการแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาได้ โดยไฟล์เอกสารชนิดนี้ปัจจุบันสามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น จัดทำเอกสารโดยใช้โปรแกรม Office ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีลิขสิทธ์ หรือ Open Office ซึ่งเป็น Open Source Software ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหา จากนั้นก็ทำการบันทึกให้มีนามสกุลเป็น PDF เท่านี้คุณก็สามารถสร้างไฟล์ PDF ได้แล้ว

สำหรับการจัดทำ ปรับปรุงแก้ไข ไฟล์ซึ่งมีนามสกุลเป็น PDF นั้น จำเป็นต้องใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Pro ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์ และมีราคาค่อนข้างแพง

เมื่อคุณต้องการอ่านไฟล์ PDF คุณก็สามารถใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Reader ซึ่งสามารถหามาติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหา หรือ คุณสามารถใช้โปรแกรม PDF-XChang Viewer เป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้ ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน

โปรแกรม PDF-XChang Viewer มีวิธีการใช้งานไม่ยุ่งยาก คุณสามารถกรอกข้อมูลลงไปในไฟล์ PDF ที่เป็นแบบฟอร์ม ใส่ข้อความแสดงความเห็นหรือข้อความสรุปย่อ (note) หรือ แนบตราประทับ (stamp) หรือใช้แม่แบบ (template) ที่มีให้ลงในไฟล์ PDF ได้เลย สามารถนำข้อความออกจากไฟล์ PDF รวมทั้งสามารถนำภาพในไฟล์ PDF ออกมาในรูปแบบของไฟล์รูปภาพที่มีนามสกุล เช่น jpg, bmp, tiff หรือ png เป็นต้น

[คลิกที่นี่เพื่อเปิดดูวิธีการใช้งานคู่มือการใช้ PDF-XChange Viewer]

     ยุคการจัดการความรอบรู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อิเล็กทรอนิกส์ทำให้ระบบการเรียนรู้ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก เรามีระบบการเรียนรู้แบบใหม่ที่ชื่อ eLearning ใช้สื่อข้อมูลเป็นแหล่งการเรียนรู้ใหญ่ มีระบบ eLibrary เก็บข้อมูลหนังสือที่เป็นแบบ eBook รวมทั้งสิ่งพิมพ์ประเภท eMagazine eJournal และ eProceeding ระบบ e ยังทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ eEducation on Demand หรือ eEOD

หากแหล่งความรู้มีการจัดเก็บในรูปแบบสื่อดิจิตอล ซึ่งก็ต้องใช้ที่เก็บจำนวนมาก การใช้ที่เก็บในรูปสื่อมัลติมีเดีย ทำให้ขนาดของที่เก็บมีขนาดความจุเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลจะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม การดำเนินการพัฒนาขนาดและเทคโนโลยีก็ต้องดำเนินต่อไป เพราะหากพิจารณาถึงขุมความรู้จำนวนมหาศาลที่จะเก็บ (ลองนึกถึงขนาดของ eLibrary หรือดิจิตอลไลบารีดู) การจัดเก็บจึงต้องมีการพัฒนา
ในอดีตที่ผ่านมา เราใช้แนวคิดที่ว่าคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องประกอบด้วย ซีพียู หน่วยความจำหลัก และหน่วยความจำรองที่เก็บข้อมูลจำนวนมากได้ เช่น ฮาร์ดดิสค์ ซีดีรอม หรือดีวีดี นั้นหมายความว่า ระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งระบบมีที่เก็บข้อมูลหนึ่งที่ และให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย

Read more »

            เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสวางงานเพื่ออกไปร่วมสัมมนาในหัวข้อแนวโน้มและทิศทางของการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารซึ่งแนวโน้มในอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นSoftware as a service(SaaS), Service Oriented Architecture(SOA) หรือ กระแส OpenSource ซึ่งยังคงมาแรงในปัจจุบันโดยเฉพาะในหน่วยราชการหลายแห่งที่ได้เริ่มนำมาใช้กันบ้างแล้ว จะเป็นเรื่อง Software ในฐานะผู้ใช้งานเทคโนโลยีคนหนึ่งเห็นว่า ไม่ว่าแนวโน้มของ IT จะไปในทิศทางใด  แนวโน้มของ IT ในเอเชียในปัจจุบันกระแสตื่นตัว Open Source ทำให้เกิดทางเลือกและนวัตกรรมใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค   ทำให้นึกถึงโปรแกรมน้องใหม่จากค่าย Google ที่เปิดตัวไปเมื่อราวๆ กลางปี 2551 ที่รู้จักกันในนาม Chrome ซึ่งเป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของนักคอมพิวเตอร์อย่างเราๆ คือ ต้องโหลดข้อมูลเร็ว ต้องปลอดภัย ใช้งานง่าย เป็นต้น

  

Chrome เป็นเว็บบราวเซอร์ซึ่งแตกต่างจากบราวเซอร์ทั่วไป เว็บบราวเซอร์ทั่วไปทำงานแบบซิงเกิลเทรด คือ ทำงานที่ละอย่าง เช่น ถ้าเว็บที่เราเลือกอยู่มีการเรียกใช้จาวาสคริปต์ มันจะทำงานตามสคริปต์จนกว่าจะทำงานจบ ในขณะนั้นเว็บบราวเซอร์จะหยุดทำงาน และถ้าจาวาสคริปต์แฮงค์ เว็บบราวเซอร์จะถูกล็อก พูดง่ายๆ ก็คือ เว็บบราวเซอร์แฮงค์ไปด้วย ในขณะที่ Chrome ทำงานแบบมัลติโปรเซส คือ สามารถทำงานหลายงานพร้อมกัน แต่ละโปรเซสมีหน่วยความจำและชุดโครงสร้างข้อมูลในตัวเอง การทำงานก็จะทำงานแยกจากกัน ในขณะที่จาวาสคริปต์ทำงาน บราวเซอร์ก็ยังทำงานอื่นๆ ได้ เมื่อจาวาสคริปต์แฮงค์ บราวเซอร์จะยังคงทำงานอื่นๆ ต่อไปได้

บราวเซอร์รุ่นเก่าๆ มีโปรเซสเดียวและมีพื้นที่หน่วยความจำเพียงหน่วยเดียวสำหรับโหลดเว็บ เมื่อเราเปิดเว็บหลายๆ เว็บ จะมีการแชร์หน่วยความจำ เมื่อปิดเว็บก็จะได้หน่วยความจำกลับคืนมา เมื่อเปิดเว็บใหม่ก็จะมีการใช้หน่วยความจำที่ถูกใช้ไปก่อนหน้านี้ เมื่อใช้นานๆ เข้าจะมีปัญหาคือปิดเว็บไปแล้วแต่ไม่คืนหน่วยความจำหรือคืนหน่วยความจำไม่หมด เมื่อบราวเซอร์เรียกเว็บเพจใหม่ซึ่งต้องนำหน่วยความจำเก่ามาใช้ ปัญหาที่ตามมาคือหน่วยความจำไม่พอ การโหลดหน้าเว็บจะช้าลง ในขณะที่ Chrome ทำงานหลายโปรเซส แต่ละโปรเซสมีหนึ่งหน่วยความจำดังนั้นเมื่อมีการเปิดเว็บเพจ ก็จะเป็นการเริ่มโปรเซสใหม่และจะถือว่าโปรเซสจบเมื่อปิดเว็บเพจ จะคืนหน่วยความจำทั้งหมด

Chrome เป็นเว็บบราวเซอร์ที่มี Task Manager สามารถดูได้ว่าแต่ละเว็บที่เราเปิดอยู่นั้น เว็บใดใช้หน่วยความจำหรือโหลดข้อมูลมากน้อยเท่าใด ซึ่งมีรูปแบบคล้ายการทำงานของ Task Manager ใน Operating System ทำให้ Chrome เป็นเว็บบราวเซอร์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากความสามารถที่กล่าวไปแล้วนั้น Interface ของ Chrome ยังดูเรียบง่ายสบายตาด้วยสีโทนฟ้าอ่อน สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับเว็บบราวเซอร์จากค่ายไมโครซอฟต์ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจมาใช้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะ Chrome ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน หากต้องการทดลองใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่ http://www.google.com/chrome

 

 

การสำรวจข้อมูลและไฟล์ระบบเอาไว้แต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่คุณได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะ เพราะมันจะไม่ทำให้คุณต้องมานั่งคอตกในยามที่วินโดวส์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจเข้าไปเอาข้อมูลคืนได้!!!

ปัญหาระบบวินโดวส์ล่มข้อมูลสูญหาย ไวรัสกล้ำกรายเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันจนชินตา ในปัจจุบันซึ่งผู้ใช้บางคนที่ไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาก็ได้แต่ยกเครื่อง ไปที่ร้านซ่อมคอมพ์ และเสีย 300 บาท เพื่อรักษาทุกอาการ! โดยวิธีการปัญหาของร้านพวกนี้ก็คือ หากเข้าไปเอาข้อมูลที่คุณต้องการไม่ได้พวกเขาก็มักจะบอกคุณว่า “ต้องลงวินโดวส์ใหม่” จากนั้นก็จัดการโคลนนิ่งวินโดวส์พร้อมโปรแกรมต่าง ๆ จากฮาร์ดดิสก์ตัวหลักที่ใช้ประจำ ไปยังฮาร์ดดิสก์ของคุณ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ก็ได้วินโดวส์พร้อมโปรแกรมคืนมา แต่ทว่าโปรแกรมประเภท Anti Virus หากโคลนนิ่งมาแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องอัพเดตแพตช์มันจะไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ พอมีไวรัสใหม่ๆ มาโปรแกรม Anti Virus จะไม่มีไฟล์แพตเทิร์นของไวรัสพวกนี้ ผลที่ตามมาก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะไร้ซึ่งภูมิคุ้มกัน และหากติดไวรัสเข้าละก็ ปัญหาระบบวินโดวส์ล่ม ข้อมูลสูญหาย ก็คงจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

มาแบ็กอัพข้อมูลกันเถอะ
คุณพร้อมหรือยังสำหรับการแบ็กอัพ? เพราะความเสี่ยงที่ข้อมูลและไฟล์ระบบได้รับความเสียหายจะลดลงหากคุณเริ่มต้นแบ็กอัพตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ไม่ต้องมองหาเครื่องมือหรือโปรแกรมภายนอกมาช่วยเลยก็ยังได้ เพราะวินโดวส์ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? อย่างแรกเลยก็คือ คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริง ๆ คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง นอกจากนั้นหากคุณมั่นแบ็กอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำแล้วละก็ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าคุณได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว…

ก่อนอื่นเราไปดูกันว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้นั้น มีเครื่องมือหรือยูทิลิตี้อะไรบ้างสำหรับการแบ็กอัพข้อมูลและเรียกาคืนกลับมา เมื่อต้องการซ่อมแซม (บทความตอนนี้จะอ้างอิงถึงผู้ใช้ Windows XP เป็นหลัก)

System Restore
หนึ่งในโปรแกรมแบ็กอัพและรียกข้อมูลกลับคืน ที่หลายคนมักจะไม่ค่อยใช้งานนั้น ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า “ไม่รู้จะใช้ทำอะไร” เพราะไม่ทราบวิธีการใช้งานนั่นเอง! ซึ่งอันที่จริงแล้วโปรแกรม System Restore ใช้งานง่ายกว่าที่คุณคิดซะอีก เพราะวินโดวส์จะสร้างจุดสำหรับแบ็กอัพเพื่อใช้ในการเรียกข้อมูลกลับคืนให้เป็นระยะๆ อยู่แล้ว (อัตโนมัติ) ดังนั้น หากวินโดวส์มีปัญหาคุณก็สามารถใช้การ Restore ได้ทันที นอกจากนั้นหากคุณต้องการกำหนดจุดแบ็กอัพเองเพื่อเพิ่มความถี่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องเรียนรู้เทคนิคอีกนิดหน่อย ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน

Backup Utility
สำหรับโปรแกรมตัวที่สองนี้ ค่อนข้างมีสมรรถนะการทำงานที่สูงพอตัว เพราะไมโครซอฟท์ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ VERITAS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านซอฟต์แวร์โซลูชันและดาต้าเบส Backup Utility ช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะมีโหมดการทำงานอย่าง Wizard ที่เพียงแคคลิ้กเมาส์ตามก็ได้เช่นกัน ซึ่งโปรแกรมก็ได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มาให้เพียบ รับรองว่าลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าดีจริง!
คุณสามารถใช้โปรแกรม Backup Utility โดยไปที่ Start->All Programs -> Accessories -> System Tools ->Backup

แบ็กอัพข้อมูลด้วยอุปกรณ์ฮาร์แวร์
สำหรับการแบ็กอัพข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์นั้น แน่นอนว่าย่อมลดความ เสี่ยงจากการที่ข้อมูลอาจสูญหายได้อีกขั้น นั่นก็เพราะคุณได้สำรองข้อมูลเอาไว้มากกว่าหนึ่งที่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแบ็กอัพข้อมูลในปัจจุบันก็ได้แก่ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอกผ่านพอร์ต USB เทปแบ็กอัพ ที่มักจะใช้กับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ ซิปไดรฟ์ (Zip Drive) เครื่องบันทึก DVD/CD นอกจากนั้นยังมีการใช้แฟลชเมโมรี่ความจุสูง รวมทั้งไมโครไดรฟ์ที่ใช้กับอุปกรณ์โมบายมาแบ็กอัพข้อมูลด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ข้อมูลสำคัญๆ ของคุณยังคงถูกรักษาเอาไว้ แม้ฮาร์ดดิสก์หลักของระบบจะได้รับความเสียหายก็ตาม ดังนั้น หากคุณมีงบเหลือพอที่จะซื้ออุปกรณ์แบ็กอัพข้อมูลสักชิ้นก็จะดีไม่น้อย!

ยุคนี้ต้องมีตัวอักษรย่อนำหน้าคำต่างๆ ให้ได้ฉงนสงสัยกันเรื่อยมา ตั้งแต่ e- (electronic)  m- (mobile)  แล้วก็มาถึงยุคของ u- กันบ้าง

อันที่จริงอาจจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ซะทีเดียว แต่เหมือนการผสมระหว่าง e- และ m- เข้าด้วยกัน เอามาปั่นเทรวมในแก้ว แลัวตกแต่งเพิ่มเติมให้ดูดีทันสมัยเป็นที่นิยมในสังคมก็ว่าได้ ด้วยเทคโนโลยีที่วิ่งไวเหมือนติดจรวดเช่นทุกวันนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเอื้ออำนวยให้ u-Learning ได้ออกมาแนะนำตัวแก่ผู้รักการเรียนรู้ให้ได้ทำความรู้จักกัน

หลายคนรู้จักและคุ้นเคยกับ e-Learning มาแล้วว่าเป็นการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอกนิกส์ ซึ่งพัฒนารูปแบบต่อเนื่องมาจาก WBI (Web-based Instruction) โดยนำความสามารถของเทคโนโลยีด้านเครือข่ายมาใช้เพื่อการเรียนรู้ แต่ในช่วงแรกการเรียนแบบนี้จะเรียนกันในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาขึ้นอีกขั้น ก็ถึงยุคของ m- ได้ออกมาแนะนำตัวให้ใครต่อใครได้รู้จักกันในทางการศึกษาก็คือ m-Learning นั่นเอง เหตุที่คุณ m- ช่วยให้การเรียนรู้ของเรากว้างขึ้นได้นั้น ก็เพราะว่านอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนผ่านเครือข่ายแล้ว หากเพียงคุณสามารถนำอุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ติดตัวคุณไปเพื่อศึกษาและค้นคว้าให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ เราก็เรียกว่า m-Learning แล้ว โดยมากเรามักมองว่า m- น่าจะหมายถึงการเรียนผ่านมือถือ ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือ แต่แท้จริงแล้วในยุคของ m- อาจจะหมายรวมถึง โทรศัพท์มือถือ PDA  LAPTOP ที่ทำงานผ่านเครือข่ายแบบไร้สาย รถสอนหนังสือที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปให้ความรู้ในที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งหนังสือที่เรานำติดตัวไปอ่านก็ยังถือว่าเป็น m-Learning ได้เช่นกัน เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต….แล้วทำไมต้อง u-Learning

u ตัวนี้ก็คือ Ubiquitous ที่เคยกล่าวมาในบทความก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ การมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น u-Learning คือการที่เราสามารถที่จะเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีเครือข่ายทั้งแบบไร้สายและใช้สายในการเชื่อมต่อเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้นั่นเอง

ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Thailand ICT Excellence Awards 2008 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2552 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมมือกับ SIPA, NECTEC, Software Park Thailand และ CITU ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสรรหาองค์กรและผู้บริหารที่สามารถนำระบบไอทีไปใช้พัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งไฮไลต์ของงานนอกจากเป็นการประกาศผลและมอบรางวัลแล้ว ยังมีการเสวนาและอภิปรายที่น่าสนใจดังพอสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้

การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในปัจจุบัน

  • วิกฤต มีทั้ง อันตราย และ โอกาส
  • ดังนั้นในภาวะวิกฤตจึงควรคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • ควรหานวัตกรรมที่ไม่ใช้เงิน
  • ในโลกปัจจุบัน นวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการที่ตอบสนองความต้องการตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นสิ่งจำเป็น
  • บุคลากร ถือเป็น โอกาส ที่สำคัญขององค์กร
  • เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยน โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวเอง
  • ทัศนคติ หรือ Mindset ของคนในองค์กรต้องเปลี่ยนไปสู่ทิศทางเดียวกัน
  • การสื่อสารต้องมีประสิทธิภาพ
  • การทำงานที่มีความตึงเครียดจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ

ไอทีกับวิกฤต

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการ
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการรวบรวมข้อมูลไปสู่ผู้ที่ต้องใช้
  • ในภาวะวิกฤตควรนำเครื่องมือที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การบริหารจัดการด้านไอที

  • จำเป็นต้องสำรวจความต้องการของผู้ใช้ ว่างานที่ทำอยู่มีความยากง่ายแค่ไหน มีการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนหรือไม่ ที่นำมาสนับสนุนมีการใช้เต็มประสิทธิภาพหรือยัง สามารถนำเทคโนโลยีอื่น ๆ มาสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนได้อีกหรือไม่ อย่างไร

บทบาทซีอีโอ

  • เป็นผู้ผลักดัน กระตุ้น จุดประเด็น นวัตกรรมในองค์กร
  • เป็นผู้เชี่ยวชาญของการบริหารจัดการความเสี่ยง
  • เป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
  • เป็นผู้ที่เห็นและเข้าใจเทคโนโลยีชัดเจน
  • เป็นผู้ที่คิดใหม่ และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการ หรือ Business Process
  • เป็นผู้ที่เห็นโอกาสในการเปลี่ยนสารสนเทศเป็นนวัตกรรม
  • เป็นผู้ที่เข้าใจในประเด็นธุรกิจขององค์กร รู้ว่าองค์กรจะอยู่รอดด้วยอะไร เชื่อมโยงสิ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอดกับเครื่องมือที่เหมาะสม
  • เป็นผู้มีความสามารถในการบริหาร Multisourcing
  • เป็นผู้ที่ต้องรักษา บุคลากรที่เชี่ยวชาญ กับ องค์ความรู้ ขององค์กร
  • เป็นผู้ที่ต้องกระตุ้นให้บุคลากรมีใจที่จะทำตาม Vision ขององค์กร

ไอทีกับการเพิ่มความเร็ว

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับกระบวนการและการปฏิบัติงาน
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
  • แต่ความสำเร็จอยู่ที่ผู้ใช้เครื่องมือ
  • คนไอทีต้องมีความสามารถในการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น ภายในองค์กร ภายนอกองค์กร และเทคโนโลยี เป็นต้น และสามารถนำเทคโนโลยีมาตอบสนองอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
  • คนไอทีต้องรู้ Business Process ขององค์กร เพื่อสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

ไอทีกับงานด้านการตลาด

  • การตลาดจะสำเร็จได้ต้องมีกลยุทธ์ มี Brand และมีบริการ
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และสังคม
  • ดังนั้นไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารถึง Branding และ Brand Value
  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารและเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า
  • การสร้างเว็บไซต์จึงควรใช้ Template ที่สื่อถึง Brand ขององค์กร
  • ไอทีนำมาใช้ในการสนับสนุนงานด้านการตลาด ในส่วนของ CRM

CRM (Customer Reationship Management) หรือ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์

  • ไอทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า จัดลำดับความสำคัญ แยกว่าใครเป็นลูกค้าที่มี ROI (Return of Investment) ที่สำคัญ เพื่อใช้ตัดสินว่าจะทำ CRM หรือ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ อะไร แบบไหน และอย่างไร
  • แต่ CRM จะสำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะไอที
  • การจะทำให้ CRM สำเร็จได้ขึ้นกับ 3 P คือ People, Process, Product
  • ปัจจัยที่ทำให้ CRM สำเร็จ คือ คน นั่นคือต้องมีบุคลากรที่มีจิตใจในการให้บริการที่ดี มีความหลงใหล ทุ่มเท และให้ใจกับองค์กร

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่า ณ ตอนนี้เป็นยุคของโลกข้อมูลข่าวสาร ยุคของเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรนั้น ยังคงอยู่ที่คนขององค์กร หากคนในองค์กรมีใจ มีความทุ่มเท มีความเสียสละ พร้อมที่จะเปลี่ยน พร้อมที่จะพัฒนา พร้อมที่จะเรียนรู้ เพื่อไปสู่เป้าหมายขององค์กร องค์กรนั้นก็จะสามารถอยู่รอดได้แม้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และในทางกลับกัน องค์กร และผู้บริหารขององค์กร ก็ต้องตระหนักถึงสินทรัพย์ที่มีค่าขององค์กร นั่นคือ คน ต้องรู้วิธีที่จะรักษาสินทรัพย์นี้ โดยเฉพาะที่มีคุณภาพให้คงอยู่กับองค์กร

โดยปกติเมื่อคุณเสียบอุปกรณ์พวกยูเอสบี ธัมไดร์ฟ หรือแฟลชเมมโมรี่ เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมไวรัสที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ยูเอสบี ธัมไดร์ฟ และแฟลชเมมโมรี่ นั้น จะไม่สามารถทำให้ตัวเองทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง 

สาเหตุที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะติดไวรัสที่มากับอุปกรณ์เหล่านั้น เกิดได้จาก 2 กรณีคือ

  1. มาจากความอัจฉริยะของระบบปฏิบัติการวินโดวน์ที่รองรับระบบปลักแอนด์เพลย์ (Plug and Play) นั่นคือระบบที่สามารถทำให้อุปกรณ์ทุกประเภทที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Autorun ดังนั้นผู้เขียนโปรแกรมไวรัสจึงนำจุดอ่อนนี้มาใช้เป็นตัวเปิดโปรแกรมไวรัสให้ทำงาน ซึ่งไฟล์ที่ทำให้โปรแกรมทำงานโดยอัตโนมัติมีชื่อว่า Autorun.inf
  2. มาจากการที่ผู้ใช้ดับเบิลคลิกไปที่โฟลเดอร์ไวรัส โดยผู้พัฒนาไวรัสจะสั่งการให้โปรแกรมไวรัสทำการก๊อบปี้ตัวเองเป็นไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่มีชื่อเหมือนงานเดิมของเรา เพื่อหลอกเราให้ไปดับเบิลคลิกที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่มีชื่อเหมือนงานนั้น ๆ  ซึ่งหากคลิกไปแล้วโปรแกรมไวรัสตัวร้ายก็จะมุ่งเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อทำงานตามที่ถูกผู้พัฒนาไวรัสกำหนดไว้ทันที

ปกติเมื่อทำการเปิดเครื่อง เครื่องจะเรียกโปรแกรมที่ถูกระบุไว้ในรายการ Startup เพื่อทำการ run โปรแกรมนั้นอัตโนมัติ เช่น โปรแกรมจัดการไวรัส โปรแกรม MSN เป็นต้น ซึ่งหากมีการระบุให้เรียกโปรแกรมเปิดทำงานมาก หน่วยความจำ หรือ memory สำหรับการใช้งานของเครื่องก็จะถูกลดลงไปตามความต้องการในการใช้หน่วยความจำของโปรแกรมนั้น ๆ เช่น เดิมเครื่องมีหน่วยความจำ 2.5 GB ใช้ระบบปฏิบัติการ (OS:Operating System) เป็น Microsoft Windows VistaTM Business พร้อมทั้งระบุให้เปิดโปรแกรมจัดการไวรัส และ MSN  ดังนั้นเครื่องจะมีหน่วยความจำเหลือสำหรับใช้งานอื่นอีกประมาณ 62%  ดังนั้นหากไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมใดควรเอาโปรแกรมออกจากรายชื่อ

โดยมีขั้นตอนดังนี้

หากระบบปฏิบัติการของคุณเป็น Microsoft Windows XP ให้กดปุ่ม Start เลือก Run ที่ช่องให้พิมพ์ msconfig กด OK

แต่ถ้าหากระบบปฏิบัติการของคุณเป็น Microsoft Windows Vista ให้กดปุ่มโลโก้ (Start) ที่ช่องว่าง (Start Search) ให้พิมพ์ msconfig จากนั้นจะขึ้นหน้าต่างให้ ให้กด Continue

จากนั้นเลือก Tab ที่ชื่อ StartUp จะปรากฏรายชื่อ Item หรือโปรแกรมต่าง ๆ ให้คลิ๊กที่ช่องเพื่อให้เกิดเครื่องหมายถูกหน้า Item ที่คุณไม่ต้องการให้ทำงานตอน startup ออก เมื่อเสร็จเรียบร้อยกดปุ่ม OK

คือบริการหนึ่งของระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Server ซึ่งให้บริการไดเร็คทอรี่ (Directory) ที่เก็บข้อมูลทรัพยากรต่าง ๆ บนโดเมน* เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ ผู้ใช้ และกลุ่ม เป็นต้น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและควบคุมสิทธิการเข้าถึงและใช้งานทรัพยากรบนโดเมนนั้น ๆ

*โดเมน (Domain) หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายที่ใช้นโยบายการรักษาความปลอดภัย และการกำหนดสิทธิ์การใช้งานทรัพยากร รวมทั้งใช้ฐานข้อมูลทั่วไปร่วมกัน โดยอ้างอิงด้วยชื่อเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะการทำงานคือ มีเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายในการควบคุมและบริหารจัดการ เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายสามารถอยู่คนละเครือข่ายท้องถิ่น และบัญชีผู้ใช้บนโดเมนสามารถเข้าใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายใด ๆ จากทุกที่ที่อยู่บนโดเมนเดียวกันได้

ubiquitous(ยู-บิก-ควิ-ทัส) คลื่น IT ลูกที่3

เป็นภาษาลาติน มีความหมายว่า อยู่ในทุกแห่ง หรือ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  Mark Weiser (มาร์ค ไวเซอร์) แห่งศูนย์วิจัย Palo Alto ของบริษัท Xerox ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำนิยาม Ubiquitous Computing (ยูบิควิตัสคอมพิวติง) ไว้ว่า  กระบวนการบูรณาการ (integrating) คอมพิวเตอร์เข้ากับ Physical World อย่างไร้ของเขต (seamlessly) ซึ่งการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้เทคโนโลยีต่างๆ นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
                  
Ubiquitous Computing จะรวมถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ประเภท microprocessors โทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile phones) กล้องดิจิตอล และอุปกรณ์อื่นๆ  โดยเราสามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ทุกหนทุกแห่ง ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับเครือข่ายได้